ข่าว

สานต่อ'โรงแรมท้องถิ่น'ผงาดในป่าตองใจรักไม่พอ - ทำงานต้องอดทน

สานต่อ'โรงแรมท้องถิ่น'ผงาดในป่าตองใจรักไม่พอ - ทำงานต้องอดทน

05 ต.ค. 2558

สานต่อ'โรงแรมท้องถิ่น'ผงาดในป่าตองใจรักไม่พอ - ทำงานต้องอดทน : คมคิดธุรกิจนิวเจน โดย...ณัฎฐ์ชิตา เกิดแดง

             “การบริหารธุรกิจโรงแรมเปรียบเสมือนแบบทดสอบตั้งแต่การวางแผนการเงิน การเริ่มการก่อสร้างจนไปถึงการเปิดดำเนินการ เป็นงานที่ต้องอาศัยความอดทนและการเผชิญหน้ากับปัญหา รวมทั้งการแก้ไขวิกฤติต่างๆ ที่เข้ามา เพียงแค่ใจรักอยากจะมีโรงแรมอาจไม่เพียงพอ เพราะการบริหารธุรกิจโรงแรมไม่ได้เป็นความโก้เก๋หรือทำให้ชีวิตดูหรูหราขึ้น เราไม่ควรจะคิดว่าพอโรงแรมสร้างเสร็จ เปิดบริการได้ก็สามารถปล่อยให้มันเลี้ยงตัวเองได้ จริงๆ แล้วการสร้างเสร็จเป็นแค่จุดเริ่มต้นนำมาซึ่งภาระและความรับผิดชอบที่เราจะต้องทำต่อเนื่องไป” เสียงสะท้อนจาก “พบไชยส์ จิระวิศิษฏ์นนท์” ผู้บริหารหนุ่มทายาทรุ่น 2 ของโรงแรมโนโวเทล ภูเก็ต รีสอร์ท และโนโวเทล ภูเก็ต วินเทจ พาร์ค ที่ได้รับความนิยมสูงสุดบนหาดป่าตอง จ.ภูเก็ต

             พบไชยส์ เป็นทายาทรุ่น 2 ที่เข้ามาช่วยครอบครัวบริหารธุรกิจโรงแรมเต็มตัวตั้งแต่เรียนจบระดับปริญญาโทจากเมืองนอกเมื่อ 12 ปีก่อน ซึ่งเขาบอกว่าชอบและผูกพันกับโรงแรมตั้งแต่เด็กๆ เพราะคุณพ่อคุณแม่ชอบพาไปรับประทานอาหารตามโรงแรมต่างๆ ในกรุงเทพฯ แล้วประทับใจรู้สึกว่าเป็นงานบริการที่มอบความสุขให้แก่ผู้คน เมื่อครอบครัวหันมาจับธุรกิจโรงแรมจึงเป็นโอกาสดีของเขาที่จะเข้าไปทำงานทันทีที่เรียนจบกลับมา โดยเข้าไปบริหารโรงแรมป่าตอง เบย์ชอร์ ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกของครอบครัว ถือเป็นโรงแรมขนาดเล็กระดับ 3 ดาว มีจำนวนห้องพักเพียง 83 ห้องเท่านั้น

             “ตอนที่เข้ามาทำงานใหม่ๆ ทำเองแทบทุกอย่าง เหมือนเป็นผู้จัดการเอง ส่วนคุณพ่อวางมือไปดูแลโนโวเทล ภูเก็ต รีสอร์ท โรงแรมอีกแห่งของครอบครัว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเป็นเชนระดับ 4 ดาว การที่เราเลือกเข้ามาบริหารโรงแรมที่เล็กกว่าและเก่าแก่กว่าถือเป็นความท้าทายในการทำงาน แต่ระหว่างนั้นก็ได้ศึกษางานของโรงแรมโนโวเทล ภูเก็ต รีสอร์ทไปด้วย เพราะการบริหารงานของโรงแรมท้องถิ่นกับโรงแรมที่มีเชนมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง”

             ผู้บริหารหนุ่มบอกว่า พื้นฐานการให้บริการของโรงแรม 2 แห่งอาจจะไม่ต่างกัน แต่ระบบการบริหารจัดการยังมีความแตกต่าง โดยโรงแรมเล็กๆ ที่เขาดูแลยังมีการบริหารงานแบบครอบครัว แต่โรงแรมที่มีเชนจะบริหารงานอย่างเป็นระบบและต้องตรงตามมาตรฐาน ตลอดจนการหาตลาดหรือกลุ่มลูกค้าก็จะมีความต่างกัน เพราะกลุ่มลูกค้าจะเลือกซื้อจากคุณภาพการให้บริการและราคาห้องพัก เป็นหลัก ด้วยความที่ป่าตอง เบย์ชอร์ เปิดให้บริการมานาน ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างค่อนข้างไม่ทันสมัย ดังนั้น ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่เขาจึงไม่รอช้าที่จะปรับปรุงงานในด้านต่างๆ ทันที ไม่ว่าจะเป็นระบบบัญชี การบริหารจัดการ ปรับปรุงห้องพัก ห้องอาหารให้มีความทันสมัยมากขึ้น

             หลังจากที่ทำงานในป่าตอง เบย์ชอร์ ควบคู่ไปกับการเรียนรู้งานของโนโวเทล ภูเก็ต รีสอร์ท และสั่งสมประสบการณ์การทำงานเป็นเวลา 5 ปี เขามองว่าถึงเวลาที่โรงแรมเล็กๆ ที่บริหารอยู่ต้องปรับตัว เพราะหากปล่อยไว้เฉยๆ อาจจะแข่งขันกับโรงแรมอื่นไม่ได้ เนื่องจากระยะหลังมีโรงแรมเกิดขึ้นจำนวนมากบนหาดป่าตอง เนื่องด้วย จ.ภูเก็ต ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากต่างชาติอย่างมาก ซึ่งทางครอบครัวต่างก็เห็นดีด้วย จึงตัดสินใจทุบโรงแรมเดิมทิ้งและลงทุนสร้างโรมแรมใหม่ภายใต้ชื่อ โนโวเทล ภูเก็ต วินเทจ พาร์ค ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งโรงแรมแห่งนี้สามารถใช้เนื้อที่ 10 ไร่ได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงเป็นโรงแรมขนาดใหญ่กว่าเดิมและมีจำนวนห้องพักมากถึง 303 ห้องตั้งอยู่ใจกลางหาดป่าตอง

             พบไชยส์บอกว่า โนโวเทล ภูเก็ต วินเทจ พาร์ค เป็นความภาคภูมิใจและความสำเร็จในการร่วมมือกันทางความคิดและการบริหารของคน 2 รุ่น โดยอาศัยประสบการณ์อันมีค่าของรุ่นคุณพ่อคุณแม่มาผนวกกับทฤษฎีแนวคิดใหม่เชิงปฎิบัติของคนรุ่นใหม่แบบเขา จึงออกมาเป็นโรงแรมที่สามารถตอบสนองทิศทางการท่องเที่ยวได้อย่างตรงจุด

             “สาเหตุที่ไม่ทุบป่าตอง เบย์ชอร์ ทิ้งแล้วสร้างใหม่ตั้งแต่ช่วงแรกที่เข้าไปบริหาร เพราะผมยังไม่มีประสบการณ์ ตอนนั้นคิดว่าต้องเข้ามาเรียนรู้ก่อน จึงรอเวลาและจังหวะที่เหมาะสม หลังจากผ่านไป 5 ปีก็มั่นใจว่าจะสามารถบริหารงานโรงแรมที่ใหญ่ขึ้นได้ โดยมีโจทย์ตั้งแต่เริ่มแรกแล้วว่าจะทำโรงแรมขนาดใหญ่เพื่อให้ใช้พื้นที่ได้เต็มศักยภาพที่สุด”

             สำหรับโรงแรมแห่งใหม่นี้ พบไชยส์เล่าว่า เขามีส่วนร่วมตั้งแต่การออกแบบ ซึ่งถือว่าสำคัญที่สุดหากตอนนั้นยังไม่มีประสบการณ์ด้านการบริหารโรงแรมมาก่อนอาจจะทำออกมาไม่ดีและเกิดปัญหาได้ โดยการออกแบบห้องพักจะเน้นตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มทั้งวัยรุ่น ครอบครัว ผู้สูงอายุ นอกจากนี้ เขายังดูแลเรื่องของการประเมินค่าใช้จ่าย การจัดหาเงินกู้ เพราะเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมากถึง 1,700 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี ซึ่งช่วงนั้นถือว่าเป็นช่วงที่ต้องทำงานหนักมาก เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนงานที่่วางไว้ โดยมีคุณพ่อเป็นที่ปรึกษาคอยแนะนำจัดหาผู้รับเหมาและช่วยคุมงบการเงินไม่ให้บานปลาย และเพื่อให้มั่นใจว่าจะสร้างโรงแรมให้ออกมาดีที่สุด จึงได้เดินทางไปศึกษาข้อมูลโรงแรมต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำข้อดีข้อเสียมาประยุกต์ใช้กับโรงแรมแห่งนี้

             ทั้งนี้ การสร้างโรงแรมต้องมีจุดเด่นและจุดขาย ดังนั้น จึงลงทุนเรื่องสระว่ายน้ำค่อนข้างมาก ถือว่าสวยและมีขนาดใหญ่ที่สุดในหาดป่าตอง ไม่ว่าจะอยู่ตรงบริเวณไหนของโรงแรมก็เห็นวิวสระว่ายน้ำเป็นวิวขาย ซึ่งกระแสตอบรับจากลูกค้าส่วนใหญ่ก็ชอบมาก โดยการเปลี่ยนโฉมจากโรงแรมท้องถิ่นมาเป็นแบรนด์ Accor ภายใต้เชนดังอย่างโนโวเทล ทำให้ง่ายในการสร้างความแข็งแกร่งในการทำตลาดและหาลูกค้า แต่ในฐานะเจ้าของก็สามารถต่อรองหรือตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้เอง

             พบไชยส์อธิบายว่า การบริหารโรงแรมเป็นงานที่มีรายละเอียดมาก ทั้งงานหน้าบ้านและหลังบ้าน จึงมีปัญหาเข้ามาให้แก้ทุกวัน ปัญหาก็มาจากทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก หากเป็นปัจจัยภายในส่วนใหญ่ก็สามารถแก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ แต่หากเป็นปัญหาที่มาจากปัจจัยภายนอก อย่างเรื่องความวุ่นวายทางการเมือง ภัยพิบัติ ถือเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ แต่ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาและฝ่าฟันไปให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีปัญหาหนักจนกระทบโรงแรม เพราะหลักในการขยายงานหรือบริหารธุรกิจคือ การดูแลกิจการให้เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป และมีวินัยในการบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

             “การบริหารโรมแรมเรื่องของสภาพคล่องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ผมต้องดูแลพนักงานกว่า 500 คน ช่วงที่ผ่านมาเวลาเกิดปัญหาการท่องเที่ยวสะดุด นักท่องเที่ยวหายไป รายได้โรงแรมลดลงก็ยังไม่เคยลดคนงาน ไม่เคยลดเวลาทำงาน หรือจ่ายเงินล่าช้า เราต้องดูแลพนักงานเหมือนคนในครอบครัว และในอนาคตก็ยืนยันจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นอย่างแน่นอน”

             เขามองว่า โชคดีที่ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ต่างชาติรู้จักและเข้าใจดีว่ากรุงเทพฯ กับภูเก็ตห่างกัน ดังนั้น ในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองภูเก็ตจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก หรือกรณีล่าสุดเหตุการณ์ระเบิดแยกราชประสงค์ในกรุงเทพฯ แม้จะทำให้ภาพรวมการท่องเที่ยวสะดุดลงไปบ้าง แต่ภูเก็ตก็ไม่ได้รับผลกระทบน้อยมาก จากที่ติดตามสถานการณ์ช่วง 2 สัปดาห์แรกพบว่ามีนักท่องเที่ยวยกเลิกการจองห้องพักเข้ามาบ้าง แต่เป็นส่วนน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขอเลื่อนเวลาออกไปเพื่อดูสถานการณ์มากกว่า หลังจากนั้นไม่นานนักท่องเที่ยวก็กลับเข้ามาตามปกติ และที่สำคัญภูเก็ตจะแตกต่างจากพื้นที่อื่นคือ ไม่ว่าจะเป็นช่วงไฮซีซั่นกับโลว์ซีซั่นจำนวนนักท่องเที่ยวแทบไม่แตกต่างกัน อาจจะต่างกันในแง่ของการทำราคาห้องพักมากกว่า

             อย่างไรก็ตาม แม้ภูเก็ตจะเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามามากอยู่แล้ว แต่การทำธุรกิจโรงแรมก็ต้องทำงานเชิงรุก ทุกวันนี้ยังต้องเรียกประชุมทีมการตลาดเพื่อจับแนวโน้มประเมินทิศทางตลาดล่วงหน้า จะไม่รอให้มีปัญหาหรือเกิดผลกระทบขึ้นก่อน อย่างกรณีที่เศรษฐกิจประเทศรัสเซียชะลอตัวลง ทำให้ค่าเงินตกไปมาก นักท่องเที่ยวรัสเซียหายไป ทำให้โรงแรมที่เน้นจับตลาดนี้ ซึ่งมีถึง 70% ได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน เพราะไม่สามารถหาตลาดอื่่นมาแทนที่ได้ทัน แต่สถานการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นกับโรงแรมของเขาอย่างแน่นอน

             เนื่องจากที่ผ่านมา โรงแรมของเขาจะทำการตลาด โดยเน้นสร้างความสมดุลกระจายลูกค้าไปหลายๆ ตลาด จะไม่ผูกติดกับตลาดใดตลาดหนึ่ง อาจเป็นเอเชียครึ่งยุโรปครึ่ง อย่างเอเชียหากญี่ปุ่น เกาหลีแย่ก็ยังได้จีนกับอินเดียมาแทน โดยเฉพาะจีนและอินเดียเพิ่มขึ้นกว่า 100% ส่วนลูกค้าคนไทยยอมรับว่ามีเพียง 5% เท่านั้น แต่ปีนี้น่าจะมีมากขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสนับสนุนให้คนไทยท่องเที่ยวในประเทศ ทำให้มีบริษัทห้างร้าน กลุ่มข้าราชการมาจัดประชุมที่ภูเก็ตมากขึ้น

             ส่วนสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยในปีนี้นั้น มองว่ายังไปได้ดี ในช่วงปลายปีน่าจะยิ่งปรับตัวดีขึ้น หากไม่มีเหตุการณ์อะไรมากระทบอีก ประกอบกับเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นพอดี โดยขณะนี้โรงแรมของเขามียอดจองห้องพักเข้ามาล่วงหน้าแล้ว 80-85% ส่งผลให้ผลประกอบการของโรงแรมดีขึ้นตามไปด้วย คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5-7%

             ปัจจุบันโรงแรมของเขาถือเป็นผู้นำตลาดในหาดป่าตอง หากเปรียบเทียบกับโรงแรมคู่แข่งในระดับเดียวกันประมาณ 6 ราย ทำให้ต้องมีปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความเป็นผู้นำเอาไว้ให้ได้ และในส่วนของโรงแรมโนโวเทล ภูเก็ต รีสอร์ท ซึ่งเปิดมานานถึง 19 ปีแล้วนั้น ก็จำเป็นต้องมีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งน่าจะเริ่มได้ในปีนี้และใช้เวลาประมาณ 1 ปีจึงจะแล้วเสร็จ โดยถือเป็นการเปลี่ยนภาพลักษณ์โรงแรมให้เป็นแนวไทยร่วมสมัยมากขึ้น เป็นการปรับตัวให้เข้ากับตลาดมากขึ้น

             พบไชยส์ บอกว่า เขายังมีโปรเจกท์ในการพัฒนาโรงแรมเพิ่มเติมอีกในอนาคต แต่คงไม่ใช่ที่ภูเก็ตเพราะขณะนี้ที่ดินมีราคาแพงมาก บางทำเลปรับขึ้นไปถึงไร่ละ 100 ล้านบาท ซึ่งเคยมีคนเสนอขายในราคา 600 ล้านบาทด้วยซ้ำ และที่ดินผืนใหญ่ก็ถูกจับจองจนแน่นแล้ว หากลงทุนซื้อที่ดินราคาแพงมาทำโรงแรมอาจจะไม่คุ้มกับดอกเบี้ยที่วิ่งแซงหน้ารายได้ไปไกล อีกทั้งกฎหมายควบคุมการสร้างอาคารก็เข้มงวด หากอยู่ติดชายหาดจะสร้างสูงเกิน 3-4 ชั้นไม่ได้ ถ้าจำนวนห้องน้อยคิดค่าห้องแพงก็แข่งขันกับเจ้าอื่นไม่ได้ ทำให้หันไปมองที่ดินบริเวณเขาหลัก จ.พังงา แทน เจ้าตัวบอกว่าตอนนี้ซื้อที่ดินเก็บไว้ 10 ไร่ เพราะมองว่าในอนาคตน่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ช่วงนี้ยังรอเวลาและจังหวะที่เหมาะสมไปก่อน น่าจะรอดูตลาดอีกประมาณ 5 ปีก่อนจะเริ่มทำโปรเจกท์ใหม่ เพราะธุรกิจโรงแรมมีความซับซ้อนและมีความละเอียดอ่อนมาก

             “เหตุที่รอเวลา 5 ปี เพราะอยากให้โรงแรมใหม่ที่่ป่าตองมีความมั่นคงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ตอนนี้ยังถือเป็นโรงแรมน้องใหม่มาก เปิดตัวมาแค่ 3 ปีเท่านั้น แต่ก็เป็นช่วง 3 ปีที่ผมพอใจ เพราะสามารถทำให้โรงแรมมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละไม่ต่ำกว่า 5% แต่ผมก็ไม่ประมาท เนื่องจากภูเก็ตถือเป็นทำเลปราบเซียน มีคนเข้ามาลงทุนกิจการโรงแรมมากและมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ประสบความสำเร็จ”

             สำหรับหลักสำคัญอย่างอย่างในการบริหารโรงแรมให้ประสบความสำเร็จคือ ต้องรู้ศักยภาพการเงินของตัวเอง โดยเขาจะแบ่งเงินเป็น 3 ส่วนคือ 1.งบที่ใช้ลงทุนระหว่างการก่อสร้าง โดยจะควบคุมไม่ให้ใช้เกินจากวงเงินที่ตั้งไว้ 2.งบสำหรับเปิดกิจการในช่วง 1-2 ปีแรกที่อาจจะมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ และ 3.งบประมาณสำหรับการดำเนินงานในแต่ละปี เช่น งบที่เตรียมไว้สำหรับการซ่อมแซมและปรับปรุงห้องพักและส่วนกลาง รวมไปถึงงบที่มีไว้สำหรับรับมือกับสถานการณ์จากปัจจัยภายนอก เช่น เศรษฐกิจโลกที่อาจจะซบเซา หรือโรคระบาด และภัยธรรมชาติ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหา

             นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่หนุ่มคนนี้ยึดถือเป็นแนวทางในการทำงานคือ การให้ความสำคัญกับคนที่ร่วมทำงานด้วย ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย คู่ค้า ลูกค้า ทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องต้อง “วิน-วิน” เหมือนกัน และนโยบายหลักที่ครอบครัว รวมทั้งตัวเขาให้ความสำคัญมากคือ ไม่ได้เน้นการสร้างกำไรสูงสุด แต่เน้นการเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวด้วยการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ ไม่ให้มีผลกระทบเชิงลบต่อภาพรวมการท่องเที่ยว ทั้งเรื่องการบริการ การคิดราคาที่ไม่เอาเปรียบลูกค้า การใส่ใจสิ่งแวดล้อมทั้งการปล่อยน้ำเสีย การจัดการขยะ ซึ่งเขามองว่าภูเก็ตมีการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานไม่ทันกับการเติบโตของจังหวัด ดังนั้น จึงเห็นว่าส่วนกลางน่าจะเข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานให้ดีขึ้น เพื่อประโยชน์ทางด้านการท่องเที่ยวในระยะยาว

             สุดท้ายพบไชยส์ทิ้งท้ายว่า การทำงานในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ถือว่าได้เอาความรู้และประสบการณ์มาใช้ในการทำงานอย่างเต็มที่ และยังรู้สึกสนุกในการทำงานที่ให้ความสุขกับผู้บริโภคและถือเป็นความท้าทายในการที่จะรักษาความเป็นหนึ่งในตลาดไว้ให้ได้ในอนาคต ดังนั้น การทำงานทุกอย่างต้องอาศัยความอดทนแค่มีใจรักอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ

             
ความสุขมวลรวมสำคัญกว่า“กำไรสูงสุด”

             “พบไชยส์ จิวะวิศิษฎ์นนท์” หรือเป๋า ชายหนุ่มวัย 36 ปี เกิดและเติบโตในกรุงเทพฯ ก่อนที่จะลัดฟ้าไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีทางด้านบัญชี การเงิน และปริญญาโทด้านการบริหารจัดการโรงแรม เพราะตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่าจะเข้ามาสานต่อธุรกิจของครอบครัว ด้วยความที่คุณพ่อมีพื้นเพดั้งเดิมเป็นคนภูเก็ต เดิมประกอบอาชีพธุรกิจร้านค้าทอง ก่อนย้ายถิ่นฐานมาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อแต่งงานกับคุณแม่ ทำให้พ่อของเขาซึ่งชอบลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กลับไปซื้อที่ดินบริเวณหาดป่าตอง จ.ภูเก็ตเก็บเอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน จึงเป็นแหล่งก่อตั้งโรงแรมแห่งแรกของครอบครัว

             ทั้งนี้ เมื่อ 25 ปีก่อนคุณพ่อของเขามองเห็นถึงศักยภาพของภูเก็ตที่เริ่มกลายเป็นแหล่งท่องเที่่ยวที่ได้รับความนิยมจากทั้งคนไทยและต่างชาติ จึงตัดสินใจไปลงทุนสร้างโรงแรมเล็กๆ มีจำนวน 83 ห้องในชื่อว่า Patong Bayshore ถือเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจโรงแรมบนชายหาดป่าตอง และน่าจะเป็นโรงแรมแรกๆ ของหาดนี้ก็ว่าได้ โดยกิจการโรงแรมก็ไปได้ด้วยดีมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คุณพ่อตัดสินใจขยายกิจการใช้เงินกว่า 800 ล้านบาท สร้างโรงแรมแห่งที่ 2 ภายใต้ชื่อ Novotel Phuket Resort ถือเป็นโรงแรมเชนขนาดใหญ่แรกๆ บนหาดป่าตอง มีจำนวนพักถึง 215 ห้อง

             “การที่คุณพ่อตัดสินใจใช้เชนโนโวเทลน่าจะเป็นเรื่องของความได้เปรียบในการทำธุรกิจในยุคนั้นๆ ที่ยังมีโรงแรมเชนไม่มากนัก โดยโรงแรมแห่งใหม่สร้างเสร็จก่อนปี 2540 หรือวิกฤติเศรษฐกิจเพียงปีเดียว แต่โชคดีที่เงินทุนในการสร้างโรงแรมมาจากการกู้เงินในประเทศจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการลอยตัวค่าเงินบาทในยุคนั้น” พบไชยส์เล่า

             ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินบาททำให้ต่างชาติแห่มาเที่ยวมืองไทยกันจำนวนมาก เพราะรัฐบาลก็โหมโปรโมทโครงการอะเมซิ่งไทยแลนด์ จึงยิ่งส่งผลดีกับภาคการท่องเที่ยวไทยและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงโรงแรมของครอบครัวเขาก็ได้รับอานิสงส์ดีตามไปด้วย กิจการจึงขยายเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาเข้ามารับช่วงต่อจากคุณพ่อที่ปูทางเอาไว้ให้เป็นอย่างดี

             หนุ่มเป๋าบอกว่า เหตุที่เลือกเรียนด้านบัญชี เพราะต้องการรู้หลักบริหารด้านการเงิน ซึ่งมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการทำธุรกิจ ไม่ใช่เฉพาะธุรกิจโรงแรม เนื่องจากการลงทุน การสร้างโรงแรมต้องติดต่อธนาคาร ต้องกู้เงิน มีเรื่องของตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องและที่เลือกเรียนด้านบริหารงานโรงแรมอีก 1 ปีในระดับปริญญาโททำให้รู้ภาพรวมด้านการบริหารจัดการ

             เป๋าบอกอีกว่า แม้จะต้องบริหารโรงแรม 2 แห่ง และมีพนักงานในความดูแลกว่า 500 คน แต่ก็ยังใช้วิธีการเข้าไปดูแลพนักงานอย่างใกล้ชิด เหมือนเป็นคนในครอบครัว เพราะทุกคนล้วนเป็นแรงขับเคลื่อนองค์กรให้เจริญก้าวหน้าต่อไปได้ จึงต้องทำงานกันเป็นทีมเวิร์ก ดังนั้น วัฒนธรรมองค์กรเป็นสิ่งสำคัญ เขาต้องการสร้างความสุขมวลรวมในการทำงานมากกว่าจะเน้นแสวงหากำไรสูงสุด

             “คนส่วนใหญ่อาจจะเห็นตัวเลขกำไรเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จขององค์กร แต่ตรงนี้ผมอยากจะเสริมเรื่องความสุขมวลรวม หรือความสุขร่วมกันในการทำงาน ซึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปของประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น วัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญทั้งในส่วนของพนักงานบริการ (หน้าบ้าน) และพนักงานการจัดการ (หลังบ้าน) ทั้งสองส่วนนี้เป็นฟันเฟืองที่จะต้องมีการทำงานให้สอดคล้องกันเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน”