ข่าว

ยอร์กเชียร์ ริปเปอร์..ฆาตกรค้อนหัวกลม!?!

ยอร์กเชียร์ ริปเปอร์..ฆาตกรค้อนหัวกลม!?!

25 ก.ค. 2552

นับตั้งแต่ยุค "แจ็ค เดอะ ริปเปอร์" ฆาตกรต่อเนื่องอันโด่งดังในยุคศตวรรษที่ 19 เงียบหายไป ความสงบสุขก็กลับมาสู่มหานครลอนดอนอีกครั้ง แต่แล้วปี 2518

 ผู้คนในเมืองลีดส์-ยอร์กเชียร์ของอังกฤษก็ต้องเผชิญกับจุดเริ่มต้นแห่งความหวาดกลัวอีกคำรบ เมื่อโสเภณีคนหนึ่งถูกคนร้ายใช้ค้อนหัวกลมทุบศีรษะหลายครั้งจนกะโหลกแตก แถมยังแทงซ้ำด้วยไขควงตามลำตัวมากถึง 14 แผล เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2518

 คล้อยหลังจากเหยื่อรายแรกไม่นานนัก โสเภณีอีกคนก็กลายเป็นศพด้วยบาดแผลที่คล้ายคลึงกับศพแรก เพียงแต่เหยื่อรายที่สองนี้ถูกแทงทั่วร่างกายมากถึง 50 แผล ด้วยลักษณะของบาดแผลและอาวุธที่ใช้ "ค้อนหัวกลม" จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของอาวุธที่ตำรวจและผู้คนเรียกขานฆาตกรรายนี้ว่า "ยอร์กเชียร์ ริปเปอร์" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ !?!

 1 ปีต่อมา หญิงสาวคนหนึ่งถูกชายไว้เคราดกครึ้มเล่นงาน ด้วยความตกใจเธอส่งเสียงหวีดร้องด้วยความกลัว ส่งผลให้คนร้ายผละหนีไป แต่ไม่ใช่กับผู้หญิงอีกคนในอีก 1 ปีถัดมาที่ถูกทำร้ายด้วยมีดพับและไขควงจนเสียชีวิต

 คดีสยองขวัญที่เกิดขึ้นติดๆ กันในเมืองลีดส์ ทำให้ผู้หญิงหากินในย่านนั้น เกิดความหวาดกลัวสุดขีด หลายคนย้ายที่ทำกินออกไปไกลจากพื้นที่เกิดเหตุ แต่ส่วนใหญ่มักไปไม่ไกลจากถิ่นเดิมนัก เช่น เมืองแบรดฟอร์ด ที่ซึ่งยอร์กเชียร์ ริปเปอร์ ตามไปก่อเหตุได้อย่างไม่ยากเย็นนัก โดย 23 เมษายน 2520 โสเภณีคนหนึ่งถูกฆ่าและชำแหละบนเตียงนอนของเธอเอง อีก 2 เดือนถัดมา เกิดขึ้นกับเด็กสาวเคราะห์ร้ายวัย 16 ปี ลูกจ้างร้านแห่งหนึ่งในเมืองลีดส์ รูปแบบการสังหารไม่แตกต่างกันเลยกับเหยื่อที่ผ่านๆ มาของฆาตกรแห่งยอร์กเชียร์

 หลังเกิดเหตุฆาตกรรมต่อเนื่อง ตำรวจทั้งลีดส์ แบรดฟอร์ด ฮัดเดอร์ฟิลด์ หรือแม้แต่ในแมนเชสเตอร์ที่อยู่ห่างออกไปเกือบ 40 ไมล์ ตำรวจมากกว่า 30 นายได้รับมอบหมายให้สืบหาตัวฆาตกรรายนี้ แต่การทุ่มเทอย่างหนักของตำรวจกลับไม่เป็นผล นอกจากทำให้ยอร์กเชียร์ ริปเปอร์ ทิ้งช่วงลงมือก่อเหตุร้ายออกไปเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

 1 ปีเต็มที่ข่าวยอร์กเชียร์ ริปเปอร์ เงียบหายไป พร้อมๆ กับความล้มเหลวของตำรวจ กระทั่งปี 2522 เหยื่อรายแรกต้องพบกับจุดจบ หลังการกลับมาอีกครั้งของเขา และอีกหลายรายที่มีชะตากรรมอันน่าเวทนาเหมือนกัน ครั้งนี้ตำรวจค้นพบว่าเหยื่อฆาตกรรมไม่ใช่เฉพาะหญิงโสเภณีอีกต่อไป แต่เป็นใครก็ได้ที่อยู่ตามลำพังคนเดียวในตอนกลางคืน เช่น เสมียนสาววัย 19 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หรือข้าราชการหญิงวัยกลางคนก็ตกเป็นเป้าหมายของฆาตกรแห่งยอร์กเชียร์

 เดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2523 มีเหยื่อซึ่งเป็นผู้หญิง 2 รายรอดพ้นความตายจากเงื้อมมือของวายร้ายผู้นี้มาได้ แต่ไม่ใช่นักศึกษาสาวอีกคนที่จบชีวิตลงในเวลาต่อมาปรากฏว่าเธอเป็นเหยื่อรายสุดท้ายของยอร์กเชียร์ ริปเปอร์

 อย่างไรก็ตาม ระหว่างการสืบสวนหาตัวฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ "จอร์จ โอลด์ฟิลด์" สารวัตรหัวหน้างานสืบสวน ได้รับมอบหมายให้ติดตามหาตัวยอร์กเชียร์ ริปเปอร์ ได้รับจดหมาย 2 ฉบับ ลงชื่อ "แจ็ค เดอะ ริปเปอร์" และเทปบันทึกเสียงความยาว 2 นาที ใจความว่า...

 "ผมชื่อแจ็ค พวกคุณโชคไม่ดีที่ยังจับผมไม่ได้ จอร์จ ผมขอคารวะคุณ แต่ตอนนี้คุณยังไกลเกินกว่าที่จะจับผม ไม่เหมือนเมื่อ 4 ปีก่อนตอนที่เริ่มรับงานนี้ คนของคุณทำให้คุณผิดหวัง ? จอร์จคุณไม่เก่งจริงใช่ไหม ? ครั้งเดียวที่ตำรวจใกล้แตะตัวผมก็เมื่อ 2 เดือนก่อน ที่ชาเพลทาวน์ทำให้ผมลำบากมากทีเดียว โชคดีที่พวกเขาเป็นตำรวจในเครื่องแบบไม่ใช่สายสืบ อยากบอกคุณว่าในเดือนมีนาคม ผมจะเล่นงานเหยื่ออีก ไม่แน่ใจว่าลงมือเมื่อใด แต่แน่นอนว่าต้องเป็นในปีนี้แน่ อาจจะเป็นเดือนกันยายน ตุลาคม หรือเร็วกว่านั้นหากมีโอกาส มีเหยื่อมากมายคอยอยู่แล้ว พวกเธอไม่เคยติดตามข่าว ใช่ไหม จอร์จ ? ผมจะทำต่อไปในสิ่งที่อยากทำ ยังมองไม่เห็นทางว่าจะถูกจับ แต่หากว่าพวกคุณใกล้จับผมได้ ผมจะชิงฆ่าตัวตายก่อน ดีใจที่ได้คุย ปีเตอร์ ซัตคลิฟฟ์"

 ครั้งแรกที่ตำรวจและเอฟบีไอได้ฟังเทป พวกเขาลงความเห็นว่า เจ้าของเสียงไม่ใช่ฆาตกร ก่อนจะให้ความเห็นเกี่ยวกับลักษณะบุคคลของฆาตกรยอร์กเชียร์ ริปเปอร์ ว่าไม่ใช่คนที่จะติดต่อกับตำรวจ เป็นคนโดดเดี่ยวจนเกือบจะเป็นมนุษย์ล่องหน อายุ 20 ปลายๆ หรือ 30 ต้นๆ ออกจากโรงเรียนกลางคัน ไม่ได้เรียนสูง สามารถเข้าไปในที่เกิดคดีฆาตกรรมโดยไม่มีใครสนใจ หรือไม่ดึงดูดความสนใจจากใคร เนื่องจากงานประจำทำให้เขาไปที่นั่น เช่น คนขับแท็กซี่ คนขับรถบรรทุก บุรุษไปรษณีย์ หรืออาจเป็นตำรวจก็ได้

 เป็นไปได้ว่าเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงสักคน แต่มีปัญหาทางจิตรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ หลังจากเป็นมาหลายปี การฆ่าเป็นเพียงความพยายามที่จะลงโทษผู้หญิง !?!

 ท้ายที่สุดแล้ว "ยอร์กเชียร์ ริปเปอร์" ก็ถูกจับได้ด้วยความบังเอิญ เมื่อเขาจอดรับโสเภณีคนหนึ่งขึ้นรถในเมืองเชฟฟิลด์ เมื่อวันที่ 2 มกราคม 1981 ไม่กี่นาทีต่อมาตำรวจสายตรวจเรียกหยุดรถตรวจสอบหมายเลขทะเบียนแล้วพบว่า เป็นรถที่ถูกโจรกรรมมา จึงจับกุมชายเคราดำคนขับชื่อ "ปีเตอร์ ซัตคลิฟฟ์" วัย 35 ปี เมื่อนำตัวไปตรวจค้นตำรวจก็พบ "ค้อนหัวกลมและไขควง" ที่ซัตคลิฟฟ์นำไปทิ้งและมีดสปริงที่ซ่อนไว้ในแท็งก์น้ำ เมื่อตำรวจกลับมาบอกว่าพบอะไรบ้าง เขาสวนกลับมาทันทีว่า

 "ผมคิดว่าพวกคุณกำลังตามหายอร์กเชียร์ ริปเปอร์...ผมนี่แหละคือเขา !?!"

 ปีเตอร์ ซัตคลิฟฟ์ เป็นคนขับรถบรรทุกบริษัทแห่งหนึ่ง ออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 15 ปี แต่งงานเมื่ออายุ 21 ปี ในขณะที่ภรรยามีอายุเพียง 16 ปี ช่วง 7 ปีที่อยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานแยกทางกันหลายครั้ง จากการทะเลาะเบาะแว้งอย่างรุนแรง และเขาเริ่มฆ่าเหยื่อรายแรกในช่วง 1 ปีของชีวิตแต่งงาน สาเหตุเกิดจากความเกลียดโสเภณีที่เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2512 ขณะเขาอายุได้ 22 ปี โสเภณีข้างถนนที่เขารับขึ้นรถไม่ยอมทอนเงินให้ หลังจากส่งธนบัตรใบละ 10 ปอนด์ให้ นั่นทำให้เขาโกรธมาก

 ในชั้นศาล ปีเตอร์ ซัตคลิฟฟ์ ให้การรับสารภาพในข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา สุดท้ายศาลพิพากษาว่าเขาทำผิดในคดีฆาตกรรม 13 กระทง และพยายามฆ่าอีก 7 กระทง ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
 
 
 จิตวิเคราะห์ : แผลเป็นในอดีตฝังใจ

 ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาชื่อดัง วิเคราะห์พฤติกรรมของฆาตกรโรคจิตรายนี้ว่า เป็นผู้ที่มีความแค้นฝังใจ เพราะในอดีตเคยถูกกระทำมาก่อน ซึ่งมีอยู่หลายระดับที่แตกต่างกัน บางรายเคยถูกผู้ชายข่มขืนก็จะเกลียดผู้ชายทุกคน แต่ไม่ถึงกับเคียดแค้นทำร้ายเขา แต่จะเก็บสะสมความเกลียดไว้ บางครั้งอาจจะระเบิดออกมาก็ได้ และจะกระทำในสิ่งที่ตัวเองเคยเกลียดชัง

 "คดีภาคใต้ฆาตกรไม่ใช่คนเลวร้าย เพียงแต่เขาเคยถูกทำร้ายมาก่อนตั้งแต่ 40-50 ปีก่อน เขาเคยถูกทำร้ายคุกคาม แล้วพวกเขาก็ทำกลับคืน ยกตัวอย่างคดีรัดคอฆ่าหั่นศพ ตอนเด็กๆ ฆาตกรเคยเห็นพ่อถูกฆ่าด้วยวิธีเดียวกันนี้ เลยฝังใจมาตั้งแต่เด็ก แล้วเขาก็กระทำแบบเดียวกัน อีกตัวอย่าง คดีข่มขืนฆาตกรถูกน้าสาวข่มขืนมาก่อน สุดท้ายก็มาข่มขืนหลานสาวตัวเอง เป็นสภาวะจิตหลอนจากการถูกกระทำ แล้วมันมาฝังอยู่ในเส้นประสาทจิตใต้สำนึก เช่นเดียวกันคดีฆ่าโสเภณีต่อเนื่อง ฆาตกรอาจเคยถูกโสเภณีหลอกปล้น หลอกขโมยทรัพย์สินทำให้อับอาย เลยมีความแค้นฝังใจต้องฆ่าโสเภณี" ดร.วัลลภ วิเคราะห์

 อย่างไรก็ตาม ดร.วัลลภ มองด้วยสายตาจิตวิเคราะห์ถึงฆาตกรส่วนใหญ่ จากการที่เข้าไปสัมผัสพูดคุยในเรือนจำยิ่งพบว่า ฆาตกรส่วนใหญ่เคยมีประวัติถูกทำร้าย ถูกกระทำไม่ดีมาก่อน และมีความฝังใจในสิ่งที่เคยถูกกระทำ แต่สุดท้ายพวกเขาก็มักจะกระทำในสิ่งที่เคยถูกกระทำมาแล้วต่อผู้อื่น จึงอยากจะบอกว่าฆาตกรไม่ใช่คนเลวโดยกำเนิด แต่ถูกสิ่งแวดล้อมรอบตัวทำให้เขาเป็น และในสังคมไทยก็กำลังมีคนแบบนั้นเยอะพอสมควร