ข่าว

‘สมชัย’หนุนกรธ.จัดระบบเลือกตั้งส.ส.ใหม่

‘สมชัย’หนุนกรธ.จัดระบบเลือกตั้งส.ส.ใหม่

27 ต.ค. 2558

‘สมชัย’หนุนกรธ.จัดระบบเลือกตั้งส.ส.ใหม่ ขณะที่‘อุเทน’แนะเลิกส.ส.บัญชีรายชื่อ-ส.ว. สปท.ตั้ง‘คำนูณ-กอบศักดิ์-สุวัฒน์’เป็นโฆษก

            27ต.ค.2558 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงแนวคิดของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่เสนอระบบเลือกตั้งส.ส. ที่ให้ประชาชนเลือกเพียงส.ส.ระบบเขตเลือกตั้ง และใช้คะแนนของผู้สมัคร ส.ส.เขตที่ไม่ได้รับเลือกตั้ง มาคำนวณหาจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อ ว่า ถ้ามองในเชิงการออกแบบ ถือเป็นหลักการที่ดี เพราะเป็นความพยายามในการทำให้ทุกคะแนนเสียงของประชาชนมีความหมาย ทำให้ประชาชนเกิดความสะดวก ไม่ซับซ้อน เพราะจะกาบัตร ส.ส.ระบบเขตเลือกตั้งเพียงใบเดียว และจะทำให้เกิดความสะดวกในการจัดเลือกตั้ง ที่จะประหยัดงบประมาณเฉพาะค่าบัตรเลือกตั้งไปกว่าหลักร้อยล้านบาท โดยรวมก็เห็นว่าเป็นการออกแบบที่ค่อนข้างน่าสนใจ กรธ.น่าจะมาถูกทางเพราะเป็นการออกแบบที่อาจจะเหมาะสมกับประเทศไทย

            นายสมชัย กล่าวต่อว่า แต่ระบบดังกล่าวมีจุดอ่อน คือ พรรคการเมืองขนาดเล็กจะเสียเปรียบ เพราะถ้าพรรคเล็กอยากได้คะแนนในส่วนนี้ไปคำนวณ ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ ก็จำเป็นที่จะต้องส่งผู้สมัครลงในระบบเขตเลือกตั้งให้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น มีเขตเลือกตั้ง 400 เขต พรรคใหญ่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งครบทุกเขต แต่พรรคเล็กที่มีขีดความสามารถในการส่งผู้สมัครได้เพียงไม่กี่เขตนั้น ก็จะได้คะแนนในส่วนนี้น้อยกว่า จึงจะเกิดความได้เปรียบแก่พรรคใหญ่ในทันที วิธีการคิดเช่นนี้ กรธ.อาจต้องการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา กรณีที่พรรคเล็กบางพรรคไม่ยอมส่งผู้สมัครลงใน ส.ส.ระบบเขตเลือกตั้ง แต่พยายามสร้างคะแนนนิยมในภาพรวมเพื่อไปหวังผลเอาคะแนนเฉพาะ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อเท่านั้น

            กกต.กล่าวว่า  อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้เป็นการส่งเสริมพรรคใหญ่ทำให้ไม่เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในจำนวน ส.ส. ภายหลังการเลือกตั้ง พรรคที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 1-2 จะมี ส.ส.ที่มีจำนวนใกล้เคียงกัน หากกรธ.ออกแบบสัดส่วนระหว่าง ส.ส.ระบบเขตเลือกตั้งและระบบบัญชีรายชื่อที่มีจำนวนครึ่งๆ ส่วนจะมองว่าเป็นปัญหาตอนจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องของการเมืองที่ใครจะดึงใครได้มากกว่า

            กกต.กล่าวว่า  สำหรับข้อเสนอที่ ส.ส.ต้องมีคะแนนมากกว่าโหวตโน นายสมชัยกล่าวว่า การให้ความสำคัญกับคะแนนผู้มาใช้สิทธิไม่ประสงค์ลงคะแนนหรือโหวตโนเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นการสะท้อนว่าเสียงของประชาชนมีความหมาย แต่ส่วนจะถึงขึ้นตัดสิทธิผู้สมัครที่แพ้คะแนนโหวตโนนั้น ตนยังไม่คิดไกลถึงขนาดนั้น หากการเลือกตั้งครั้งแรกประชาชนไม่สนับสนุน แต่การเลือกตั้งครั้งต่อไปผู้สมัครอาจได้รับความน่าเชื่อถือ จึงควรจะให้เป็นสิทธิของผู้สมัครในการปรับปรุงตัวเอง การไปตัดสิทธินั้นอาจดูแรงเกินไป ขนาดการพิจารณาโทษตัดสิทธิทางการเมืองนั้นยังเป็นเรื่องที่ยาก ยังมีการถกเถียงว่าองค์กรใดจะมีอำนาจในส่วนนี้

            นายสมชัย ยังกล่าวถึงที่มาของ ส.ว. ว่า แม้ที่ผ่านมาอาจมองว่า ส.ว. ที่มา จากการเลือกตั้ง มีปัญหา ส่วน ส.ว.สรรหาเหมือนจะมีบทบาทที่เข้าตาประชาชนมากกว่า แต่ถ้าจะให้ ส.ว.มาจากการสรรหาทั้งหมดนั้น อาจสร้างข้อสงสัยถึงกระบวนการสรรหาว่าใครจะเป็นผู้สรรหา วิธีการสรรหาจะเหมาะสมหรือไม่ ดังนั้น ถ้าจะให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดน่าจะเหมาะสมกว่า อย่าไปกลัวเรื่องความเป็นกลางทางการเมืองของ ส.ว. ในหลายประเทศ ส.ว. ก็สามารถสังกัดพรรคการเมืองได้ ดังนั้นเราควรจะให้ ส.ว. เปิดเผยตัวเองเลยว่าสังกัดพรรคใดและให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเลือกหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา แม้จะมีข้อห้ามไม่ให้ ส.ว. สังกัดพรรค แต่ข้อเท็จจริงก็มักจะมีการวิ่งเข้าหาพรรค สุดท้ายก็ไม่ปลอดจากการเมืองและนำไปสู่การตอบแทนกัน จึงอยากให้ยอมรับความจริงโดยทำทุกอย่างให้เปิดเผยชัดเจน หรือหาแนวทางกำหนดที่จะทำอย่างไรให้ ส.ว.ทำหน้าที่ตามบทบาทที่กำหนด
 

'อุเทน'แนะเลิกส.ส.บัญชีรายชื่อ-ไม่ต้องมีส.ว.

            นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทยกล่าวถึงการวางแนวทางระบบการเลือกตั้งของคณะกรรมการร่างรับธรรมนูญ (กรธ.) ว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับหลักการที่กำหนดให้ ส.ส.มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง ซึ่งหากยึดตามหลักการนี้ ก็ควรที่จะยกเลิกระบบ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพราะถือว่าไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชนโดยตรง แต่เป็นหัวหน้าหรือผู้บริหารพรรคเป็นผู้คัดสรรมาและยัดเยียดให้กับประชาชนมากกว่า จึงจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมามีคนที่ได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดของระบบอุปถัมป์และความไม่เท่าเทียม เพราะมักเป็นทายาทของนักการเมืองใหญ่หรือเป็นนายทุนของพรรค หากเคารพเสียงของประชาชนในการเลือกผู้แทนจริงๆ ควรที่จะกำหนดให้มีเฉพาะ ส.ส.เขต ที่ประชาชนได้รู้ว่าลงคะแนนให้ใครมากกว่าลงคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ที่ไม่รู้จะได้ใครมาเป็นผู้แทน นอกจากนี้ควรนำหลักการนี้ไปใช้กับสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ด้วย หากจะมีต้องเลือกตั้งโดยตรงเพียงอย่างเดียว ไม่ควรให้คนไม่กี่คนเลือก ส.ว.ในลักษณะสรรหา แล้วมาอุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นผู้แทนของประชาชน แต่ทางที่ดีไม่จำเป็นต้องมี ส.ว.ด้วยซ้ำ เพราะที่ผ่านมาเป็นแหล่งบ่มเพาะปัญหามากกว่าจะช่วยคลี่คลายปัญหาของประเทศ
           
            “ผมไม่เห็นด้วยที่ กรธ.บอกว่า จะให้ประชาชนใช้ใบลงคะแนนเลือก ส.ส.เขตเพียงใบเดียว แล้วนำคะแนนของผู้แพ้แต่ละเขตไปคิดเป็นคะแนนของ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพราะในความเป็นจริง ประชาชนต้องการลงคะแนนให้กับบุคคล แต่กลับถูกนำไปยัดใส่เป็นคะแนนพรรค ซึ่งไม่ตรงกับเข้าตั้งใจของประชาชนในการลงคะแนน” นายอุเทน กล่าว

            นายอุเทน กล่าวต่อว่า ตนยังขอยืนยันว่า อัตราส่วน ส.ส.ที่เหมาะสมคือ ส.ส. 1 คนต่อประชาชน 2 แสนคนหรือมากกว่า เพื่อจำกัดจำนวน ส.ส.ให้น้อยลงกว่าที่ผ่านมา ซึ่งมีมากจนเกินความจำเป็น และสิ้นเปลืองงบประมาณของประเทศอย่างมหาศาล สภาผู้แทนฯต้องขลังและศักดิ์สิทธิ์ เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ หากยึดตามแนวทางนี้การก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ที่มีปัญหามาตลอดและไม่คืบหน้าก็อาจจะชะลอหรือยกเลิกไปก่อน เพราะอาคารรัฐสภาปัจจุบันก็เพียงพอกับจำนวน ส.ส.ที่มีไม่มากเหมือนในอดีต นอกจากนี้ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งก็ควรกำหนดในช่วงต้นไว้เพียง 2 ปี เพื่อให้ ส.ส.ได้แข่งขันในการทำหน้าที่ ทำดีเพื่อบ้านเมือง ที่สำคัญจะช่วยแก้ปัญหาการซื้อเสียงที่อาจไม่คุ้มค่ากับระยะเวลาที่สั้น อีกทั้งไม่สร้างความเบื่อหน่ายให้กับสังคมจนเป็นเหตุให้มีการชุมนุม หรือรัฐประหารอีกด้วย

            “จำนวน ส.ส.ต้องคงที่ตายตัว ไม่เพิ่มไปมากกว่าที่กำหนด ต้องมีที่มาที่ไปสมเหตุสมผล ไม่ใช่มาตั้งเป็นเลขกลมๆสวยๆ แต่ผลสัมฤทธิ์ไม่คุ้มค่ากับงบประมาณที่เสียไป เช่น 500 คนหรือสภา 500 อย่างที่ผ่านมา และเมื่อเกิดกระบวนการเรียนรู้ของประชาชนผ่านการเลือกตั้งแล้ว จำนวน ส.ส.ควรจะลดลง ส่วนระยะเวลาการดำรงตำแหน่งอาจขยายขึ้นตามความเหมาะสมเป็น 4 ปีตามที่ใช้กันมาก็ได้ เมื่อมีตัววัดผลแล้วว่า ประชาชนได้เรียนรู้และสร้างระบบการเลือกตั้งที่มีคุณภาพแล้ว” นายอุเทน กล่าว


สปท.ตั้ง‘คำนูณ-กอบศักดิ์-สุวัฒน์’เป็นโฆษก

            เมื่อเวลา 09.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่อาคารรัฐสภา มีการแจกไอแพด 4 รุ่น 64 กิ๊กกะไบท์ ไวไฟ+เซลลูลาร์ ให้กับสมาชิกสถาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) โดยในเครื่องมีแอพพลิเคชั่นที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของสมาชิก อาทิ แอพลิเคชั่นเกี่ยวกับข้อกฎหมาย และโปรแกรมติดดตามข่าวสาร เป็นต้น

            ต่อมาในเวลา 09.30 น. มีการประชุมของ สปท. โดยมีวาระเพื่ออภิปรายทั่วไปเพื่อเสนอวิธีการปฏิรูปประเทศ ในเรื่องการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ที่มี ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสปท. ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุม โดยร.อ.ทินพันธุ์ ได้แจ้งต่อที่ประชุมก่อนการจะเริ่มอภิปรายว่า ในวันพรุ่งนี้ (28 ต.ค.) เป็นการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ขอให้สมาชิกเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงและลงทะเบียนในเวลา 09.00 ที่หน้าห้องประชุม โดยแผนผังที่นั่งจะแสดงติดไว้ที่หน้าห้องประชุม นอกจากนี้ยังได้ประธานยังได้แจ้งถึงการแต่งตั้งโฆษก สปท. จำนวน 3 คน ประกอบไปด้วย นายคำนูณ สิทธิสมาน, นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล และนายสุวัฒน์ จิราพันธุ์ ให้รับตำแหน่งดังกล่าว

            จากนั้นที่ประชุมได้เข้าสู่การอภิปราย โดยนายเสรี สวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษางานปฏิรูปด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของสปช. ได้นำเสนอแนวคิดว่า การปฏิรูปเรื่องของกฎหมายนั้นจะต้องคำนึงเรื่องของความคิดเป็นของประชาชนเป็นสำคัญด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาการพิจารณากฎหมายส่วนใหญ่จะถือความคิดเห็นจากหน่วยงานราชการเป็นที่ตั้ง อย่างไรก็ดีการที่จะร่างกฎหมายขึ้นมาควรจะต้องให้มีความสอดคล้องกับพันธะกรณีระหว่างประเทศด้วย

            นายเสรีกล่าวอีกว่าในส่วนของการปฏิรูปองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมอาทิ ศาล ทนายความ ตำรวจ หน่วยงานในกระทรวงยุติธรรมเป็นต้น จะต้องมีการบริการอย่างทั่วถึง ไม่แบ่งแยกและลดความเหลื่อมล้ำในการบริการ โดยมีความคาดหวังว่าภายใน 1 ปี ประชาชนจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องดังกล่าวในทางที่ดีขึ้น

            ผู้สื่อข่าวรายงานว่า   จากนั้นมีการเปิดโอกาสให้สมาชิกอภิปราย  โดยร.อ.ทินพันธ์ ได้ชี้แจงถึงการทำหน้าที่ สปท. ว่าจะต้องสานต่องานจาก สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่ได้ทำไว้ โดยสปช. ได้ทำรายงานการปฏิรูปฉบับสมบูรณ์ให้กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งครม.ได้มีมติรับหลักการเกือบทุกเรื่อง โดยได้ส่งต่อให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อแสดงความคิดเห็นต่อแนวทางการปฏิรูปว่าสามรถทำตามได้หรือไม่ และ อาจจะมีข้อแนะนำโดยส่งกลับมาให้สปท. โดยเราจะนำความเห็นดังกล่าวผลักดันให้เป็นกฎหมายบังคับใช้ผ่านห่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นครม. และ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

            ร.อ.ทินพันธุ์กล่าวอีกว่านอกจากจะขับเคลื่อนการปฏิรูปให้เป็นกฎหมายแล้ว สปท. ยังจะต้องเรียงลำดับความสำคัญวาระที่จะปฏิรูปไปด้วย โดยเราจะต้องช่วยกันทำให้เกิดเป็นกฎหมายจนสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะมาพูด เพื่อให้แม่น้ำทั้ง 5 สายทำงานได้สอดคล้องและทำงานในทิศทางเดียวกัน ที่ผ่านมาในรัฐบาลปกติไม่สามารถก่อให้เกิดปฏิรูปได้ ขณะนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวเป็นจริง

            ต่อมาเป็นการอภิปรายความเห็นด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีสมาชิกได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีความเห็นที่น่าสนใจ อาทิ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน กล่าวว่าตำรวจตกเป็นเครื่องเมืองทางการเมือง เนื่องจากถูกรัฐแทรกแซงเพื่อจัดตั้งรัฐตำรวจ ซึ่งตนขอเสนอให้ใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ปลดองค์กรตำรวจจากการถูกแทรกแซงโดยฝ่ายการเมือง เพื่อให้ตำรวจทำหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ส่วนข้อเสนอที่ให้ระบบงานสอบสวนและนิติวิทยาศาสตร์ ออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ตนเห็นว่าน่าเป็นห่วง เพราะว่างานสืบสวนและสอบสวนถือเป็นเหรียญเดียวกัน แม้จะอยู่คนละด้านแต่ก็ต้องทำงานร่วมกัน

            ด้านพญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อภิปรายว่า ตนอยากจะเสนอให้มีการตั้งกระทรวงความมั่นคง รวมถึงการมีระบบฐานข้อมูลกลาง เพื่อแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยืดเยื้อยาวนาน นอกจากนี้ยังจะต้องมีการพัฒนาระบบงานนิติวิทยาศาสตร์ทั้งระบบด้วย

            จากนั้นเป็นการอภิปรายเสนอความเห็นการปฏิรูปในเรื่อง ด้านการปกครองท้องถิ่น โดยที่ประชุมได้เชิญนายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตประธานกรรมาธิการปฏิรูปท้องถิ่น สปช. เพื่อชี้แจงข้อสรุปของประเด็นการปฏิรูปเรื่องดังกล่าว โดยนายพงศ์โพยมกล่าวว่า ปัญหาของการบริหารท้องถิ่น คือยังไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และที่ผ่านมาสส่วนท้องถิ่นก็ยังไม่ได้ใช้อำนาจอย่างเต็มที่ ซึ่งเราควรจะให้ความอำนาจและความสำคัญมากกว่านี้ ในส่วนของที่มาของนักการเมืองท้องถิ่นนั้นจะต้องดูว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ออกมาจะมีหน้าตาเช่นไร ถ้าสามารถแก้ไขเรื่องนักการเมืองระดับชาติได้ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาของนักการเมืองท้องถิ่นได้ โดยเฉพาะบทลงโทษผู้ที่ทุจริตจะต้องมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น

            นายพงศ์โพยม กล่าวอีกว่า ส่วนตัวเชื่อว่าถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และสปท. ช่วยกันออกแบบองค์กรให้เหมาะสมอีกทั้งทำให้การเข้าถึงข้อมูลมีความรวดเร็วมากขึ้น ก็จะทำให้การทุจริตทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นจะทำได้ยากขึ้น นอกจากนี้หาก สปท. ได้ข้อสรุปในการปฏิรูปท้องถิ่นแล้ว อยากให้ส่งต่อไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การปฏิรูปเป็นวาระที่นำไปปฏิบัติได้จริง ทั้งนี้ สปท. เองจะต้องมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ ครม. และกระทรวงรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการปฏิรูปจะได้สำเร็จลุล่วง

            ต่อมาภายหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายแล้ว น.ส.วลัยรัตน์ ศรีอรุณ รองประธานสปท. คนที่ 2 ได้สั่งปิดการประชุมในเวลา 14.25 น.

 

กรธ.เสนอเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสม  

            นายนรชิต สิงหเสนี โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) กล่าวว่า วิธีการคิดคะแนนเลือกตั้งด้วยการนำคะแนนแพ้ของส.ส.แบบแบ่งเขต เพื่อมาคิดหาส.ส.บัญชีรายชื่อนั้น เป็นเพียงแนวคิดของกรธ.ยังไม่ได้ข้อยุติ โดยรูปแบบการเลือกตั้งแบบนี้ กรธ.คิดจากรูปแบบการเลือกตั้งจากทั่วโลกดูข้อดีข้อเสียและนำมารวมกัน เท่าที่ทราบไม่มีประเทศใดใช้ ส่วนชื่อเรียกระบบดังกล่าวมีหลายชื่อ อาทิ การเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสม หนึ่งเสียงหนึ่งส.ส.ทุกคะแนนได้ผู้แทนแน่ หนึ่งคะแนนหนึ่งผู้แทนของทุกคน เชื่อว่าจะทำให้แต่ละภาคได้ส.ส.กระจายครบทุกพรรคและส่งเสริมให้เกิดการปรองดอง ขณะที่สัดส่วนของส.ส.แบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อยังไม่มีข้อยุติ แต่ส่วนใหญ่เสนอว่าควรเป็นสัดส่วน 1 ต่อ 3 คือ แบบบัญชีรายชื่อ 1 ส่วน และแบบแบ่งเขต 3 ส่วน โดยผลของการเลือกตั้งมีความเป็นไปได้ที่จะมีรัฐบาลผสมแต่ก็ไม่เสมอไป ส่วนแนวทางที่จะกำหนดให้ผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.ต้องชนะคะแนนงดออกเสียงหรือโหวตโนนั้น ยังเป็นเพียงข้อเสนอ ซึ่งส่วนตัวมองว่าในอนาคตอาจจะต้องมีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนนงดออกเสียง เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคะแนนงดออกเสียงชนะผู้ที่ได้รับเลือกเป็นส.ส.

            ส่วนที่นางสดศรี สัตยธรรม อดีตกกต.ออกมาแสดงความกังวล ว่า การกำหนดให้นำคะแนนของผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งมาคำนวณเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อนั้น จะทำให้ตัดตอนพรรคการเมืองขนาดใหญ่และเกิดรัฐบาลผสมจนนำไปสู่การมีนายกฯคนนอก ทางกรธ.จะนำไปหารือ ซึ่งในกรธ.ก็มีอดีต กตต.อยู่ถึง 2 คน ก็เชื่อว่าจะสามารถชี้ข้อดีและข้อเสียของการกำหนดหลักการดังกล่าวได้  ทั้งนี้ทุกฝ่ายสามารถเสนอความคิดเห็นมาได้ไม่ต้องรอให้กรธ.สอบถาม กรธ.พร้อมรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง หรือฝ่ายใดก็เสนอความเห็นมาได้ ส่วนจะมีการสำรวจความเห็นของประชาชน (โพล) เมื่อใด ขึ้นอยู่กับความพร้อมของคณะอนุกรรมการที่รับผิดชอบ

            ส่วนความคืบหน้าการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรานั้น ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเนื้อหาในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มีสาระสำคัญ คือ 1.ได้มีการบัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองตามวิถีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการบริหารพรรคการเมืองต้องเป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้และสมาชิกทั้งหมดของพรรคต้องมีส่วนร่วมในการจัดองค์กรและการบริหารจัดการพรรคการเมือง นอกจากนี้ยังมีการบัญญัติให้การใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะกระทำมิได้

            นายนรชิต กล่าวว่า ขณะที่หมวดหน้าที่ของรัฐได้มีการกำหนดให้รัฐมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณาภาพแห่งอาณาเขต และเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย ความมั่นคงแห่งชาติ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน รวมทั้งมีการกำหนดให้รัฐต้องดำเนินการให้บุคคลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยสามารถได้รับการศึกษาภาคบังคับที่มีคุณภาพโดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายอย่างทั่วถึง และรัฐต้องจัดให้มีการศึกษาก่อนวัยเรียนสำหรับประชาชนชาวไทยอย่างทั่วถึง