
ฆาตกรรมนักเรียนสาว เร่งเร้าขัดแย้งชุมชนระนอง
01 พ.ย. 2558
เรื่องเล่าข่าวดัง : ฆาตกรรมนักเรียนสาว เร่งเร้าขัดแย้งชุมชนระนอง : โดย...ทีมข่าวอาชญากรรม
หลายสิบปีมาแล้ว ที่ชาว จ.ระนอง จำนวนไม่น้อยต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวง หลายครอบครัวตัดสินใจส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อหรือไปพักอาศัยอยู่นอกพื้นที่ สาเหตุหลักๆ ไม่ใช่เพราะสมาชิกภายในครอบครัวมีมากจนเกินไป หรือความอัตคัดขาดแคลนในทรัพยากรภายในจังหวัดจนทำให้ประชากรไม่มีอาชีพต้องย้ายถิ่นฐานแต่อย่างใด แต่หลายรายให้เหตุผลตรงกันคือ ความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน
จำนวนไม่น้อยพูดจาไปในทิศทางเดียวกันว่า ระนองในวันนี้สัดส่วนที่เป็นคนไทยลดน้อยถอยลงไปทุกที ผู้ที่เข้ามาพักอาศัยในจังหวัดเล็กๆ ชายฝั่งอันดามันแห่งนี้ กลับกลายเป็นแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งนับวันยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
แทบทุกชุมชนในจังหวัดแห่งนี้กลายเป็นถิ่นที่อยู่ของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในจำนวนนี้มีทั้งที่อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และหลบหนีเข้าเมืองหรืออยู่ในราชอาณาจักรไทยเกินกำหนด
หลายชุมชนกลายเป็นถิ่นที่อยู่ของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน จนชาวระนองเองไม่อยากจะย่างกรายเข้าไปในพื้นที่เหล่านั้น ซึ่งแน่นอนเหตุผลอันดับต้นๆ คือ ไม่มั่นใจในสวัสดิภาพของตัวเอง
“เป็นเช่นนี้มานานแล้ว ไปดูได้แทบทุกพื้นที่เขาอยู่กันหมด แม้แต่ในตลาด ไปดูได้ที่ตลาดล่างเหลือคนไทยอยู่สักกี่คน ยิ่งย่านสะพานปลาไม่ต้องพูดถึง จากชายฝั่งทะเลมาจนแถบถึงถนนใหญ่มีคนไทยอยู่สักกี่คน เห็นแล้วสลดนะ แม้กระทั่งวันลอยกระทงเรายังไม่กล้าไปลอยเลย ต้องรอให้เขาลอยกันก่อน เสร็จแล้วจึงค่อยไป หรือไม่ก็ต้องนัดกันไปหลายๆ คน หาสถานที่ที่มีพวกเขาน้อยที่สุด” หญิงสาวชาว จ.ระนอง รายหนึ่งที่ต้องย้ายจากบ้านเกิดไปใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด ระบายความคับแค้นใจ
เธอบอกว่า บ้านอยู่ย่านสะพานปลา เป็นแหล่งที่พักของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่กันอย่างหนาแน่น สภาพแวดล้อมภายในชุมชนของเธอสร้างความอึดอัดให้แก่เธอและครอบครัว ต้องย้ายออก ชุมชนของเธอกลายเป็นสถานที่ตั้งของร้านคาราโอเกะ ซึ่งเพลงที่นำมาเปิดเป็นภาษาต่างชาติ การสนทนากันของคนที่เข้ามาพักอาศัยก็เป็นภาษาต่างชาติ ระยะหลังภาษาเขียนก็เป็นของต่างชาติ
ร้านคาราโอเกะเหล่านี้ ก็เป็นสิ่งเร่งเร้าที่ทำให้เธอต้องตัดสินใจย้ายออก ทุกค่ำคืนสถานที่เหล่านี้จะเป็นแหล่งสังสรรค์ของแรงงาน มีการมั่วสุมดื่มสุรา รวมถึงยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า และหลายที่แฝงไว้ด้วยหญิงจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาขายบริการทางเพศให้แก่ผู้ใช้แรงงาน
“พูดแล้วเจ็บใจนะ บ้านเกิดของเราแท้ๆ แต่เราอยู่ไม่ได้ ชุมชนของเราถูกมองว่าเป็นห้องรับแขกของระนอง ใครไปใครมาก็แวะมาที่นี่ อย่าเข้าใจว่าเขาเข้ามาซื้อปลาหรืออาหารทะเลนะ แต่เขามาเที่ยวผู้หญิงกัน รู้กันดีหญิงจากเพื่อนบ้านเขาเข้ามายึดหัวหาดที่นี่ จนย่านนี้รู้กันดีว่าเป็นซ่อง ผู้หญิงที่เดินผ่านย่านนี้ต้องระวัง เพราะจะถูกเหมารวมไปด้วย” หญิงสาวชาวระนอง ให้ข้อมูล
ความหวาดระแวงอีกข้อ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา คือ ความปลอดภัยในชีวิต ซึ่งระยะหลังพบว่ายาเสพติดระบาดหนักในกลุ่มแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน นำมาสู่ภัยคุกคามที่ลามไปสู่อาชญากรรมอื่นๆ
ระนองที่เคยเป็นเมืองสงบ แต่ระยะหลังมานี้พบว่า มีอาชญากรรมร้ายแรงสะเทือนขวัญ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
กรณี “น้องแอปเปิ้ล” เด็กนักเรียนสาวชั้น ม.6 โรงเรียนมัธยมศึกษาชื่อดังของระนอง เป็นหนึ่งในคดีสะเทือนขวัญที่กระทบต่อความรู้สึกของชาวระนองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในพื้นที่ค่อนข้างหนาหูว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นยิ่งตอกลิ่มเร่งเร้าให้เกิดความร้าวฉานระหว่างชาวระนองและแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในระนอง
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำวันที่ 28 กันยายน น้องแอปเปิ้ลออกจากบ้านพักในพื้นที่หมู่ 5 ต.บางริ้น อ.เมือง จ.ระนอง เพื่อไปหาเพื่อนสาวคนสนิท ซึ่งมีบ้านพักอยู่หลังสำนักสงฆ์สะพานปลา สภาพแวดล้อมบริเวณนี้มีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านพักอาศัยอยู่จำนวนมาก ซึ่งปกติในยามค่ำมืดชาวระนองโดยเฉพาะหญิงสาวจะไม่ค่อยออกจากบ้านไปไหนมาไหนตามลำพัง เพราะหวั่นเกรงเหตุร้าย
ความระแวงของผู้คนที่นี่เกิดขึ้นจริง เมื่อน้องแอปเปิ้ลถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ร่างของเธอถูกกระหน่ำแทงถึง 17 แผล และยังถูกตีด้วยของแข็งตามร่างกายอีกหลายครั้ง ตำรวจใช้เวลาในการแกะรอยหาตัวคนร้ายในคดีนี้นานกว่า 30 วัน โดยมีเบาะแสสำคัญคือ ภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดที่มีอยู่ในบริเวณนั้นเพียงไม่กี่ตัว
ภาพจากกล้องวงจรปิดบ่งบอกได้ว่า ระหว่างเกิดเหตุเด็กนักเรียนสาวรายนี้มีท่าทีหวาดกลัว แม้ไม่เห็นเหตุการณ์ขณะคนร้ายลงมือสังหารเธอ แต่พอทำให้ตำรวจปะติดปะต่อเรื่องราวได้ โดยได้พบพยานปากสำคัญรายหนึ่ง คือคนขี่รถจักรยานยนต์พ่วงข้างที่ขี่เข้ามาในซอยก่อนเกิดเหตุไม่กี่นาที จนทราบเบาะแสผู้ต้องสงสัยว่า อาจเป็นกลุ่มวัยรุ่นชาวพม่า ที่พยานรายนี้เห็นว่ามั่วสุมกันอยู่ในละแวกที่เกิดเหตุ
ตำรวจประกาศตั้งรางวัลนำจับ 5 หมื่นบาท ให้แก่ผู้แจ้งเบาะแสจนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ ต่อมาตำรวจได้เบาะแสสำคัญคือ เส้นทางที่เชื่อว่าคนร้ายที่ร่วมกันสังหารน้องแอปเปิ้ลใช้หลบหนี คือเส้นทางข้างสำนักสงฆ์มุ่งหน้าไปยังชุมชนที่มีชาวพม่าอาศัยอยู่จำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นที่พักของลูกเรือประมง นำไปสู่เบาะแสที่ได้จากปากคำของเจ้าของบ้านเช่าในละแวกนั้นว่า หลังน้องแอปเปิ้ลถูกฆาตกรรม มีแรงงานประมงกลุ่มหนึ่งหายตัวไป
แนวทางการสืบสวนพบว่า แรงงานประมงกลุ่มนี้หนีไปอยู่ที่ อ.คุระบุรี จ.พังงา จึงเดินทางไปควบคุมตัวเอาไว้ได้ 2 คน เป็นชาวพม่า ก่อนจะสอบสวนขยายผลไปควบคุมตัวได้กลางทะเลอันดามันอีก 2 คน คือ นายโม่ซิน อ่าว ซึ่งเป็นมือมีด นายจอโซ วิน นายเมาเซ้น หรือ ไซกะเดา และนายซอเล หรือ เวแล้ ทั้ง 4 คน อายุระหว่าง 18-25 ปี
พล.ต.ต.นรินทร์ บุษยวิทย์ ผบก.ภ.จว.ระนอง ให้ข้อมูลว่า ผู้ต้องหารับสารภาพว่ากระทำผิดจริง โดยในวันเกิดเหตุทั้ง 4 คนชวนกันมาที่สำนักสงฆ์ เพื่อรอรับศพเพื่อนที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เมื่อมาถึงพบว่าไม่มีงานศพ จึงชวนกันไปนั่งที่ม้าหินใกล้ประตูสำนักสงฆ์ ต่อมาผู้ตายเดินมาหยุดที่ประตู นายซอเลเดินไปแซวผู้ตายว่า “น้องสาวสบายดีไหม” จึงถูกผู้ตายด่า แล้วเดินหนีไปทางซอยข้างสำนักสงฆ์ ทั้งหมดจึงวิ่งไปดักรอที่ประตูข้างสำนักสงฆ์อีกด้านที่ติดกับซอยที่ผู้ตายเดินเข้ามา
“ทั้งหมดรอจนผู้ตายเดินมาถึงจึงออกมายืนล้อมผู้ตาย โดยนายเมาเซ้น ได้ถามว่า “เมื่อกี้ด่าใคร” แต่ผู้ตายไม่ตอบ นายซอเลจึงถามต่อว่า “ล้อเล่นไม่ได้หรือ” และถูกผู้ตายด่ากลับอีกครั้ง นายซอเลจึงต่อยเข้าที่ใบหน้าและบริเวณศีรษะของผู้ตาย ส่วน นายจอโซ วิน ชกเข้าที่ใบหน้าเช่นกัน ผู้ตายพยายามวิ่งหนี แต่นายจอโซ วิน จับแขนล็อกไพล่หลัง แล้วนายเมาเซ้นหยิบท่อนไม้ไผ่ที่อยู่ในบริเวณนั้นตีเข้าที่ศีรษะและที่ขาของผู้ตายจนทรุดลงกับพื้น นายจอโซ วิน จึงปล่อยมือที่จับไว้ ผู้ตายพยายามจะลุกหนี แต่นายโม่ซิน อ่าว ใช้มือซ้ายจับที่บริเวณคอเสื้อด้านหลัง ผู้ตายดิ้นรนต่อสู้ ใช้มือและเล็บข่วนบริเวณใบหน้าและลำคอของนายโม่ซิน อ่าว จึงถูกนายโม่ซิน อ่าว ใช้มีดที่พกมา จ้วงแทงที่บริเวณหัวไหล่ด้านขวา ปาดไปที่บริเวณกกหูขวาและบริเวณคอด้านขวา พร้อมกับแทงที่บริเวณชายโครงข้างขวาอีก 1 ครั้ง ผู้ตายทรุดลงจนเข่าครูดกับพื้น พร้อมกับร้องขอความช่วยเหลือ นายเมาเซ้นใช้ไม้ตีที่ศีรษะผู้ตายอีกครั้ง ส่วนนายโม่ซิน อ่าว ใช้มีดแทงบริเวณชายโครงด้านขวาอีกหลายครั้ง เมื่อผู้ตายคว่ำหน้าลงกับพื้น นายโม่ซิน อ่าว ได้ยืนคร่อมแล้วแทงที่บริเวณด้านหลังอีกหลายครั้ง ขณะที่นายเมาเซ้นโยนไม้ทิ้ง พร้อมกับร้องบอกให้หนี ทั้งหมดจึงวิ่งเข้าไปภายในสำนักสงฆ์ เพื่อออกประตูเล็กด้านข้างอีกด้านหนึ่ง และนำมีดไปทิ้งในซอยมณีแดง ที่อยู่ห่างออกไปอีก 2 ซอย” พล.ต.ต.นรินทร์ เปิดเผยระหว่างการแถลงข่าวปิดคดี
ความไม่พอใจระหว่างชาวระนองกับแรงงานเพื่อนบ้านในพื้นที่สะสมกันมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นยิ่งตอกลิ่มความร้าวฉาน หลายชุมชนในระนองในเวลานี้ จึงค่อนข้างเปราะบางอย่างยิ่งยวด
------------------
(เรื่องเล่าข่าวดัง : ฆาตกรรมนักเรียนสาว เร่งเร้าขัดแย้งชุมชนระนอง : โดย...ทีมข่าวอาชญากรรม)