ข่าว

‘นพดล’แนะยึด5หลัก‘ร่างรธน.’ใช้หลักนิติธรรม

‘นพดล’แนะยึด5หลัก‘ร่างรธน.’ใช้หลักนิติธรรม

18 ต.ค. 2558

“นพดล” แนะยึด 5 หลักร่างรธน. ใช้หลักนิติธรรม โฆษกรบ.เผยนายกฯขอทุกฝ่ายร่วมมือลดความขัดแย้ง

 
          วันที่ 18 ตุลาคม 2558  นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ได้ยินผู้มีอำนาจ และกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือกรธ. ระบุว่า จะร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นสากล ถ้าทำได้จริงก็จะมีผลดีต่ออนาคตของประเทศ รัฐธรรมนูญที่เป็นสากลต้องเคารพ และตั้งอยู่บนอย่างน้อย 5 เสาหลัก คือ 1. หลักการประชาธิปไตยที่เคารพการตัดสินใจของคนไทยทั้งประเทศ 2. หลักการเคารพเสรีภาพพื้นฐานและสิทธิมนุษยชนสากล 3. หลักการถ่วงดุลระหว่างสามอำนาจคือ อำนาจบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ 4. หลักนิติธรรม และ 5. หลักการที่รัฐธรรมนูญอาจแก้ไขได้เพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนาการของประเทศ
 
          นายนพดล กล่าวต่อว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่สะท้อนหลักการต่างๆ ข้างต้นไว้ก็น่าจะได้รับการยอมรับและมีความเป็นสากลในระดับหนึ่ง และจะไม่เสียของ โดยเฉพาะเรื่องหลักนิติธรรมหรือ rule of law นั้นเราท่องเป็นคาถากันมานาน จึงต้องทำให้เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ เพราะหลักนี้ยังไม่หยั่งรากลึกในประเทศไทย ถ้ามีหลักนิติธรรมก็จะเกิดความยุติธรรม เมื่อมีความยุติธรรมก็จะนำสู่ความปรองดอง
 
          “ตัวอย่างของการยึดหลักนิติธรรมในทางปฏิบัตินั้น เช่น การดำเนินคดีต่ออดีตนายกฯยิ่งลักษณ์หรือชาวบ้าน ต้องสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ว่าผิด ต้องมีสิทธิ์ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ต้องไม่มีการชี้นำสังคม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมต่อทุกคนไม่เลือกปฏิบัติ และต้องใช้กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนปกติเพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่ คนไทยสามารถร่วมกันทำให้หลักนิติธรรมเกิดขึ้นได้ และจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย” นายนพดล กล่าว
 
 
โฆษกรบ.เผยนายกฯขอทุกฝ่ายร่วมมือลดความขัดแย้ง
 
 
          พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อบางฉบับได้นำเสนอข่าวพาดพิงถึงอดีตนายกรัฐมนตรี โดยเชื่อมโยงกับรัฐมนตรีบางท่านในรัฐบาลชุดปัจจุบัน และเคยดำรงตำแหน่งในรัฐบาลชุดของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนั้น ในลักษณะของความโกรธแค้นเพราะถูกเล่นงานตลบหลัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพของความขัดแย้ง นั้น ขอเรียนว่า รัฐบาลไม่ต้องการให้ทุกฝ่ายเปิดประเด็นความขัดแย้งขึ้นในสังคม เพราะขณะนี้สถานการณ์ในประเทศเริ่มดีขึ้น และกำลังเดินหน้าไปสู่การสร้างความปรองดองและการปฏิรูปตามโร้ดแม็ป ที่วางไว้ 
 
          พลตรีสรรเสริญ กล่าวว่า อย่างไรก็ดี การอ้างถึงคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาล กับ บริษัทเอกชนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ตลอดจนบุคคลต่างๆ เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงจะพบว่า ทุกคดีไม่ได้เกิดจากการมุ่งทำลายใคร แต่เป็นการดำเนินการตามกฎหมาย ผิดหรือถูกเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ คดีหลายเรื่องทั้งคดีเล็กคดีใหญ่ โดยเฉพาะคดีที่รัฐเป็นโจทก์และจำเลยรวม 12 คดี มูลค่าความเสียหายหลายแสนล้านบาทนั้น เกิดขึ้นและมีการฟ้องร้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมกันตั้งแต่ในอดีต ก่อนที่ คสช. และรัฐบาลชุดนี้จะเข้ามา อย่างไรก็ตามทุกคดี ล้วนมีกำหนดเวลาของสัญญาหรืออายุความ ดังนั้น คสช. และรัฐบาลปัจจุบันจึงจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนของ กม.ให้เกิดความชัดเจน ไม่เลือกปฏิบัติ โปร่งใส ยุติธรรมเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
 
          “นายกรัฐมนตรีไม่ต้องการให้เกิดความแตกแยกในสังคม โดยทุกคนทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน และที่สำคัญสื่อมวลชนก็ควรจะได้ร่วมกันพิจารณาว่าแนวทางการนำเสนอข่าวแบบใดที่จะสร้างบรรยากาศของความสามัคคีปรองดองภายในประเทศ และไม่ต้องการให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหยิบประเด็นขึ้นมาบิดเบือนให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม “ พลตรีสรรเสริญ กล่าว