ข่าว

พ.ร.บ.การเดินอากาศพ.ศ.2558?!?ที่ประชาชนต้องรู้!!

พ.ร.บ.การเดินอากาศพ.ศ.2558?!?ที่ประชาชนต้องรู้!!

18 พ.ย. 2558

พ.ร.บ.การเดินอากาศ พ.ศ.2558?!? ที่ประชาชนต้องรู้!! : ปฏิญญา เอี่ยมตาล ทีมข่าวรายงานพิเศษ

           สร้างความตื่นตระหนกจนทำให้ผู้คนบนเครื่องบินสายการบินไลอ้อนแอร์ต้องตื่นตระหนกกันไปทั่ว หากใครยังจำเหตุการณ์เมื่อประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนกรณีหนุ่มวัย 23 ปี เกิดความสนุกคะนองปากแซวสาวแอร์โฮสเตสบนเครื่องบินสายการบินไลอ้อนแอร์ว่า มีระเบิดซุกซ่อนอยู่

           แม้จะเป็นเรื่องล้อเล่นเพราะความคึกคะนองของ “พิชิต บุญแดง” หนุ่มวัย 23 ปี ที่ตกเป็นผู้ต้องหา ความผิด พ.ร.บ.การเดินอากาศ พ.ศ.2558 มาตรา 22  โดยไม่รู้ตัว เพราะหลุดปากพูดแซว สาวแอร์โฮสเตส บนเครื่องบินสายการบินไลอ้อนแอร์ ที่กำลังจะบินจากท่าอากาศยานดอนเมืองสู่ปลายทางหาดใหญ่ เมื่อบ่ายวันที่ 1 พฤศจิกายน ต้องหยุดชะงัก

           ขณะที่แอร์สาวกำลังนำกระเป๋าผู้โดยสารเก็บในช่องเหนือศีรษะบนเครื่องถึงกับอึ้ง กับประโยคคำพูดของพิชิต ที่ว่า “เก็บกระเป๋าให้ดี ระวังมีระเบิดซุกซ่อนอยู่” ด้วยสัญชาตญาณของแอร์โฮสเตสสาว ทำให้รับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น จึงนำเรื่องแจ้งกัปตันทันทีตามหลักระบบความปลอดภัยอากาศยาน

           จากนั้นมีคำสั่งยกเลิกเที่ยวบินดังกล่าว สร้างความแตกตื่น โกลาหล เมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (อีโอดี) การท่าอากาศยาน ลงพื้นที่ เข้าตรวจสอบกระเป๋าเจ้ากรรมอย่างละเอียด สุดท้าย ไม่พบระเบิดหรือวัตถุต้องสงสัย ตามที่กล่าวอ้าง กลายเป็นเรื่องโอละพ่อที่เกิดขึ้นโดยรู้ท่าไม่ถึงการณ์

           แต่เรื่องราวไม่จบแค่นั้น นายพิชิต ถูกควบคุมตัวไปสอบสวนดำเนินคดีตามที่สายการบินแจ้งความไว้ ในความผิดร้ายแรง ข้อหา แจ้งข้อความหรือส่งข่าวสารซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จ แต่การนั้นเป็นเหตุให้ผู้ที่อยู่ในอากาศยานระหว่างบินตื่นตกใจ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล และถูกฟ้องร้องทางแพ่งด้วยต้องชดใช้ความเสียหายนับล้านบาท ที่ทำให้เที่ยวบินไม่สามารถออกบินได้ตามกำหนด

           “พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ บัณฑิตย์” ผกก.สน.ดอนเมือง บอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า อย่าได้พูดล้อเล่นในสิ่งที่ไม่ควร เพราะปัจจุบันมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.การเดินอากาศว่าด้วย การกระทำผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ.2558 เป็น พ.ร.บ.ใหม่มีผลบังคับใช้เมื่อเดือน กุมภาพันธ์

           “ตั้งแต่บังคับใช้ เพิ่งพบเป็นกรณีแรก แม้เจ้าตัวยอมรับเป็นการแซวเล่น แต่ในทางกฎหมายแล้วเป็นความผิดมาตรา 22 มีโทษหนักมาก การสอบสวนคดีนี้ยังไม่เสร็จรอสอบปากคำแอร์โฮสเตส และผู้โดยสารบนเครื่องบินที่อยู่ในที่เกิดเหตุ คาดว่าใช้เวลาสรุปสำนวนไม่เกิน 3 สัปดาห์ โทษที่ได้รับ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ส่วนเรื่องฟ้องแพ่งเป็นอีกคดี เพราะทำให้สายการบินเกิดความเสียหาย” ผกก.สน.ดอนเมือง กล่าวและว่า

           ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมาพูดเล่นแบบนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ทำให้ตื่นตกใจ เป็นที่รู้กันว่า ในสนามบินหรือสายการบินเอง เขามีความเซนซิทีฟต่อเรื่องความปลอดภัยมาก ขอเตือนว่า ไม่ควรพูดล้อเล่นเช่นนี้ และไม่ควรเลียนแบบเด็ดขาด แม้จะพลั้งเผลอสนุกปากก็ตาม

           ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยไม่ตั้งใจ ประชาชนควรรู้จัก พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ.2558 ให้มากขึ้น ว่า การกระทำลักษณะใด เข้าข่ายความผิดบ้าง รวมถึงการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องขณะอยู่ในท่าอากาศยาน และบนเครื่องบิน

           พ.ร.บ.การเดินอากาศ พ.ศ.2558 ว่าด้วยความผิดบางประการที่ประชาชนต้องรู้ มีผลบังคับใช้ 14 กุมภาพันธ์ 2558

           มาตรา 7  ขณะอยู่ในอากาศยานระหว่างบิน ผู้ใดฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามคําสั่งผู้ควบคุมอากาศยานหรือเจ้าหน้าที่ประจําอากาศยาน ระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

           มาตรา 8 ผู้อยู่ในอากาศยานระหว่างการบิน ห้ามสูบบุหรี่ในห้องน้ำหรือที่อื่นใดที่มิใช่สถานที่ที่จัดไว้ให้สูบบุหรี่เป็นการเฉพาะ ห้ามใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในเวลาที่ห้ามใช้ ห้ามมีสิ่งที่มีประกาศห้ามมิให้นําขึ้นไปในอากาศยานไว้ในการครอบครอง  ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท ความผิดตามวรรคหนึ่งให้ผู้ควบคุมอากาศยานมีอํานาจรับชําระค่าปรับในอัตราขั้นสูงจากผู้กระทําความผิดได้ และเมื่อผู้กระทําความผิดได้ชําระค่าปรับแล้ว ให้คดีเลิกกัน    

           มาตรา 9 ผู้อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบินผู้ใดทําให้เครื่องตรวจจับควันหรืออุปกรณ์อื่นใด ในอากาศยานที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของอากาศยานไม่ทํางาน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ  

           มาตรา 10 ผู้อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบินผู้ใดใช้กําลังประทุษร้ายผู้อื่น

           ต้องระวางโทษ จําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 80,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

           มาตรา 11 ผู้อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบิน ห้ามกระทําต่อร่างกายผู้อื่นอันเป็นการมุ่งหมายในทางเพศ หรือกระทําการอันควรขายหน้าต่อหน้าธารกํานัลโดยเปลือยหรือเปิดเผยส่วนของร่างกาย หรือใช้วาจาลวนลามหรือแสดงกิริยาท่าทางอันเป็นการลามก ระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 120,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

           มาตรา 12 ผู้อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบินห้ามใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น ทําให้เสียทรัพย์ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือใช้สารที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท หรือก่อให้เกิดความวุ่นวายและเป็นอันตราย ระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ  

           มาตรา 13 ผู้ใดใช้กําลังทําร้าย หรือทำให้ผู้ควบคุมอากาศยาน หรือเจ้าหน้าที่ประจําอากาศยาน เกิดความกลัว ตกใจ ขู่เข็ญ ทำให้ประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ลดลง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 280,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ  

           มาตรา 14 ผู้ใดไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไปหรือซ่อนตัวอยู่ในอากาศยานในระหว่างบริการ หรือไม่ยอมออกไปเมื่อผู้ควบคุมอากาศยานได้สั่งให้ออกไปจากอากาศยานต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ  

           มาตรา 15 ผู้อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบินผู้ใดทําร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของอากาศยาน ระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000-400,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ  

           มาตรา 16 ผู้อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบินผู้ใดฆ่าผู้อื่น ถ้าการกระทํานั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของอากาศยาน ผู้กระทําต้องระวางโทษประหารชีวิต  

           มาตรา 17 ผู้อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบิน ผู้ใดยึดหรือเข้าควบคุมอากาศยานโดยใช้กําลัง ประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายผู้อื่น หรือขู่ว่าจะกระทําอันตรายต่ออากาศยานนั้น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จําคุกตลอดชีวิต หรือจําคุกตั้งแต่ 10-20 ปี

           มาตรา 18 ผู้ใดทำลายอากาศยานระหว่างบริการ ทําให้อากาศยานเสียหายไม่สามารถทําการบินได้หรือเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัย ต้องระวางโทษประหารชีวิต

           จําคุกตลอดชีวิต หรือจําคุกตั้งแต่ 15-20 ปี และปรับตั้งแต่ 600,000-800,000 บาท

           มาตรา 19 ผู้ใดใช้อาวุธหรือวัสดุอื่นใด เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของท่าอากาศยาน ระวางโทษประหารชีวิต จําคุกตลอดชีวิต หรือจําคุกตั้งแต่ 15-20 ปี และปรับตั้งแต่ 600,000-800,000 บาท

           มาตรา 20 ผู้ใดใช้อาวุธฆ่าผู้อื่นในท่าอากาศยาน หรือการกระทํานั้นเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของท่าอากาศยาน ต้องระวางโทษประหารชีวิต

           มาตรา 21 ผู้ใดทําลายหรือทําให้เสียหาย แก่เครื่องอํานวยความสะดวกในการเดินอากาศ หรือทำให้เกิดขัดข้อง เป็นอันตรายต่อความปลอดภัย อากาศยานในระหว่างการบิน ระวางโทษประหารชีวิต จําคุกตลอดชีวิต หรือจําคุกตั้งแต่ 15-20 ปี และปรับตั้งแต่ 600,000-800,000 บาท 

           จะเห็นว่า ความผิดมาตราต่างๆ ข้างต้น เป็นความผิดที่มีอัตราโทษร้ายแรงมาก ไม่เว้นแม้แต่ความผิดเรื่องของการพูดจาลวนลาม ทำลามกอนาจารบนเครื่องบิน หรือแม้แต่การเมาสุราอาละวาดบนเครื่องบินด้วย ซึ่งที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ผู้เสียหายส่วนใหญ่มักไม่ค่อยแจ้งความดำเนินคดี เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเสียเวลา

           ด้าน พ.ต.ท.ศุภกฤช เดือนแจ้งรัมย์ ผู้ชำนาญการด้านกฎหมาย อธิบายว่า เมื่อมีการกระทำความผิดอาญาในสนามบิน หรือบนเครื่องบิน ผู้มีอำนาจในการสอบสวนคือ ตำรวจท้องที่ตามที่ผู้เสียหายแจ้งความ ซึ่งอาจเป็นตำรวจท้องที่ ตำรวจท่องเที่ยวหรือตำรวจกองปราบปรามก็ได้แล้วแต่กรณี หรือลงจากเครื่องก็แจ้งที่ตำรวจประจำสนามบินก็ได้

           “ทั้งสุวรรณภูมิและดอนเมือง มีสถานีตำรวจย่อยอยู่ในนั้น พนักงานสอบสวนจะใช้ดุลพินิจตรวจสอบว่า ความผิดที่แจ้งเป็นคดีอาญาหรือไม่ หรือเป็นความผิด พ.ร.บ.การเดินอากาศ ส่วนเรื่องเมาสุรา โวยวาย ก่อความรำคาญ บนเครื่องเป็นความผิดลหุโทษ ไม่เข้าข่ายอาญามีโทษเพียงปรับเท่านั้น แต่หากกรณีครองสติไม่ได้ ขว้างปาข้าวของเสียหาย หรือทำร้ายร่ายกายผู้อื่นทำให้บาดเจ็บ ถือเป็นความผิดอาญายอมความไม่ได้”

           ขณะเดียวกันทีมข่าว “คม ชัด ลึก” ได้รับการชี้แจงจากพนักงานสอบสวน สภ.สุวรรณภูมิ ว่า หลังจากบังคับใช้ พ.ร.บ.การเดินอากาศฯ ดังกล่าว ยังไม่พบการกระทำผิดมาตรา 22 เช่นกรณีนายพิชิต มีเพียงการแจ้งความข้อหา ลักทรัพย์มากที่สุด รองลงมาคือ ปลอมแปลงหนังสือเดินทาง เรื่องผู้โดยสารเมาสุราสร้างความเดือดร้อนรำคาญบนเครื่องบิน มีน้อยมากใน 1 ปี จะมีเพียง 4-5 รายเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ คนไทยไม่ปรากฏ

           พ.ร.บ.การเดินอากาศฯ เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องรู้ เพื่อการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง จะได้ไม่ตกเป็นผู้ต้องหาที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ตามที่เป็นข่าว เนื่องจากทุกวันนี้สายการบินโลว์คอสต์ในประเทศมีเป็นจำนวนมาก แข่งขันกันในเรื่องราคาค่าโดยสารค่อนข้างถูก ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่นิยมใช้บริการเพราะร่นเวลาการเดินทางให้รวดเร็วขึ้น

             ถัดมาเพียงอีกไม่ถึง 10 วัน ได้เกิดเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้อีก โดยตำรวจ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จับกุมหนุ่ม “พนักงานยกกระเป๋ารถลีมูซีน” ปากพล่อยอ้างว่าได้พกระเบิดเข้ามาในสนามบิน ซึ่งการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก น.ส.วนิดา พะอบแก้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำจุดตรวจช่องทางเข้าผู้ติดบัตรพื้นที่ควบคุมบริเวณอาคารผู้โดยสารชั้น 2 ประตู 8 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแจ้งว่า นายวัฒนาเดินอุ้มกล่องกระดาษใบดังกล่าวมาที่จุดตรวจเพื่อขอผ่านเข้าไปภายในพื้นที่หวงห้าม จึงขออนุญาตตรวจค้นตามมาตรการรักษาความปลอดภัย แต่ขณะกำลังตรวจค้นอยู่ชายคนดังกล่าวบอกว่า “ข้างในมีระเบิดแสวงเครื่องนะ” ด้วยความตกใจ จึงรีบควบคุมตัวและแจ้งผู้บังคับบัญชาให้เข้าร่วมตรวจสอบทันที ก่อนที่จะจับดำเนินคดี ซึ่งถือเป็น "รายที่สอง" ต่อจากพิชิต