ข่าว

'ไขมัน'นกกระจอกเทศแปรรูปสู่'น้ำมัน-โลชั่น'สร้างมูลค่าเพิ่ม

'ไขมัน'นกกระจอกเทศแปรรูปสู่'น้ำมัน-โลชั่น'สร้างมูลค่าเพิ่ม

09 พ.ย. 2558

ต่อยอด'ไขมัน'นกกระจอกเทศแปรรูปสู่'น้ำมัน-โลชั่น'สร้างมูลค่าเพิ่ม : คมคิดธุรกิจนิวเจน โดย...ณัฎฐ์ชิตา เกิดแดง

               หลายคนคงรู้จัก “นกกระจอกเทศ” เป็นอย่างดี เพราะช่วงหนึ่งเคยเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่ได้รับการส่งเสริม ทำให้เมืองไทยเองก็มีฟาร์มนกกระจอกเทศหลายแห่งและมีการเพาะพันธุ์ขายเอง รวมไปถึงชำแหละเนื้อขายในราคาแสนแพงกิโลกรัมละ 700 บาท หรือขายเป็นอาหารราคาจานหนึ่งตก 300-500 บาท ส่วนขน หนัง และไข่ สามารถนำไปขายทำเงินได้

               นอกจากนี้ ยังมีีอีกส่วนหนึ่งที่สามารถนำมาแปรรูปต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นสินค้าได้ นั่นคือ “ไขมัน” สำหรับนำมาใช้ทำน้ำมันและครีมทาผิวที่มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวดีเลิศขนาดที่มีเสียงร่ำลือว่าผู้หญิงสวยอย่าง “คลีโอพัตรา” ก็เคยใช้มาแล้ว

               ฟาร์มนกกระจอกเทศ ที่อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี 1 ใน 5 ฟาร์มใหญ่ที่สุดของไทย ซึ่งยังหลงเหลืออยู่ในเวลานี้ เป็นผู้คิดริเริ่มนำน้ำมันนกกระจอกเทศมาแปรรูปเป็นน้ำมันบำรุงผิวเมื่อ 2 ปีก่อน เพื่อนำวัตถุดิบที่มีอยู่มาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม เพราะจากที่เคยขายน้ำมันได้กิโลละ 40 บาท เมื่อนำมาผ่านกรรมวิธีและบรรจุขวดขายเป็นน้ำมันทาผิว 1 ขวดน้ำหนัก 100 มิลลิกรัม สามารถขายได้ในราคา 450 บาททีเดียว

               “ธนัทพร หมีปาน” เจ้าของฟาร์มเล่าว่า เดิมที่บ้านทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์อยู่แล้ว โดยเลี้ยงวัวเป็นหลัก พี่ชายและพี่สาวได้ร่วมกันคิดว่าน่าจะหาสัตว์อย่างอื่นมาเลี้ยงเพื่อหารายได้เพิ่ม ซึ่งไปสะดุดที่นกกระจอกเทศ หลังจากศึกษาข้อมูลแล้วพบว่านกกระจอกเทศเป็นสัตว์เมืองร้อน เลี้ยงไม่ยากและให้ผลผลิตที่ดีแต่ละปีออกไข่ถึง 80 ฟอง และเหลือรอดฟักเป็นตัวอย่างน้อยก็ 50 ตัว ที่สำคัญ ขน หนัง เนื้อ ไข่ สามารถขายทำเงินได้อีกด้วย ประกอบกับเมื่อ 14 ปีก่อน รัฐบาลให้การส่งเสริมการเลี้ยงนกกระจอกเทศเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ทำให้การนำเข้านกกระจอกเทศทำได้ไม่ยาก ช่วงแรกที่ฟาร์มนำเข้ามาทดลองเลี้ยง 4 ตัวก่อน

               "ก่อนจะเลี้ยงนกกระจอกเทศอย่างจริงจัง พี่ชายต้องลงทุนไปเข้ารับการอบรมกับทางกรมปศุสัตว์นานถึง 3 เดือนเรียกว่ากินนอนในฟาร์มเพื่อจะได้นำวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้องมาใช้ในฟาร์ม ซึ่งตอนนั้นเป็นเรื่องใหม่มาก ยังไม่ค่อยมีฟาร์มไหนกล้าเลี้ยงนกกระจอกเทศ เพราะเลี้ยงให้รอดยาก ต้องดูแลใกล้ชิด มีความเสี่ยงสูงถ้าเลี้ยงไม่ถูกวิธีหรือให้อาหารไม่เหมาะสมก็ไม่รอด จนมีนกกระจอกเทศพ่อแม่พันธุ์ 100 กว่าตัว และนกกระจอกเทศขุนกว่า 500 ตัว”

               ธนัทพรบอกว่า ต้องเลี้ยงและลงทุนไปกับค่าอาหาร รวมทั้งการดูแลมากพอสมควร จนอายุครบ 1 ปีถึงจะชำแหละขายและมีรายได้กลับเข้ามา โดยฟาร์มลงทุนสร้างโรงชำแหละที่ได้มาตรฐานใช้เงินไปหลายล้านบาท และปัจจุบันนกกระจอกเทศเองก็ไม่ใช่สัตว์เศรษฐกิจและไม่ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลเหมือนในอดีต แม้ว่าจะมีรายได้จากการชำแหละนกกระจอกเทศขายไม่น้อยแต่ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงก็สูงเช่นกัน ทำให้ที่ฟาร์มเริ่มคิดหาสินค้าที่จะช่วยสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง โดยได้ศึกษาข้อมูลจากต่างประเทศ จบพบว่าน้ำมันของนกกระจอกเทศมีคุณสมบัติที่ดีมีทั้งมีโอเมก้า 3, 6, 9 และมีโมเลกุลที่เล็กกว่าผิวของมนุษย์ สามารถปรับสภาพผิวและซึมลงสู่ใต้ผิวหนังอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปใช้ได้กับโรคข้ออักเสบ เจ็บกล้ามเนื้อ เคล็ดขัดยอก ปวดข้อ รักษาแผลไฟไหม้ สิวผื่น ผมแห้ง รอยแผลเป็นอีกด้วย

               จากคุณสมบัติของน้ำมันนกกระจอกเทศดังกล่าว จึงกลายเป็นที่มาของการทำน้ำมันชื่อว่า "AKARA” ซึ่งเป็นน้ำมันนวดสปาตัวแรกและน่าจะเป็นเจ้าแรกในเมืองไทย โดยสามารถนำมาทาตัวทาหน้าได้ เพราะไม่มีสารอื่นใดปนเป็นน้ำมันนกกระจอกเทศจากธรรมชาติล้วนๆ แต่ก็ยอมรับว่า น้ำมันนวดสปาชนิดนี้ เป็นสินค้าค่อนข้างใหม่สำหรับตลาดและถือว่ามีราคาแพงพอสมควร ราคาอยู่ที่ขวดละ 450 บาท ช่วงแรกๆ ต้องเน้นออกงานที่สนับสนุนสินค้าโอท็อปใหญ่ๆ เพื่อให้คนรู้จัก เช่น ที่เมืองทองธานี กรุงเทพฯ และนำไปฝากขายที่ร้านขายสินค้าโอท็อปประจำจังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดใกล้เคียง เช่น กาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐม เป็นต้น

               “ด้วยความที่เป็นสินค้าใหม่ช่วงแรกๆ คนอาจจะไม่ค่อยกล้าใช้ และยังไม่เป็นที่ยอมรับ ประกอบกับช่วงนั้นมีกระแสน้ำมันมะพร้าวที่มาแรง ซึ่งเมื่อบอกไปว่าน้ำมันนกกระจอกเทศคนก็จะไม่กล้าทดลองใช้ จึงต้องเน้นออกบูธเพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสทดลองใช้ เพราะหากได้ลองแล้วส่วนใหญ่จะติดใจ โดยส่วนตัวก็ลองใช้เองด้วยและการันตีเลยว่าช่วยให้แผลเป็นจางลงได้ภายใน 2-3 สัปดาห์ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการตรวจรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข”

               ดังนั้น หลังจากเริ่มมีลูกค้าประจำกลุ่มหนึ่ง ก็เริ่มสอบถามถึงสินค้าตัวอื่นๆ ทำให้ที่ฟาร์มคิดผลิตสินค้าตัวอื่นออกมาเพิ่มเติม แต่เน้นไปทางสกินแคร์  หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว จึงเป็นที่มาของโลชั่นทาผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมันนกกระจอกเทศ แต่เพื่อให้มีกลิ่นหอมมากขึ้นและใช้ง่ายจึงประยุกต์ด้วยการนำสมุนไพรไทยที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในการบำรุงผิวและช่วยเพิ่มความขาวที่กำลังได้รับความนิยมมาผสม เช่น มะเฟือง มะหาด ทำให้โลชั่นมีกลิ่มหอมขึ้นและสามารถขายได้ในราคาที่ถูกลงเหลือเพียงขวดละ 200 บาท ซึ่งจากการเปิดตัวโลชั่นทาผิวมาเป็นเวลา 2 ปี มีกระแสตอบรับที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะราคาจับต้องได้ และเมื่อลูกค้าทดลองใช้ จะเห็นถึงความแตกต่างจากครีมอื่นๆ ชัดเจน เนื่องจากคุณสมบัติของน้ำมันนกกระจอกเทศไม่เหมือนใคร ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น ไม่เหนียวเหนอะหนะ

               สำหรับการบริหารกิจการนั้น เธอบอกว่า ได้มีการแบ่งหน้าที่กัน โดยพี่สาวไปเรียนและอบรมการทำโลชั่นและสบู่ ส่วนเธอจะช่วยในเรื่องการจัดหาแพ็กเกจจิ้งที่ดูเข้ากับสินค้าและช่วยทำตลาดและหาช่องทางขายสินค้า ซึ่งการจัดวางตำแหน่งสินค้าก็จัดเป็นสินค้าเกรดพรีเมียม เน้นจับกลุ่มลูกค้าระดับบีบวกไปจนถึงเกรดเอ และมีแผนจะขยายตลาดเพิ่มมากขึ้นนอกเหนือจากการวางจำหน่ายในโอท็อป และลูกค้าสามารถโทรเข้ามาสั่งซื้อได้โดยตรง ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหนก็จัดส่งให้ได้ทางไปรษณีย์

               ล่าสุดจากการที่กระทรวงอุตสากรรมได้สนับสนุนสินค้าของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและโอท็อปให้มีช่องทางจำหน่ายมากขึ้น ทำให้สามารถวางขายในห้างเครือเซ็นทรัล จึงถือเป็นโอกาสขยายช่องทางการจำหน่ายมากขึ้นด้วย รวมทั้งเธอมีแผนจะเปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศเพื่อให้สินค้ากระจายไปได้ทั่วประเทศในอนาคต

               นอกจากสินค้าในกลุ่มสกินแคร์แล้ว เธออยากให้มีสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น จึงได้ผลิตสบู่ธรรมชาติผสมไขมันนกกระจอกเทศ (NATURAL SOAP) ออกมาด้วย โดยผสมกับพืชและผลไม้ไทยอย่าง มะเฟือง มังคุด มะหาด น้ำผึ้ง เป็นต้น น้ำหนัก 100 กรัม ขายเพียงก้อนละ 60 บาทเท่านั้นเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของลูกค้า เพราะที่ฟาร์มของเธอเป็นฟาร์มออแกนิกอยู่แล้ว จึงปลูกพืชที่จะนำมาใช้ประโยชน์ต่อยอดในผลิตภัณฑ์ได้ด้วย เช่น มะกรูด ก็จะนำมาทำยาสระผมแตกไลน์เป็นสินค้าอีกกลุ่มหนึ่งในการช่วยเพิ่มรายได้ให้ฟาร์มในภาวะที่เศรษฐกิจตกสะเก็ดแบบนี้

               ธนัทพรบอกว่า ในช่วง 2 ปีที่หันมาจับสินค้าที่ผลิตจากน้ำมันนกกระจอกเทศ ทำให้มั่นใจว่าในอนาคตตลาดน่าจะไปได้ดี ปีหน้ามองว่าจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นคนน่าจะมีกำลังซื้อมากขึ้น ก็น่าจะทำให้ยอดขายสินค้าน้ำมันนกกระจอกเทศเติบโตอย่างน้อย 10%

               “ขณะนี้คนไทยเริ่มรู้จักน้ำมันนกกระจอกเทศมากขึ้น เพราะกระแสใส่ใจสุขภาพกำลังมาแรง ประกอบกับการไปออกบูธตามงานต่างๆ ทำให้คนสนใจเพราะเป็นสินค้าแปลกใหม่ อย่างงานล่าสุดที่ตลาดนัดข้างทำเนียบรัฐบาลเมื่อเร็วๆ นี้ ได้รับความสนใจมากทีเดียว หลังจากนี้หากตลาดในประเทศเริ่มอยู่ตัวก็มีแผนจะส่งสินค้าไปขายต่างประเทศด้วย โดยมองว่าน่าจะได้ดี เพราะเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติที่รู้จักสรรพคุณของน้ำมันนกกระจอกเทศดีอยู่แล้ว"

เดินหน้าหากลุ่มเป้าหมายไม่เคยท้อ

               “ธนัทพร หมีปาน” หรือ แป๋ว ผู้จัดการฟาร์มในวัย 39 ปี เป็นลูกสาวเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ เลี้ยงวัว กระต่าย และกวาง บนฟาร์มปิดเนื้อที่ 30 ไร่ ในอ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ก่อนที่จะเริ่มขยับขยายพื้นที่ไปทำฟาร์มอีกแห่งใน จ.กาญจนบุรี สำหรับเลี้ยงนกกระจอกเทศเพิ่ม บนเนื้อที่ 30 ไร่ ซึ่งเมื่อรวมนกกระจอกเทศใน 2 ฟาร์มแล้วก็จะมีที่เลี้ยงไว้กว่า 200 ตัว ซึ่งเป็นที่สามารถเลี้ยงได้ในสภาพอากาศค่อนข้างร้อนในเมืองไทย ยกเว้นช่วงหน้าฝนที่ดูเหมือนจะไม่ถูกจริตสักเท่าไรกับนกชนิดนี้

               แม้ในช่วงแรกกำลังหลักของฟาร์มจะมาจากพี่ชายและพี่สาว จนกระทั่ง “แป๋ว” เรียนจบด้านบริหารธุรกิจจึงมีโอกาสเข้ามาช่วยงานที่ฟาร์มในตำแหน่งผู้จัดการ และทำงานอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย โดยหน้าที่หลักจะเน้นดูแลด้านการตลาด การขายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากน้ำมันนกกระจอกเทศ ซึ่งเธอยอมรับว่าความที่เป็นสินค้าใหม่ในตลาด ทำให้กว่าจะได้รับการยอมรับจากลูกค้าต้องใช้เวลานานเป็นปี แต่ก็ไม่ย่อท้อยังเดินหน้าขยายตลาดและหากลุ่มเป้าหมายให้เจอ เพราะเชื่อว่าด้วยคุณสมบัติและสรรพคุณของน้ำมันนกกระจอกเทศจะทำให้คนที่ได้ทดลองใช้ติดใจและกลับมาซื้อซ้ำ พร้อมทั้งคาดหวังว่าในอนาคตจะสามารถสร้างรายได้กลับมาให้ฟาร์มได้มากขึ้น

               “ตอนนี้ยังไม่มีใครทำน้ำมันหรือโลชั่นจากนกกระจอกเทศ เราน่าจะเป็นเจ้าเดียวในตลาดขณะนี้ ก็เลยเหมือนทำตลาดอยู่คนเดียว แต่ในอนาคตหากมีรายอื่นเข้ามาผลิตน้ำมันนกกระจอกเทศขายเป็นเพื่อนด้วยก็ยิ่งดี อยากให้คนเข้ามาในธุรกิจนี้มากขึ้นจะได้ช่วยกันทำให้คนรู้จักน้ำมันนกกระจอกเทศ”

               เธอมองว่า ยิ่งมีคนลงทุนทำฟาร์มนกกระจอกเทศมากขึ้นจากที่ปัจจุบันมีเพียง 5 ฟาร์ม ก็จะเป็นการดี เพราะจะได้ช่วยกันทำให้นกกระจอกเทศเป็นสัตว์เศรษฐกิจของไทย เพราะสินค้าน้ำมันนกกระจอกเทศของเธอที่ได้แค่ 4 ดาว ไม่ถึง 5 ดาว เนื่องจากไม่ได้คะแนนในข้อที่ใช้วัตถุดิบจากแหล่งกำเนิดในประเทศไทย ซึ่งนกกระจอกเทศถูกตีว่าเป็นการนำเข้ามาทั้งที่ฟาร์มเธอเลี้ยงมานานถึง 14 ปีแล้วและรุ่นหลังๆ ก็จะเพาะทำพันธุ์เอง

               นอกจากนี้ เนื้อนกกระจอกเทศที่แต่ละฟาร์มขายรวมกันเวลานี้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค อย่างที่ฟาร์มจะมีร้านค้าภัตตาคารแห่มาจองซื้อกันอย่างมาก ขณะที่ทางการหรือรัฐบาลเองก็ควรสนับสนุนให้มีการนำเข้าลูกนกกระจอกเทศได้ง่ายเหมือนในอดีต เพราะพอรัฐบาลเปลี่ยนนโยบายก็เปลี่ยน ผู้ที่ลงทุนเลี้ยงไปแล้วก็ไม่ได้รับการเหลียวแลต้องต่อสู่ดิ้นรนเอาตัวรอดกันเอง