ข่าว

เรียนรู้อย่างถ่องแท้!ตามแนวพระราชดำริ

เรียนรู้อย่างถ่องแท้!ตามแนวพระราชดำริ

05 ธ.ค. 2558

เรียนรู้อย่างถ่องแท้!ตามแนวพระราชดำริ : กรรณิกา ใจจำนงค์รายงาน

            พระอุตสาหวิริยะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการพัฒนาประเทศ และพระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติเพื่อพสกนิกรในพระองค์ จนก่อกำเนิดเป็นโครงการพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการนั้น ตอกย้ำได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทอดทิ้งพสกนิกรของพระองค์ ซึ่งโครงการในพระราชดำริเหล่านี้ได้รับการต่อยอดเผยแพร่เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อเป็นแนวทางในการปรับใช้ ประยุกต์ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในแต่ละบ้าน แต่ละท้องถิ่น
 
            เฉกเช่น “ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ” บ้านท่าด่าน ต.หินตั้ง อ.เมือง จ.นครนายก โครงการที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีพระราชทานนามไว้เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2545 โดยมูลนิธิชัยพัฒนาและสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกันดำเนินงานสนองพระราชดำริในการพัฒนาพื้นที่โครงการ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้แนวคิดและทฤษฎีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้าชมได้ศึกษาหาความรู้และเกิดความเข้าใจ โดยสามารถนำความรู้ที่ได้จากโครงการไปปรับประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตน โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมารับมอบศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติจากสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยฯ พร้อมทรงเปิดศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2551
 
            ปัญญา ปุลิเวคินทร์ หัวหน้าศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ เล่าให้ฟังว่า เมื่อ 30 กว่าปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาบริเวณนี้ โดยมีพระราชประสงค์มาศึกษาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำให้แก่ประชาชนในพื้นที่ พร้อมมีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่หาซื้อพื้นที่ในบริเวณบ้านท่าด่านไว้ด้วย แต่ต้องเป็นพื้นที่รกร้าง ไม่เป็นที่ทำมาหากินของประชาชนในพื้นที่ จนได้พื้นที่ประมาณ 14 ไร่ จัดซื้อในนามมูลนิธิชัยพัฒนา จน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เห็นว่าใกล้วันคล้ายวันพระราชสมภพ 80 พรรษา เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงร่วมกับเพื่อนๆ ศิษย์เก่าโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย คิดโครงการเพื่อเฉลิมพระเกียรติและเห็นสมควรที่จะรับใช้เบื้องพระยุคลบาทเพื่อเผยแพร่แนวพระราชดำริให้กว้างขวาง จึงขออนุญาตจากมูลนิธิชัยพัฒนา ใช้ที่ดินเป็นที่รวบรวมข้อมูลและมีกิจกรรมแสดงให้เห็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เป็นรูปธรรมชัดเจน
 
            “ที่ดินแถวนี้เป็นที่ดินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อไว้ ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า พระองค์เสด็จฯ โดยเฮลิคอปเตอร์มาพร้อมกับ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตั้งแต่ปี 2519 มีรับสั่งถามชาวบ้านว่าที่แถวนี้เป็นอย่างไร น้ำมาจากไหน จากเขาใหญ่ลงมาทางไหน แต่ก่อนแถวนี้เป็นป่า ยังไม่มีเขื่อน หลังจากนั้นก็เสด็จฯ มาอีกหลายครั้ง เพื่อมาหาพื้นที่ที่จะเตรียมสร้างเขื่อน สายพระเนตรของพระองค์ท่านยาวไกลมาก รับสั่งว่าถ้าเรายังตัดไม้ทำลายป่าธรรมชาติก็จะหายไป นี่เป็นพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คิดดู เสด็จฯ มาที่นี่กว่า 30 ปี ทรงมองไกลถึงอนาคต ในระหว่างที่เสด็จฯ เข้ามาในพื้นที่เมื่อก่อนกันดารมาก มีแต่ทุ่งนา ป่าตีนเขาใหญ่ มีรับสั่งว่าพื้นที่แถวนี้ความสวยงามมีอยู่มาก ไม่ว่าป่าเขาและน้ำตก ในอนาคตเขาคงพัฒนาที่แถวนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว อีก 20-30 ปีข้างหน้าจะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ไม่ว่าถนนหนทาง รีสอร์ท โรงแรมจะเกิดขึ้น และจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพมหานคร พระองค์ทรงเป็นห่วงว่าเมื่อพื้นที่จะพัฒนา พวกดิน พวกน้ำ พวกป่าจะได้รับผลกระทบ มีรับสั่งเลยว่าช่วยมาหาซื้อที่ดิน อยากมีที่ดินไว้แสดงถึงแนวทางการอนุรักษ์ธรรมชาติ แต่อย่าหาซื้อที่ที่เป็นที่ทำกินของชาวบ้านมีรายได้อยู่โดยเด็ดขาด นี่เป็นเรื่องที่ทรงกำชับ คณะทำงานก็ต้องมาซื้อที่ดินที่รกร้าง จนมาได้ที่ดินผืนนี้รกร้างเพราะทำกินไม่ได้ ด้วยเป็นดินที่เป็นกรดมาก คณะทำงานก็กราบบังคมทูล มีรับสั่งว่าดีแล้ว จากที่นาที่ไม่สามารถทำกินได้เราจะได้พัฒนา เราจะได้ใช้แนวคิดให้เป็นธรรมชาติเป็นป่า ตั้งแต่ปี 2532 จนปี 2545 เริ่มก่อสร้างเรื่อยมา” หัวหน้าศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติเล่าที่มาที่ไป พร้อมกับกล่าวต่อว่า โครงการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานนามให้ว่า ภูมิรักษ์ธรรมชาติ หมายถึงแผ่นดินที่อนุรักษ์ธรรมชาติ นั่นจึงเป็นความลงตัวในการนำแนวทางความคิดของโครงการพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาจัดแสดง ทั้งด้านการเกษตร ปศุสัตว์ สิ่งแวดล้อม และพลังงาน ตลอดจนสาธิตความเป็นอยู่วิถีไทยด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆ ให้ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ได้เข้าร่วมปฏิบัติด้วย
 
            “คนมาอบรมหรือดูงานมีตั้งแต่ 8 ขวบไล่ไปจน 60-70 ปี เพราะที่นี่คือการเรียนรู้อย่างยั่งยืน มาเพื่อเรียนรู้แล้วนำไปประยุกต์ใช้ และเนื่องจากแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้แบ่งการแสดงแนวคิดออกเป็นภาคต่างๆ เพื่อความสะดวก แต่ใช่ว่าจะดูของภาคอื่นที่ไม่ใช่ภูมิลำเนาบ้านเกิดของตัวเองไม่ได้ หรือนำแนวคิดนั้นๆ ไปใช้ไม่ได้ แต่อยากให้ทุกคนที่ได้เรียนรู้นำไปประยุกต์ให้เหมาะกับพื้นที่และสิ่งแวดล้อมของตัวเองเป็นสำคัญ” หัวหน้าศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติกล่าว
 
            ทั้งนี้ ภายในโครงการได้สรุปแนวคิดไว้ตามบริเวณต่างๆ โดยโจทย์จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีโครงการพระราชดำริช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ จากภูเขายันมหาสมุทร จึงมีการปรับเปลี่ยนพื้นดินให้เป็นแนวคิดภูเขาถึงท้องทะเล แล้วจัดแสดงแนวคิดและทฤษฎีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงในพืิ้นที่ต่างๆ เช่น โกดังเก็บผลิตภัณฑ์ เป็นจุดที่อธิบายถึงการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ซึ่งอยู่ใน 1 ใน 3 เสาเข็มต้นแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเน้น นั่นคือ “พออยู่ พอกิน พอใช้” โดยทางโครงการเน้นวิธีการลดค่าใช้จ่ายถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะมีทั้งผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับร่างกายและผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับสิ่งของที่สามารถทำใช้เองได้ง่าย อย่าง น้ำยาล้างจาน น้ำยาสระผม และที่น่าสนใจคือ “น้ำแดดเดียว” เป็นเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการนำน้ำมาตากแดดเพียงวันเดียว เพื่อให้แสงแดดช่วยจัดเรียงโมเลกุลของน้ำ ที่จะมีลักษณะเป็นผลึกคริสตัล สามารถดูดซึมเอาแร่ธาตุ สารอาหาร ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น เพียงนำน้ำที่มีอยู่มาใส่ขวดแก้วใสแล้ววางในมุม 45 องศาตากแดด 1 วัน
 
            “อย่าปลอกเปลือกเปลือยดิน” (ให้ห่มดิน) พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่รับสั่งว่าในพื้นที่ดินไม่ดี เป็นกรด การปลูกต้นไม้หรือการปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ อย่าปลูกแบบเปลือยดินว่างเปล่า ให้ห่มดินด้วยการนำใบไม้ที่ร่วงหล่นคลุมปิดไว้ ต้นไม้ก็จะได้สารอาหาร ได้ปุ๋ยจากการเน่าเปื่อยของใบไม้เหล่านั้น เติบโตได้อย่างง่ายดาย “ป่าเปียกป้องกันไฟ” ในฤดูแล้งจะเกิดไฟป่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแนะนำว่า วิธีการป้องกันไฟป่าที่ดีที่สุดคือให้ป่าเปียกป้องกันตัวเองจากไฟป่า ที่เรียกว่า ป่าเปียกกันไฟ ซึ่งทางโครงการได้จัดแสดงไว้ 6 วิธี คือ ใช้แนวคลองส่งน้ำและแนวพืชชนิดต่างๆ, สร้างแนวกันไฟป่า โดยใช้น้ำจากชลประทาน, ปลูกต้นไม้โตเร็วคลุมน้ำ, ใช้ฝายชะลอความชุ่มชื้น, สร้างภูเขาป่า โดยค่อยๆ ปล่อยน้ำให้ไหลซึมลงดิน และสุดท้ายปลูกต้นกล้วยเป็นแนวห่างกัน 2 เมตร ซึ่งวิธีหลังสุดนี้ได้รับการแนะนำให้ทำมากที่สุด เพราะนอกจากต้นกล้วยจะป้องกันไฟป่าได้เนื่องจากต้นกล้วยจะอุ้มน้ำ ผลผลิตที่ได้จากต้นกล้วยยังนำมากินหรือใบกล้วยก็นำมาใช้ได้อย่างมีประโยชน์
 
            “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งว่า การที่คนเข้าไปบุกรุกป่า แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ดังนี้ ตัดไม้มาทำบ้าน ทำเครื่องเรือน, ไม่มีเงินจึงต้องไปรับจ้างตัดไม้ทำลายป่า และตัดไม้ทำเป็นถ่าน ทำฟืน และเพื่อเป็นการป้องกันก็ให้คนปลูกป่า 3 อย่างได้ประโยชน์ 4 อย่าง ในที่ดินของตัวเอง คือ ป่าพออยู่ เป็นไม้ที่สามารถนำมาสร้างบ้านได้ เช่น สัก ตะเคียน ยางนา ชิงชัน, ป่าพอกิน ปลูกไม้ผล ไม้กินได้ เพื่อกินและขายมีรายได้ และ ป่าพอใช้ โตเร็ว เช่น ไม้ไผ่ กระถินเทพา พอมีป่า 3 อย่างป่าไม้ก็จะอุดมสมบูรณ์และได้ประโยชน์ต่อมาคือดินจะดี น้ำจะดี
 
            หรือในกิจกรรม “การปลูกต้นไม้ในใจคน” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ เมื่อปี พ.ศ.2519 ว่า เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ในใจคนเสียก่อนแล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงในแผ่นดินและรักษาต้นไม้ด้วยตัวเอง “ธนาคารข้าว” การส่งเสริมให้มีธนาคารข้าว เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนข้าวไว้บริโภค เป็นแนวพระราชดำริที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่เกษตรกร ทรงเปรียบธนาคารข้าวเหมือนกับธนาคารที่เราไปฝากเงิน ก็คือถ้าปีไหนฝนดีได้ข้าวมาก ก็เปรียบเหมือนเรามีเงินมาก พอมีเงินมากเราก็ไปฝากธนาคาร แล้วปีไหนฝนแล้ง ไม่มีข้าวหรือได้ข้าวน้อยก็เปรียบเหมือนเราไม่มีเงิน ก็ต้องไปธนาคารเพื่อเบิกเงินมาใช้ เช่นเดียวกันถ้าปีไหนฝนดีมีข้าวมากก็นำไปฝากกับธนาคารข้าว ปีไหนฝนแล้งไม่มีข้าวก็ไปเบิกมา โดยทางโครงการได้จัดทำแปลงนาสาธิตไว้ให้เรียนรู้ ไล่เรียงไปจนการเก็บ การเกี่ยว การสี หรือแม้กระทั่งยุ้งเก็บข้าวให้เรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้
 
            นี่เป็นเพียงบางส่วนในโครงการ และในโครงการก็นำเพียงบางส่วนของแนวคิดและทฤษฎีจากโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาจัดแสดง มาบอกกล่าวเพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ โดยโครงการพระราชดำริทั้งหมดนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริเพื่อให้พสกนิกรในพระองค์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว อยู่กับธรรมชาติรอบข้าง เฉกเช่นคำว่า “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง”
 
            เนื่องในวันมหามงคลวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 5 ธันวาคม 2558 ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ขอพระสยามเทวาธิราชปกปักรักษาพระองค์ท่านให้แคล้วคลาดจากภยันตรายใดๆ ทั้งปวง ขอทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของปวงชนตราบนานเท่านาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ