ข่าว

พระเทพฯเสด็จฯทางรถไฟไปกาญจนบุรี

พระเทพฯเสด็จฯทางรถไฟไปกาญจนบุรี

16 ต.ค. 2558

สมเด็จพระเทพฯประทับขบวนรถไฟพระที่นั่ง ทรงนำคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ ร่วมประชุมที่ จ.กาญจนบุรี 16-18 ต.ค.เยี่ยมชมวิถีชุมชน 3 จว.

               นับเป็นความปลาบปลื้มอย่างหาที่สุดมิได้ ชาวบ้านใน จ.นครปฐม ราชบุรี และกาญจนบุรี รวมทั้งที่กรุงเทพฯ ได้มีโอกาสเฝ้ารับเสด็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟขบวนพิเศษ จากสถานีจิตรลดา กรุงเทพฯ นำคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์  ไปประชุมใหญ่สามัญประจำปีที่ จ.กาญจนบุรี และเยี่ยมชมวิถีความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2558


ประทับรถไฟที่สถานีจิตรลดา

               สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปสถานีจิตรลดาเมื่อเวลา 11.13 น. เพื่อประทับขบวนรถพิเศษพระที่นั่ง 945 (จิตรลดา-สะพานแควใหญ่) ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดถวาย ทรงนำคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ และคู่สมรส ที่เดินทางมาประชุมใหญ่สามัญประจำปี คณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ เพื่อพิจารณาตัดสินผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2558 เยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่างๆ ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 16-18 ตุลาคมนี้

               โอกาสนี้ได้ทอดพระเนตรนิทรรศการเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินทางรถไฟ การก่อสร้างทางรถไฟทหารติดต่อระหว่างประเทศไทย-พม่า ช่วงชุมทางหนองปลาดุกถึงชายแดนพม่าที่ด่านเจดีย์สามองค์และอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ และประวัติความเป็นมาของสถานีจิตรลดา ซึ่งสถานีจิตรลดาตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน บริเวณถนนสวรรคโลก แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต สร้างขึ้นเมื่อปี 2464 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อทดแทนอาคารหลังเดิมที่เป็นอาคารไม้สร้างมาแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ใช้เป็นสถานีสำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ในการเสด็จพระราชดำเนินทางรถไฟ และใช้เป็นสถานที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะในบางโอกาส ตัวอาคารเป็นผนังก่ออิฐฉาบปูนชั้นเดียว มีโดมสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมสมัยเรอเนซองส์ของอิตาลี ใต้ยอดโดมเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้เป็นที่ประทับพักพระอิริยาบถ ตรงกลางเพดานเป็นภาพเขียนลายเส้นเหมือนรัศมีที่พุ่งออกจากศูนย์กลางที่เป็นวงกลม เสาอาคารเป็นเสาคู่ ประดับพระครุฑพ่าห์ที่มุมทั้งสี่ของเพดาน

               ในการนี้พระราชทานพระราชวโรกาสให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายของที่ระลึก เป็นระฆังทองคำขนาดเล็ก, ตั๋วรถไฟ เป็นตั๋วกระดาษหนาแบบโบราณ และเหรียญทองคำเบิกทาง ที่ใช้เดินทางแทนตั๋วได้ จากนั้นประทับขบวนรถพิเศษพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไป จ.กาญจนบุรี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที


ขบวนเสด็จฯถึงนครปฐม

               เวลา 13.13 น. เสด็จฯ ถึงสถานีนครปฐม อ.เมือง จ.นครปฐม ทอดพระเนตรนิทรรศการ “ประวัติศาสตร์ทวารวดีศรีนครปฐม” ที่เล่าถึงปูชนียสถานและสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญ รวมถึงสิ่งของเครื่องใช้ที่ค้นพบในจังหวัด ตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน แต่เดิมเมืองนครปฐมตั้งอยู่ริมทะเล เคยเป็นเมืองเก่าแห่งหนึ่งซึ่งเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิ และเป็นราชธานีสำคัญในสมัยทวารวดี รวมทั้งเป็นแหล่งเผยแพร่อารยธรรมจากประเทศอินเดีย

               โอกาสนี้ทรงสักการะพระร่วงโรจนฤทธิ์จำลอง ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของ จ.นครปฐม และเป็นพระประธานในพระวิหารด้านทิศเหนือภายในองค์พระปฐมเจดีย์ พร้อมทั้งทอดพระเนตรองค์พระปฐมเจดีย์นี้ ซึ่งเป็นปูชนียสถานทางพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อปีพุทธศักราช 235 ต่อมาในปี 2396 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ปฏิสังขรณ์ก่อพระเจดีย์ใหม่โดยห่อหุ้มองค์เดิมไว้ มีขนาดความสูง 120.44 เมตร ลักษณะเป็นพระเจดีย์รูประฆังคว่ำปากผาย โครงสร้างเป็นไม้ซุง ก่ออิฐถือปูนประดับด้วยกระเบื้อง มีพระวิหารทั้งสี่ทิศ เชื่อมต่อด้วยคดพระระเบียง

               พระเจดีย์องค์นี้เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จได้พระราชทานนามว่า “พระปฐมเจดีย์” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาทรงยกยอดพระมหามงกุฎของพระปฐมเจดีย์ เมื่อปี 2413 และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อัญเชิญพระร่วงโรจนฤทธิ์มาประดิษฐานภายในพระวิหารด้านทิศเหนือ

               พร้อมกันนี้ทรงนำคณะกรรมการเยี่ยมชมวิถีชีวิตของชุมชนชาวนครปฐมที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบสถานีรถไฟ ซึ่งทางจังหวัดได้จัดเตรียมกิจกรรมการออกร้าน โดยเน้นความเรียบง่ายและวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวนครปฐม อาทิ ร้านข้าวเหนียวไก่ย่าง, ผัดไทย, ข้าวหลาม และส้มโอนครชัยศรี ที่จัดใส่กระทงแบบดั้งเดิม

               จากนั้นประทับขบวนรถพิเศษพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินต่อไปยังสถานีชุมทางหนองปลาดุก ต.หนองแก อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี

               รถไฟพระที่นั่งเป็นรถไฟที่กรมรถไฟหลวง หรือการรถไฟแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน จัดถวายพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ใช้ในการเสด็จพระราชดำเนินทางรถไฟไปทรงเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่างๆ การเสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟพระที่นั่งเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดทางรถไฟปฐมฤกษ์ กรุงเทพ-กรุงเก่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2439

               รถไฟพระที่นั่งในรัชกาลปัจจุบันมี 3 คัน คือ รถพระที่นั่งประทับกลางวัน รถพระที่นั่งกลางวันและบรรทม และรถพระที่นั่งบรรทม สั่งทำพิเศษจากประเทศอังกฤษเมื่อปี 2506 ใช้สีเหลืองไข่ไก่สีเข้มและอ่อนไล่สีอย่างสวยงาม ใช้ความเร็วได้ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ครั้งล่าสุดที่รถไฟพระที่นั่งขบวนนี้ได้ใช้งานคือ เมื่อครั้งที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธานในพิธีเปิดการเดินขบวนรถไฟสายไทย-ลาว ประทับรถไฟพระที่นั่งจากสถานีรถไฟหนองคายข้ามไปยังสถานีท่านาแล้ง เมืองหาดทรายฟอง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2552


ทอดพระเนตรวิถีชุมชนที่หนองปลาดุก

               เวลา 13.48 น. ขบวนรถไฟพระที่นั่งถึงสถานีรถไฟชุมทางหนองปลาดุก ซึ่งสองข้างทางรถไฟประดับตกแต่งด้วยพระฉายาลักษณ์ และประดับธงชาติ คู่กับธงพระนามาภิไธย สธ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี นอกจากนี้ยังมีการจำลองวิถีชีวิตชุมชนสองข้างทางรถไฟ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขายอยู่คู่กับทางรถไฟสายนี้มากว่า 100 ปี โอกาสนี้ นายสุรพล แสวงศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี และคณะ ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายขนมงาสลัด น้ำอ้อย ข้าวแกง และผลไม้ ซึ่งเป็นสินค้าโอท็อปที่มีชื่อเสียงของจังหวัด

               สำหรับสถานีรถไฟชุมทางหนองปลาดุก เป็นจุดเริ่มต้นของทางรถไฟสายมรณะ สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ใช้ระยะเวลาก่อสร้างเพียง 1 ปี โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์ทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร และกรรมกร รวมถึงคนไทย เพื่อมาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ ในการนำทัพไปรบกับประเทศพม่าและอินเดีย ซึ่งในขณะนั้นตกเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษ ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ทางรถไฟได้ตกเป็นสมบัติของรัฐบาลอังกฤษ ต่อมารัฐบาลไทยได้ขอซื้อคืน และรื้อรางรถไฟบางส่วนบริเวณรอยต่อชายแดนไทย-พม่าออกไป รวมถึงได้ซ่อมแซมทางรถไฟจนถึงสถานีีน้ำตก จ.กาญจนบุรี

               ปัจจุบันทางรถไฟสายนี้เริ่มต้นจากสถานีรถไฟชุมทางหนองปลาดุก ผ่านไปยัง จ.กาญจนบุรี ข้ามสะพานแม่น้ำแคว จนถึงถ้ำกระแซและปลายทางสิ้นสุดที่สถานีน้ำตก รวมระยะทาง 130 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังเป็นสถานีที่เป็นทางแยกของทางรถไฟ 3 สาย ประกอบด้วยสายที่ไป จ.กาญจนบุรี  สุพรรณบุรี และสุไหงโก-ลก


ขบวนรถไฟประวัติศาสตร์ถึงกาญจนบุรี

               เวลา 15.09 น. เสด็จฯ ถึงสถานีสะพานแควใหญ่ ต.ท่ามะขาม อ.เมือง จ.กาญจนบุรี อยู่ห่างจาก อ.เมือง 4 กิโลเมตร ในการนี้ นายศักดิ์ สมบุญโต ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมข้าราชการฝ่ายต่างๆ และประชาชน เฝ้ารับเสด็จ โอกาสนี้ได้ทอดพระเนตรสะพานข้ามแม่น้ำแคว และทัศนียภาพโดยรอบ

               สำหรับสถานีสะพานแควใหญ่นับเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ เป็นอีกเส้นทางสำคัญแห่งรถไฟสายมรณะ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กองทัพญี่ปุ่นก่อสร้างขึ้น เพื่อเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญใช้ในกิจการทหารไปยังประเทศพม่า ตัวสะพานสร้างด้วยเหล็กขนาดใหญ่จากมลายูมาประกอบเป็นชิ้นๆ ตอนกลางทำเป็นสะพานเหล็ก 11 ช่วง ส่วนช่วงอื่นๆ เป็นสะพานไม้ ตัวสะพานมีความยาว 300 เมตร ทอดยาวเหนือแม่น้ำแคว แม่น้ำสำคัญของ จ.กาญจนบุรี ที่มีความลึกและไหลเชี่ยว

               นอกจากการสร้างสะพานแห่งนี้แล้ว ทหารญี่ปุ่นยังสร้างสะพานไม้ชั่วคราวห่างจากสะพานข้ามแม่น้ำแควนี้ออกไป 100 เมตร เพื่อเร่งรัดงานลำเลียงคนและอุปกรณ์ ระหว่างสงครามตัวสะพานข้ามแม่น้ำแควเคยถูกระเบิดจนเสียหาย ไม่สามารถใช้ได้ เมื่อสงครามสิ้นสุดรัฐบาลอังกฤษได้ขายทางรถไฟ และส่วนประกอบกิจการรถไฟให้ไทย รวมทั้งสิ้น 50 ล้านบาท

               ต่อมาการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ปรับปรุงสร้างเป็นสะพานเหล็ก 2 ช่วง แทนของเดิม และเปลี่ยนช่วงสะพานไม้ ด้านปลายทางเป็นสะพานเหล็ก 6 ช่วง ทางด้านซ้ายและขวาของสะพาน มีจุดพักเป็นระยะเพื่อให้ประชาชนใช้หลบหลีกขณะรถไฟแล่นผ่าน ส่วนสะพานไม้ชั่วคราวถูกรื้อถอนเนื่องจากขวางการสัญจรทางน้ำ โดยปัจจุบันขบวนรถไฟยังคงเปิดให้บริการประชาชน วิ่งไปสุดสถานีปลายทางที่สถานีรถไฟน้ำตก อ.ไทรโยค ไม่วิ่งไปถึงประเทศพม่าเหมือนในอดีต โดยบริเวณสถานีรถไฟ ปัจจุบันมีสิ่งอำนวยความสะดวก พร้อมร้านค้า ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายเครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับ เช่น อัญมณีต่างๆ และพลอย สินค้าสำคัญของ จ.กาญจนบุรี และประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ยังมีจุดพักผ่อน สามารถชมความสวยงามตามธรรมชาติสองฝั่งของแม่น้ำแคว ที่มีบ้านเรือนของราษฎรอาศัยอยู่ และยังคงใช้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม มีการทำประมงน้ำจืด ทั้งการหาปลาริมฝั่ง และใช้เรือหากลางแม่น้ำ ตลอดจนเรือท่องเที่ยว

               ปัจจุบันสะพานข้ามแม่น้ำแควได้รับการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ และทุกปีของเดือนพฤศจิกายน จะมีการจัดงานแสงสีเสียง แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้สะพานข้ามแม่น้ำแควเป็นฉาก


เสด็จฯโรงงานดนตรีไทย

               เวลา 16.29 น. เสด็จฯ ไปยังโรงงานสมชัยดนตรีไทย ต.หนองหญ้า อ.เมือง ของนายสมชัย ชำพาลี ซึ่งคิดประดิษฐ์เครื่องดนตรีไทยไว้ใช้เอง เนื่องจากได้เดินทางร่วมไปกับคณะลิเกต่างๆ จึงอาศัยความรู้ที่ได้จากการต่อเกวียนของบิดา ด้วยเป็นคนช่างสังเกตหมั่นฝึกฝนวาดลวดลายไทยจากวัดและโบสถ์ รวมถึงเป็นนักดนตรีไทยสร้างเครื่องดนตรีไทยชิ้นแรก คือระนาด ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของบุคคลทั่วไป จนพัฒนาฝีมือการผลิตและขยายคนงานเพิ่มมากขึ้น จนมีประมาณ 100 คน ในปัจจุบัน


ประชาชนเฝ้ารับเสด็จเนืองแน่น

               การเสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟครั้งนี้ มีประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จตลอดสองข้างทางตั้งแต่ออกจากสถานีจิตรลดา จนถึงสถานีสะพานแควใหญ่ จ.กาญจนบุรี โดยขณะที่ขบวนรถไฟแล่นผ่านบริเวณที่มีประชาชนรอเฝ้ารับเสด็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเผยพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม และทอดพระเนตรออกมานอกหน้าต่าง พร้อมกับทรงโบกพระหัตถ์ทักท้าย เป็นภาพที่สร้างบรรยากาศแห่งความปลื้มปีติสุขแก่ประชาชนอย่างหาที่สุดมิได้