
เจียงซูกับเส้นทางสายไหมยุคใหม่
12 ธ.ค. 2558
เวิลด์วาไรตี้ : เจียงซูกับเส้นทางสายไหมยุคใหม่
ประวัติศาสตร์ของแผ่นดินจีนนั้นย้อนไกลไปถึงกว่า 5 สหัสวรรษ และระหว่างทางเหล่านั้นก็มีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมต่างๆ รวมทั้งการวางเส้นทางการติดต่อค้าขายกับชนชาติอื่นๆ
ถ้าจะเปรียบประวัติศาสตร์จีนเป็นหนังสือเล่มใหญ่ ก็คงมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร จนอ่านกันไม่จบไม่สิ้น แต่ถ้าจะตั้งใจอ่านกันจริงๆ และนำประวัติศาสตร์มาใช้ประโยชน์ ก็เป็นเรื่องที่ดีต่อชนชาติที่เรียกตนเองว่าชาวจีน
ดังเช่นประวัติศาสตร์ของเส้นทางสายไหมที่นำความเจริญทางการค้าของจีนไปไกลข้ามกำแพงภูเขา ทะเลทรายจนถึงทวีปยุโรป รวมทั้งประวัติศาสตร์การล่องกองเรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ของ “เจิ้ง เหอ” ขันที ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากจักรพรรดิหมิงเฉิงจู่ แห่งราชวงศ์หมิง (ปี พ.ศ. 1948) ให้นำสินค้าจากจีนไปแลกเปลี่ยนของมีค่ากับชนชาติอื่นๆ ตามแนวชายฝั่งทะเลตอนใต้ของจีน ไล่จากเวียดนามจรดช่องแคบฮอร์มุซ ในปัจจุบัน และทวีปแอฟริกาตะวันออก
ประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองของจีนนั้นมีจุดกำเนิดร่วมกันอยู่ที่มณฑลเจียงซู ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน บริเวณใกล้เคียงปากแม่น้ำแยงซีที่พาดผ่าประเทศจีนออกเป็นสองฝั่งตามแนวตะวันออก-ตะวันตก

ขณะที่ในยุคศตวรรษที่ 21 นี้มณฑลเจียงซูก็เข้ามามีส่วนร่วมในด้านการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยอาศัยพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญทั้งสอง มาผสานเข้ากับนโยบายการเปิดเส้นทางสายไหมยุคใหม่ของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ชุดที่มีนายสี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
สี จิ้นผิง ประกาศแผนการเดินหน้าโครงการเส้นทางเศรษฐกิจสายไหม และเส้นทางสายไหมทางทะลยุคศตวรรษที่ 21 เมื่อเดือนกันยายน และตุลาคม 2556 ระหว่างเดินทางเยือนประเทศในเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นการหยิบใช้ประโยชน์จากส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์หนึ่งในหลายพันหน้าบันทึกของจีนมาใช้ในการขยายขอบเขตการค้าการลงทุนในลักษณะความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายในลักษณะ “วิน-วิน” โดยอาศัยเส้นทางการค้าในอดีตเป็นหลักในการดำเนินโครงการ
โครงการเส้นทางสายไหมทางบกที่พาดผ่านเอเชียกลางถึงยุโรป กับเส้นทางสายไหมทางน้ำที่ลงต่ำมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้อินโดนีเซีย จนถึงทวีปแอฟริกานั้น ครอบคลุมกว่า 60 ประเทศ ซึ่งหากจะนับรวมประชากรแล้วก็จะรวมกันได้กว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลกที่เข้าอยู่ในข่ายการได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ของจีน
เส้นทางสายไหมยุคปัจจุบันนี้ทำให้รากฐานทางเศรษฐกิจจีนแข็งแกร่งขึ้น จากการขยายขอบเขตการค้าระหว่างประเทศ ทั้งยังเปิดรับการลงทุนจากประเทศที่อยู่ในเส้นทางนี้ รวมไปถึงการนำเงินลงทุนจากจีนไปยังประเทศอื่นๆ ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจจีนชะลอตัวที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
มณฑลเจียงซูที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของเส้นทางสายไหมโบราณ เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมชั้นดีที่นำไปแลกเปลี่ยนสินค้ามีค่าเช่น ทอง เครื่องเทศ อัญมณี จากตะวันออกกลาง โดยมีแหล่งผลิตหลักที่เมืองซูโจว ที่มีความสวยงามมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 2,500 ปี
ประกอบกับการที่เมืองนานกิง ในมณฑลเจียงซู ที่เป็นต้นกำเนิดของเส้นทางสายไหมทางน้ำ เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อเรือสำเภาขนาดใหญ่ของเจิ้ง เหอ รวมทั้งเรือประกอบในขบวนอีกกว่า 600 ลำ โดยมีหลักฐานยืนยันจากการขุดค้นของนักโบราณคดีจีนที่ค้นพบไม้ที่ใช้ทำกระดูกงู หางเสือเรือของเจิ้งเหอ ในเมืองนี้
จึงเป็นเหตุให้มณฑลเจียงซูเข้ามามีส่วนร่วมใช้ประโยชน์จากประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของจีนที่ได้รับการพลิกฟื้นขึ้นมาใช้ประโยชน์โดยรัฐบาลกลางของจีน ประกอบกับการที่เจียงซูในปัจจุบันมีความพร้อมในการรองรับการค้า การลงทุน ระหว่างประเทศอยู่แล้ว ทำให้การดำเนินโครงการเส้นทางสายไหมยุคปัจจุบันจึงยิ่งให้ประโยชน์ต่อมณฑลเจียงซูยิ่งขึ้น
ในการนี้ไชน่า เดลี สื่อทางการจีนจึงเชิญผู้สื่อข่าวจากประเทศที่มีส่วนร่วมในโครงการเส้นทางสายไหมยุคใหม่ไปเยี่ยมชมความพร้อมของมณฑลเจียงซูในด้านต่างๆ ทั้งบังกลาเทศ ปากีสถาน มาเลเซีย พม่า เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อุซเบกิสถาน ลาว เนปาล และไทย โดยผู้เขียนได้รับเชิญไปร่วมในทริปนี้เพียงหนึ่งเดียวจากประเทศไทย
ที่ผ่านมาผู้เขียนรู้จักประเทศจีนจากข่าวที่ได้รับอยู่ทุกวัน แต่ไม่สามารถจะจินตนาการเห็นถึงความเป็นจริงของจีนในยุคใหม่ ที่มีความพรั่งพร้อมทางด้านอุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมการเงิน จนกระทั่งอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ถือเป็นกระดูกสันหลังในอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศ
ทุกอย่างที่กล่าวมานั้นมีอยู่ในมณฑลเจียงซูแห่งนี้ กระจายอยู่ในเมืองนานกิง ซื่อโจว เหลียนหยุนกัง และซูโจว ที่อยู่ในเส้นทางการเยือนมณฑลเจียงซู ที่ทางไชน่า เดลีจัดให้เยี่ยมชม แต่ละเมืองจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น นานกิงที่เป็นเมืองเอกของมณฑลเจียงซูจะเป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจ เป็นแหล่งผลิตบุคลากรคุณภาพป้อนอุตสาหกรรมภายในประเทศ จากมหาวิทยาลัยอันดับต้นของจีนอย่างมหาวิทยาลัยการไปรษณีย์และโทรคมนาคมแห่งนานกิง
ทั้งยังมีบริษัทซอฟต์แวร์อันดับ 3 ของจีนอย่างบริษัท ซูหนิง คอมเมิร์ซ กรุ๊ปตั้งอยู่ที่นี่ด้วย อันที่จริงจะเรียกว่าเป็นบริษัทซอฟต์แวร์เต็มปากก็ไม่ได้ เพราะซูหนิง เป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีกิจการมากมายหลายรูปแบบ ตั้งแต่ซอฟต์แวร์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง ห้างสรรพสินค้า ท่าเรือจนถึงบริษัทการเงิน
ซึ่งในมณฑลเจียงซูและประเทศจีน จะมีเครือบริษัทขนาดใหญ่เช่นอยู่หลายแห่งกระจายอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ และแต่ละบริษัทมีเครือข่ายการทำธุรกิจที่กว้างไกลทั่วประเทศจีน ทั้งยังมีการขยายเครือข่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศตะวันตกกันแล้ว
ที่สำคัญในเมืองนานกิง มีการสร้างนิคมอุตสาหกรรมนานกิงที่เรียกได้ว่าเป็นเมืองขนาดใหญ่ซ้อนอยู่ในเมืองนานกิงอีกทีหนึ่ง โดยนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ มีท่าเรือ 3 แห่ง รองรับเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ที่แล่นเข้ามาจากปากแม่น้ำแยงซี ที่อยู่ในเขตมณฑลเจียงซูด้วยเช่นกัน แม้นานกิงจะอยู่ห่างจากปากแม่น้ำแยงซีถึง 347 กิโลเมตร แต่ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ของแม่น้ำที่มีความลึก และกว้างมาก ทำให้รองรับเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ที่เดินทางมาจากทะเลเหลืองได้อย่างสบายๆ
นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ได้รับการออกแบบให้มีความพร้อมการทำการค้ากับต่างประเทศ และพร้อมรับการลงทุนจากต่างประเทศด้วยเช่นกัน มีการจัดแบ่งสรรพื้นที่สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงงานผลิตเหล็ก อู่ต่อเรือ รวมไปถึงโรงพยาบาล โรงเรียน ที่พักอาศัย แม้กระทั่งเส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่จะเชื่อมต่อเข้าไปยังโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงสำหรับขนส่งคนทางฝั่งตะวันออกของจีน และเครือข่ายรถไฟขนส่งสินค้า ทางหลวงขนาด 8 เลน ที่จะแล้วเสร็จภายในปี 2563 เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองซ้อนเมืองแห่งนี้
ในเขตมณฑลเจียงซูยังมีการสร้างท่าเรือในแม่น้ำแยงซีอีกหลายแห่ง เพื่อรองรับการค้าและการลงทุน เช่นท่าเรือในเมืองซูโจว และเหลียนหยุนกัง ที่เป็นท่าเรือขนาดใหญ่ เพื่อตอบสนองความต้องการการขนส่งสินค้าทางเรือจากฝั่งตะวันออกของจีนไปยังฝั่งตะวันตกของประเทศผ่านทางแม่น้ำแยงซี และสามารถนำส่งสินค้าต่อไปยังเอเชียกลาง ผ่านทางเส้นทางถนนโดยระบบราง
นอกจากนั้นในเมืองซูโจว ยังมีการสร้างเขตการค้าระหว่างประเทศขึ้นมาเพื่อรองรับการค้าระหว่างประเทศกับกลุ่มประเทศในเส้นทางสายไหมยุคใหม่ขึ้นมา โดยจะให้สิทธิพิเศษในด้านภาษีและการขนส่งสินค้าไปยังประเทศที่ลงนามความร่วมมือกับจีนไว้แล้ว โดยในปัจจุบันมีคาซัคสถาน ประเทศในเขตเอเชียกลางลงนามร่วมใช้สิทธิพิเศษที่ท่าเรือแห่งนี้เป็นประเทศแรก
ไชน่า เดลี ยังจัดให้คณะผู้สื่อข่าวเยี่ยมชมโรงงานผลิตสายไฟเบอร์ออพติก ที่ใช้ในงานด้านโทรคมนาคม ที่มีกำลังการผลิตมากถึง 40 ล้านกิโลเมตรต่อปี แต่ผู้บริหารที่มาให้ข้อมูล ยังกล่าวว่า กำลังการผลิตของเฮงตง กรุ๊ป นั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการในการวางเครือข่ายโทรคมนาคมในประเทศจีน ที่มีความต้องการสายไฟเบอร์ออพติกสำหรับการวางระบบเครือข่ายการสื่อสารความเร็วสูงเป็นจำนวนมาก และแม้จะมีโรงงานผลิตเส้นใยลักษณะนี้อีกหลายแห่ง สินค้าส่วนใหญ่ก็จำหน่ายให้แก่บริษัทเอกชนและภาครัฐภายในจีนเอง จนมีเหลือส่งขายให้ต่างประเทศไม่มากนัก
นั่นสะท้อนถึงการขยายตัวของภาคโทรคมนาคมของจีนที่มุ่งรองรับการสื่อสารสมัยใหม่ และมีความเร็วสูง ทัดเทียมต่างประเทศ โดยเริ่มต้นจากการวางเครือข่ายโทรคมนาคมทางฝั่งตะวันออกของประเทศที่มีความเจริญมากเพราะเป็นเมืองท่าโบราณ และในเวลานี้ก็ขยายไปยังฝั่งตะวันตกของประเทศจีน ดินแดนที่มีความกว้างใหญ่เท่าๆ กับทวีปๆ หนึ่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่ความต้องการสายไฟเบอร์ออพติกจะมากมายเพียงนี้
และแม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่ปิดกั้นการใช้งานสื่อออนไลน์ และสื่อโซเชียลมีเดียจากประเทศตะวันตก เช่นเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม แม้กระทั่งสื่อจากเกาหลีใต้ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ไลน์ แต่ผู้คนในจีนก็ไม่ได้ขาดการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เพราะในประเทศจีนมีการสร้างซอฟต์แวร์สื่อสารเหล่านี้ขึ้นมาใช้กันเอง ทั้งวอทส์แอพ คิวคิว และเว่ยป๋อ ที่ใช้ทดแทนสื่อสังคมออนไลน์จากตะวันตกได้อย่างเต็มที่
หลายคนอาจจะคิดว่ารัฐบาลจีนปิดกั้นการสื่อสารของประชาชน แต่ในมุมมองของผู้เขียนนั้นเห็นว่ารัฐบาลจีน ต้องการส่งเสริมการสื่อสารระหว่างพลเมือง เพียงแต่ไม่ต้องการสูญเสียอำนาจการดูแลให้บริษัทเอกชนจากต่างประเทศ ซึ่งในหลายกรณีอาจจะเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศ แต่รัฐบาลต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านนโยบายความเป็นส่วนตัวของผู้ให้บริการจากต่างประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจีนจึงคิดว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว สร้างระบบขึ้นมาเองเสียจะดีกว่า เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้งานเองที่สามารถใช้ภาษาจีนเป็นสื่อกลาง และเมื่อมีโอกาสจะได้นำไปขยายขอบเขตการใช้งานในต่างประเทศแข่งกับสื่อสังคมออนไลน์จากประเทศตะวันตกได้อีกด้วย
ในช่วงเวลาที่ผู้เขียนได้สัมผัสกับมณฑลเจียงซู ซึ่งเป็นหนึ่งใน 23 มณฑล 5 เขตปกครองตนเอง และ 4 มหานครใหญ่ที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง ก็สัมผัสถึงความพร้อมของมังกรจีนที่จะแผ่สยายปีกด้านการค้า การลงทุนไปยังต่างประเทศ ด้วยความพร้อมในทุกด้านของภาคเอกชนจีน และที่สำคัญรัฐบาลจีนยังรู้จักใช้ประโยชน์จากเกล็ดเพชรที่ร่วงอยู่ระหว่างเส้นทางประวัติศาสตร์ให้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ต่อดินแดนที่เรียกว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างแท้จริง