ข่าว

จับ‘ทานาคา’ใส่สัญชาติไทยปั้นแบรนด์“เดอลีฟ”ตีตลาดอาเซียน

จับ‘ทานาคา’ใส่สัญชาติไทยปั้นแบรนด์“เดอลีฟ”ตีตลาดอาเซียน

07 ก.ย. 2558

จับ‘ทานาคา’ใส่สัญชาติไทยปั้นแบรนด์“เดอลีฟ”ตีตลาดอาเซียน : คมคิดธุรกิจนิวเจน โดย...ณัฎฐ์ชิตา เกิดแดง

            บรรดาสาวๆ ทั้งหลายคงรู้จัก “ทานาคา” ซึ่งเป็นพืชพื้นถิ่นของประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “พม่า” เป็นอย่างดี เนื่องจากพืชชนิดนี้มีคุณสมบัติในการต่อต้านความเสื่อมของเซลล์ ช่วยชะลอความชราของผิว ป้องกันการเกิดสิว ควบคุมความมัน ลดจุดด่างดำและฝ้า แถมช่วยป้องกันการทำลายผิวจากรังสียูวีได้เป็นอย่างดี จากสรรพคุณดังกล่าวจึงไม่แปลกที่เราจะเห็นสาวพม่าส่วนใหญ่มีผิวพรรณดี เพราะใช้ทานาคากันมาตั้งแต่เด็กยันแก่ ส่วนสาวไทยที่อยากทดลองใช้ก็ต้องข้ามฝั่งไปซื้อชายแดนพม่า โดยส่วนใหญ่ยังเป็นสินค้าท้องถิ่นที่ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือและบรรจุภัณฑ์ หรือแพ็กเกจจิ้งไม่สวยงาม

            จากจุดนี้ ทำให้หนุ่มไทย “ศุภชัย จูพาณิชย์” ปิ๊งไอเดียในการนำทานาคามาแปลงเป็นสินค้าสัญชาติไทยและส่งไปตีตลาดพม่าได้สำเร็จ ชูความต่างด้านคุณภาพ จนได้รับการยอมรับให้เป็นทานาคาพรีเมียม หรือ ไฮโซทานาคา ภายใต้แบรนด์ “เดอลีฟ ทานาคา” โดยใช้เวลาเพียง 2 ปีในการบุกตลาดและครองใจสาวพม่า ก่อนจะหันมาทำตลาดในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เพื่อเดินไปสู่เป้าหมายการเป็นแบรนด์สกินแคร์ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นโจทย์ที่เขาตั้งเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้นกระโดดเข้ามาทำธุรกิจของตัวเอง

            ส่วนสาเหตุที่เลือกผลิตภัณฑ์ไม้ทานาคา เพราะช่วงที่ยังทำงานเป็นพนักงานในบริษัทแห่งหนึ่ง มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง รวมทั้งพม่าด้วย และเห็นว่าทานาคาเป็นไม้มหัศจรรย์ แต่ไม่ค่อยมีใครนำมาใช้ประโยชน์ ทั้งที่ผู้หญิงพม่าเกือบ 100% นิยมใช้ทานาคา และลักษณะการใช้ยังเป็นแบบดั้งเดิม ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ในตลาดชิ้นไหนที่ดูทันสมัยและตอบโจทย์กระแสความงามสมัยใหม่ได้

            “มองย้อนหลังไป 5 ปีก่อน จะพบว่าลักษณะการใช้งานทานาคายังเป็นแบบดั้งเดิมมากๆ สาวพม่าจะนิยมฝนท่อนทานาคาด้วยแท่นหินผสมน้ำแล้วเอามาทาหน้าเป็นลวดลายและมีสีเหลืองทิ้งไว้บนหน้า ซึ่งในยุคสมัยใหม่น่าจะไม่สะดวกในการใช้งาน จึงอยากพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้คนยุคใหม่ โดยเฉพาะใช้แล้วไม่ทิ้งคราบเหลืองๆ ไว้บนใบหน้า เพราะจะทำให้สาวๆ แต่งหน้าได้ลำบาก”

            ประกอบกับในช่วงนั้น ผู้ประกอบการในพม่าก็ยังไม่มีการนำทานาคามาต่อยอดเป็นสินค้าที่โมเดิร์นให้เข้ากับยุคสมัย มีแค่เพียงครีมหรือผงทานาคาที่ต้องนำมาผสมน้ำและยังทิ้งคราบเหลืองไว้บนหน้า ทำให้ไม่เหมาะกับการแต่งหน้า นั่นจึงเป็นที่มาของการนำผงสกัดจากไม้ทานาคามาเป็นส่วนผสมของสินค้าภายใต้แบรนด์เดอลีฟ ทานาคา ซึ่งเป็นการนำเข้าวัตถุดิบจากแหล่งกำเนิดคือพม่าทั้งหมดและคัดเลือกเฉพาะเกรดเอเท่านั้น โดยการนำเข้าจะเป็นแบบผงและแบบสกัด ทำให้ง่ายในการนำไปใช้เป็นส่วนผสม รวมทั้งการพัฒนาคิดค้นสูตรและใช้เทคโนโลยีการผลิตในประเทศไทย

            ศุภชัย เล่าว่า ต้องใช้เวลาทดลองสูตรแป้งฝุ่นอยู่นานเป็นเวลา 1 ปี จึงจะผลิตสินค้าออกมาทำตลาดให้โดนใจสาวพม่า โดยระหว่างการปรับปรุงสูตรก็ได้นำสินค้าไปให้สาวพม่าทดลองใช้ก่อน หลังจากผลิตสินค้าออกมาแล้วจะอาศัยพันธมิตรชาวพม่าเข้ามาช่วยทำตลาดและกระจายสินค้า ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าโชคดีที่มีคนรู้จักในสายงานนี้ค่อนข้างมากตั้งแต่ที่ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์ยูนิลีเวอร์ในตลาดอินโดไชน่า จึงได้นำมาใช้กับสินค้าของตัวเอง

            ทั้งนี้ ในช่วงที่ตัดสินใจเดินหน้าทำสินค้าแบรนด์ของตัวเอง เขาได้ลาออกจากงานประจำ และทุ่มเทเวลาในการปลุกปั้นแบรนด์เดอลีฟ ทานาคา อย่างเต็มที่ โดยใช้ประสบการณ์จากการทำงานมา 7 ปีลองผิดลองถูกไปก่อน ซึ่งโชคดีที่เขารู้จักโรงงานผลิตสินค้าด้านสกินเคร์ที่มีมาตรฐานหลายแห่งจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเลือกโรงงานที่ไว้วางใจร่วมกันพัฒนาสูตรสินค้าขึ้นมา และสินค้าตัวแรกที่เผยออกวางตลาดคือ “แป้งฝุ่น”

            สำหรับสาเหตุที่เลือกเข้าไปบุกตลาดพม่าก่อน เพราะเห็นว่าสาวพม่ารู้จักทานาคาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว จึงน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ยากเกินไปนัก แต่ก็รู้ดีว่าแบรนด์ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นต้องใช้เวลาในการทำตลาด ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่นานประมาณ 1 ปีกว่าสาวพม่าจะเปิดใจรับสินค้าแบรนด์เดอลีฟ ทานาคา โดยช่องทางการจำหน่ายสินค้าหลักๆ จะวางขายในห้างเล็กๆ ซึ่งเป็นห้างท้องถิ่นหรือซูเปอร์มาร์เก็ต และพุ่งเป้าที่เมืองย่างกุ้งเป็นหลัก ด้วยข้อจำกัดทางด้านเงินทุนของผู้ผลิตเอสเอ็มอีที่ยังมีเงินทุนไม่มากนัก โดยการลงทุนครั้งนี้เขาใช้เงินของตัวเองลงทุนทั้งหมดประมาณ 1.5 ล้านบาท ดังนั้น ในช่วงแรกจึงต้องโฟกัสเป้าหมายให้ตรงจุดและเลือกกลุ่มคนที่ใช่ ร้านค้าที่ใช่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

            “สินค้าของเราเป็นพรีเมียมแมส ราคาสูงกว่าสินค้าในท้องตลาดประมาณ 20% แต่มั่นใจว่าแพ็กเกจจิ้งและคุณภาพเหนือกว่ามาก ซึ่งสาวพม่าจะเรียกสินค้าเราว่าเป็นพรีเมียม ทานาคา หรือไฮโซ ทานาคา โดยเน้นเจาะกลุ่มคนชั้นกลางอายุ 20 ปีขึ้นไปที่ทำงานแล้วและมีรายได้ โชคดีที่คนพม่าชื่นชอบและเชื่อมั่นสินค้าไทยอยู่แล้ว ทำให้การยอมรับสินค้าเราจึงไม่ยากนัก แต่การทำตลาดช่วงแรกก็ต้องทำทุกวิถีทาง ทั้งแจกสินค้าให้ทดลองใช้ จ้างพนักงานยืนเชียร์สินค้าที่จุดขาย มีการลงหนังสือท้องถิ่นบ้าง แต่ปีแรกกระแสตอบรับก็ยังไม่ดีมากนัก"

            ศุภชัย มองว่า จุดที่ทำให้สถานการณ์พลิกผันคือในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคือ การเข้าไปลงทุนด้านสื่อสารโทรคมนาคมของบริษัทยักษ์ใหญ่ในพม่า ทำให้ราคามือถือถูกลงและมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากขึ้น จนอัตราการใช้บริการมือถือเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยข้ามจากการใช้คอมพิวเตอร์ไปเป็นมือถือเลยทีเดียว ทำให้ธุรกิจสามารถใช้สื่อโซเชียลมีเดียทำตลาดได้ง่ายขึ้น ทั้งการโฆษณาทางเฟซบุ๊กและเว็บเพจต่างๆ ทำให้สาวพม่ารู้จักสินค้าของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ปีที่ 2 มีคนรู้จักแบรนด์กว่า 2 แสนคนและยอดขายมีกระแสตอบรับดีขึ้นมากจนถึงจุดคุ้มทุนในปีที่ 2

            เมื่อสินค้าชนิดแรกประสบความสำเร็จแล้ว ศุภชัยจึงเดินหน้าขยายการลงทุนและพัฒนาสินค้าตัวที่สองออกมาคือ ครีมทาหน้าหรือมอยส์เจอไรเซอร์ เพราะจริงๆ แล้วคุณสมบัติของทานาคาเหมาะกับการนำมาใช้บำรุงหรือทาผิว ศุภชัยจึงคิดผลิตมอยส์เจอไรเซอร์ก่อนแป้งฝุ่นด้วยซ้ำ และทั้งๆ ที่เริ่มต้นพร้อมกัน แต่ด้วยขั้นตอนการพัฒนาครีมต้องใช้เวลานานและยุ่งยากกว่า จึงทำให้แป้งฝุ่นกลายเป็นสินค้าตัวแรกที่ออกมาทำตลาด โดยหลังจากมอยส์เจอไรเซอร์ก็จะส่งสินค้าประเภทสบู่ตามออกมา และล่าสุดเป็นสินค้าประเภทแป้งพัฟทาหน้า

            “หลักในการพัฒนาและผลิตสินค้าคือต้องแน่ใจจริงๆ ว่าสินค้าของเรามีคุณภาพ จึงจะนำออกมาสู่ตลาด ซึ่งครีมทาหน้าที่ออกมาถือเป็นสินค้าใหม่ในตลาด มีกระแสตอบรับที่ดีมาก เพราะเป็นครีมที่ซึมเร็วและไม่มีสีเหลืองเวลาทาหน้า ขายในราคา 250 บาทถือว่าไม่แพงสำหรับคนชั้นกลางและมีรายได้  เรียกว่าสินค้าเราจับต้องได้ไม่ไกลเกินเอื้อม”

            หลังจากเข้าไปทำตลาดในพม่าได้ประมาณ 2 ปี ก็หันมาทำตลาดในประเทศไทย โดยเน้นวางขายตามร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น ร้านสมุนไพร แต่ในช่วงแรกยังไม่ได้ทำตลาดอย่างจริงจังนัก โดยลงโปรโมทผ่านสื่อดิจิทัล หรือหนังสือชีวจิตบ้าง เน้นเจาะกลุ่มผู้หญิงที่รักสุขภาพอายุ 25 ปีขึ้นไป เนื่องจากคนอายุช่วงนั้นเทรนด์ของการรักสุขภาพมาแรง เพราะจุดขายของแบรนด์คือผลิตภัณฑ์เพื่อผิวสวยกระจ่างใสด้วยสมุนไพรธรรมชาติ ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และมาตรฐานการผลิตของโรงงานยังได้รับไอเอสโอและผ่านมาตรฐานของประเทศอังกฤษและออสเตรเลียด้วย

            อย่างไรก็ตาม การทำตลาดในเมืองไทยกับพม่ามีความแตกต่างกัน และยากลำบากกันคนละแบบ โดยในพม่ายากในเรืื่องของการสร้างแบรนด์ที่โจทย์เป็นระดับพรีเมียม เพราะสาวพม่ารู้จักประโยชน์ของทานาคาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แตกต่างจากการทำแบรนด์ในเมืองไทยที่โจทย์ต่างไปคือการสร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภครับรู้ประโยชน์ของทานาคาให้มากที่สุด แม้จะมีคนไทยบางกลุ่มที่เป็นแฟนทานาคาอยู่แล้ว แต่ก็ยากในการจะขยายเข้าไปสู่กลุ่มอื่นๆ เพิ่มเติม จึงเป็นความท้าทายคนละแบบ และที่สำคัญการแข่งขันของตลาดเครื่องสำอางสกินแคร์ในไทยมีการแข่งขันสูงมาก ทำให้แบรนด์ใหม่เกิดค่อนข้างยาก ซึ่งโชคดีที่แบรนด์เดอลีฟ เข้ามาในช่วงที่มีกระแสรักสุขภาพ และมีแบรนด์ร้านค้าที่ขายสินค้าด้านสุขภาพเกิดขึ้นมากมาย เช่น โกลเด้นเพลซ เลมอนฟาร์ม จึงใช้เป็นช่องทางในการจำหน่ายได้

            “การไปเสนอขอวางขายสินค้าในห้างสรรพสินค้าทั่วๆ ไป หรือร้านเครื่องสำอางช่วงแรกไม่มีใครสนใจสินค้าเราเลย แทบจะขายไม่ได้เลย ยังดีที่มีร้านค้าที่เน้นด้านสุขภาพให้เราวางขาย ทำให้เราเริ่มมีที่ยืนในตลาดบ้าง หลังจากนั้นก็สามารถทำการตลาดได้มากขึ้นทั้งผ่านสื่อออนไลน์ ออฟไลน์ โดยใช้เวลาประมาณปีกว่าสาวไทยจึงเริ่มรู้จักมากขึ้น ส่วนราคาขายสินค้าก็ไม่ต่างจากในเมียนมาร์มากนัก อย่างแป้งจะขายกระป๋องละ 45 บาท ครีมกระปุกละ 250 บาท”

            ผู้บริหารหนุ่มบอกว่า เมื่อมีสินค้าตัวที่ 2 และ 3 ออกมาก็สามารถทำตลาดได้ง่ายขึ้น เพราะคนเริ่มรู้จักแบรนด์มากขึ้นแล้ว อย่างล่าสุดช่วงกลางปีที่ผ่านมาได้ออกแป้งพัฟมาเอาใจสาวๆ ซึ่งใช้ง่ายกว่าแป้งฝุ่น โดยเหตุที่มองว่าทานาคาเหมาะทำเป็นแป้งพัฟ เพราะคุณสมบัติที่สำคัญของพืชนี้คือป้องกันความมันและป้องกันแสงแดด นอกเหนือจากช่วยชะลอความเสื่อมของผิว จึงเหมาะกับการนำไปผลิตครีม ส่วนในอนาคตจะพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาดให้ได้อย่างน้อยปีละ 1 ชนิด เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคและดีจริงๆ ซึ่งจะยังเน้นสินค้ากลุ่มสกินแคร์เป็นหลัก นอกจากแป้ง โลชั่น สบู่ ก็ยังสามารถพัฒนาไปสู่เจลล้างหน้า มาร์กหน้าหรืออื่นๆ ได้อีก แต่ต้องดูความเข้ากันของทานาคาด้วย เพราะอาจมีข้อจำกัดเหมือนกันอย่างยาสระผม ยาสีฟันอาจจะทำไม่ได้ และในอนาคตมีความเป็นได้ที่จะแตกไลน์สินค้ามายังสมุนไพรไทยด้วย แต่ต้องมีจุดขายหรือมีความแตกต่างจากตลาดทั้งในแง่ประโยชน์การใช้หรือการวางกลยุทธทางการตลาดที่ต่างกัน

            ทั้งนี้ หลังจากที่แบรนด์เดอลีฟเป็นที่รู้จักมากขึ้นก็เริ่มมีโมเดิรน์เทรดสนใจอยากนำสินค้าไปวางขาย อย่างล่าสุดในเซเวนอีเลฟเว่นก็เริ่มนำแป้งฝุ่นไปวางขายแล้ว ดังนั้น ในปีนี้จึงมีแผนจะขยายช่องทางการจำหน่ายมากขึ้นด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาในรายละเอียด ในปีหน้าลูกค้าจึงน่าจะได้เห็นสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้า และน่าจะช่วยกระจายสินค้าได้มากยิ่งขึ้น แม้ในปัจจุบันจะกระจายไปได้ทั่วประเทศอยู่แล้ว

            ส่วนการขยายตลาดออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ก็เริ่มดำเนินการไปแล้วในปีที่สามหลังจากที่สินค้าเริ่มเป็นที่รู้จัก โดยมีตัวแทนจำหน่ายในลาวและเวียดนาม ซึ่งปีนี้มีเป้าหมายจะเข้าไปที่ประเทศเวียดนาม และยังมีอีกหลายประเทศให้ความสนใจติดต่อเข้ามาขอเป็นตัวแทนจำหน่าย เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ขณะที่จีนและไต้หวันมีซื้อสินค้าเข้าไปทดลองขาย แต่ในมาเลเซียมองว่าอาจจะไม่ค่อยรู้จักทานาคากันมากนัก หากจะเข้าไปทำตลาดก็จะเข้าไปเจาะกลุ่มแรงงานพม่าในประเทศนั้นๆ จากนั้นค่อยขยายการรับรู้ของแบรนด์ไปยังกลุ่มอื่น

            สำหรับการก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ถือว่าบริษัทเดินมาได้ไกลระดับหนึ่งและมีผลการดำเนินงานเกินจุดคุ้มทุนมาแล้ว หลังจากที่ตั้งหลักในพม่าและเมืองไทยได้ โดยมียอดขายเติบโตหลายร้อยเปอร์เซ็นต์มาโดยตลอด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสินค้ามีความแตกต่างจากตลาดด้วยความเป็นทานาคา และมาจากการบอกต่อจากผู้ที่ใช้จริง มีการซื้อซ้ำและราคาไม่แพงจึงตอบโจทย์ผู้ใช้ได้จริง ผสมผสานกับการวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสม ซึ่งถือว่าเดินมาถูกทางแล้ว

            “ความแตกต่างทำให้เรามีตัวตนขึ้นมาได้ หลังจากนี้จะพยายามกระจายสินค้าให้ทั่วถึง หาซื้อง่ายขึ้น เพราะการลงโปรโมทผ่านสื่อทำให้มีคนเห็นมีคนรู้จัก โดยเฉพาะในเว็บรีวิวเครื่งสำอางยกให้แป้งของเราอยู่อันดับหนึ่งในกลุ่มแป้งฝุ่นที่คนนิยมมากที่สุด ทำให้มีคนถามเข้ามามากว่าหาซื้อได้ที่ไหน ซึ่งหากมีการเพิ่มช่องทางการขายและกระจายสินค้าได้มากขึ้นก็มั่นใจว่าปีนี้้จะทำยอดขายทะลุ 100 ล้านบาท”

            สุดท้ายศุภชัยมองถึงเรื่องการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ว่าการเปิดเออีซีในปลายปีนี้น่าจะเป็นโอกาสของเดอลีฟ ทานาคาด้วยเพราะจะมีทั้งผู้เล่นจากต่างชาติเข้ามาในไทยและทำให้สินค้าไทยออกไปตลาดเพื่อนบ้านได้ง่ายขึ้น หากใครมีความพร้อมก็จะเป็นโอกาส แต่ถ้าไม่พร้อมก็เสียเปรียบ ส่วนตัวเขาเองนั้นถือว่ามีความพร้อมระดับหนึ่งแล้ว และขอเวลาสร้างความแข็งแรงของแบรนด์อีกระยะหนึ่งก็น่าจะแข่งขันกับต่างชาติได้ โดยมองว่ายุคนี้เงินทุนไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด แต่เป็นยุคที่ความรู้สำคัญที่สุดต้องพัฒนาตัวเองให้สามารถไปสู้กับคนอื่นได้และในอนาคตเขาหมายมั่นว่า เดอลีฟ ทานาคาจะก้าวไปสู่การเป็นแบรนด์ในระดับภูมิภาคได้

            “เราหวังจะเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าไทยที่ออกไปแข่งขันในตลาดโลก เพราะสินค้าที่ผลิตโดยคนไทยมีคุณภาพไม่ด้อยกว่าใคร เรามีโรงงานรับจ้างผลิตให้แบรนด์ดังๆ จำนวนมาก ซึ่งแบรนด์ของเราก็ได้รับการการันตีสินค้าได้มาตรฐานจากกระทรวงพาณิชย์และทางกรมส่งเสริมการค้าก็ขอให้ไปร่วมออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศบ่อยครั้ง”

“ตั้งเป้าหมาย-เดินตามความฝัน”ชีวิตก็มีสุข

            “ศุภชัย จูพาณิชย์” หรือ กอล์ฟ ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของบริษัท มีความสุขทุกวัน จำกัด ผู้ปลุกปั้นแบรนด์สินค้า “เดอลีฟ ทานาคา” ในวัย 37 ปี เรียนจบทางด้านวิศวะช่างกลจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นตัดสินใจเรียนต่อระดับปริญญาโทด้านเอ็มไอเอ็ม หลักสูตรภาคภาษาอังกฤษ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเรียนจบเริ่มเข้าทำงานในบริษัทยูนิลีเวอร์ ดูแลด้านการตลาดในกลุ่มประเทศอินโดไชน่า อันประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และมองโกเลีย ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบทำให้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอินโดไชน่าที่รับผิดชอบอยู่ จนได้เห็นช่องทางการตลาดใหม่ๆ อย่างเช่นช่วงที่เมียนมาร์เริ่มเปิดประเทศ เขาก็มองว่าน่าจะเป็นโอกาสของนักธุรกิจไทย

            จุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาค้นพบเป้าหมายของตัวเองคือ การเข้าอบรมคอร์สสั้นๆ เกี่ยวกับ 7 อุปนิสัยในการทำงาน ซึ่งทำให้เขารู้สึกประทับใจมาก เพราะเป็นคอร์สที่สอนให้คนเรารู้จักตั้งเป้าหมายปลายทางและเดินไปให้ถึงจุดหมายที่ตั้งไว้ และค้นพบว่าเป้าหมายของตัวเองคือ การเป็นเจ้าของกิจการ ทำให้มองเห็นว่าในชีวิตการทำงานที่เป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆ แม้จะเติบโตในตำแหน่งหน้าที่การงาน ก้าวขึ้นไปเป็นซีเนียร์แบรนด์แมเนเจอร์ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างในชีวิตที่ลดน้อยขาดหายไป นั่นคือ ความสุข

            “แม้ผมจะเติบโตในตำแหน่งหน้าที่การงาน มีรายได้มากขึ้น แต่พบว่าความสุขในชีวิตกลับน้อยลง รู้สึกว่าชีวิตต้องอยู่กับความเร่งรีบเกินไป ทำงานไปวันๆ แบบไม่มีจุดหมาย พอเข้าคอร์สนั้นก็เลยมาตั้งเป้าหมายในชีวิตบ้าง อยากจะมีธุรกิจ อยากสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง พอมีเป้าหมายชัดเจนแล้วระหว่างนั้นก็มองหาสิ่งที่ต้องการจะทำจนมาเจอทานาคาก็คิดว่าใช่”

            จุดมุ่งหมายของหนุ่มกอล์ฟคือ ต้องการปั้นแบรนด์ “เดอลีฟ ทานาคา” ซึ่งเป็นเครื่องสำอางสกินแคร์ที่ผลิตมาจากธรรมชาติให้เป็นที่รู้จักและขายไปทั่วภูมิภาคอาเซียน หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเป็นที่มาของชื่อแบรนด์เพราะมาจากแนวคิดของการผสมผสานระหว่างความเป็นธรรมชาติคือ ทานาคาของเมียนมาร์กับการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยของไทย และในการผลิตสินค้าเขาก็ให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าเป็นอันดับแรกเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของตลาด โดยแต่ละปีจะตั้งเป้าหมายว่าจะเข้าไปตลาดไหน ในเมืองไทยจะสร้างการรับรู้ของแบรนด์อย่างไร ไม่ได้ตั้งเป้าว่าธุรกิจจะต้องขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร แต่เป็นการตั้งเป้าหมายด้วยวิชั่นมากกว่า ว่าจะเดินไปอย่างไรในระยะ 5-10 ปีข้างหน้าเพื่อให้เดินไปสู่การเป็นแบรนด์ของอาเซียน

            สำหรับที่มาของชื่อ บริษัทมีความสุขทุกวัน ซึ่งฟังแล้วค่อนข้างสะดุดหูนั้น เป็นการตั้งขึ้นจากกลุ่มคนที่มองว่าความสุขจากการเติบโตในหน้าที่การงาน ในองค์กรอาจจะยังไม่ใช่ความสุขที่สุดของชีวิต มีบางส่วนที่ขาดหายไป การทำบริษัทแห่งนี้จึงมีเป้าหมายไม่เน้นถึงการมีกำไรสูงสุด แต่เน้นที่การมีความสุขในทุกๆ วันที่ใช้ชีวิต และมีการแบ่งปันผลกำไรไปทำประโยชน์เพื่อสังคมในทุกปี เช่น การบริจาคเงินช่วยเหลือคนยากจนในพม่า การให้ทุนแก่โรงเรียนและช่วยสังคม ล่าสุดได้บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพม่า

            “พอเป้าหมายของเราต้องการเป็นบริษัทที่ทำงานแล้วมีความสุข พนักงานที่มี 15 คนเลยทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข มีอิสระในการทำงาน”

            กอล์ฟบอกว่า จากที่เคยทำงานเป็นลูกจ้างแล้วมาทำธุรกิจเอง ก็เรียกว่าต้องใช้ประสบการณ์ที่ทำงานมาทุกอย่างลองถูกลองผิดและได้ทำตามที่คิดที่ฝันเอาไว้ ซึ่งสาเหตุที่กล้าลงทุนทำธุรกิจเอง เพราะเป็นความฝันสูงสุด รู้สึกว่าเป็นจิ๊กซอว์ของชีวิตที่หายไป และถ้าได้ทำงานที่รักทุกวันในชีวิตก็จะเหมือนไม่ได้ทำงานอีกเลย ปัญหาอุปสรรคที่เจอก็สามารถแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้

            วันนี้ถือว่าเขามาไกลกว่าที่คิดฝันไว้มาก แต่ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ซึ่งถือเป็นน้องใหม่ในตลาด ในอนาคตอยากให้เป็นแบรนด์ที่อยู่ยั่งยืนไม่ใช่แบรนด์กระแสที่มาแล้ว