ข่าว

อวสานผู้นำขี้ฉ้อแห่งกัวเตมาลา

อวสานผู้นำขี้ฉ้อแห่งกัวเตมาลา

06 ก.ย. 2558

เปิดโลกวันอาทิตย์ : อวสานผู้นำขี้ฉ้อแห่งกัวเตมาลา : โดย...บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์

 
                        วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายนนี้ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งชาวกัวเตมาลาได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ตามกำหนดการเดิมด้วยอารมณ์ผสมผสานหลายอย่าง ทั้งไม่แน่ใจว่าการหย่อนบัตรครั้งนี้จะถูกยกเลิกกลางคันหรือไม่ตามเสียงเรียกร้องของมวลมหาชนที่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องของ ”กบเลือกนาย” หรือไม่ ทั้งด้วยความปลาบปลื้มว่าพลังอันน้อยนิดของประชาชนเมื่อรวมกันเข้าก็กลายเป็นมหานทีอันกว้างใหญ่และทรงพลังกระทั่งสามารถขับไล่ประธานาธิบดีและบริวารที่ร่วมกันทุจริตฉ้อฉลครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ได้สำเร็จอย่างไม่คาดคิดมาก่อน
 
                        การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้มีขึ้นเพียง 2-3 วันหลังจากประธานาธิบดีอ็อตโต เปเรซ โมลินา วัย 64 ปี จำใจถอดหัวโขนประธานาธิบดีและถูกคุมตัวไว้ที่เรือนจำทหารมาตาโมโรส บริเวณใจกลางกรุงกัวเตมาลา ซิตี้ ทันทีที่ศาลอนุมัติหมายจับและออกคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ อันเป็นผลพวงต่อเนื่องจากรัฐสภาได้ลงมติด้วยเสียงมากกว่า 2 ใน 3 ให้เพิกถอนเอกสิทธิ์คุ้มครองจากการถูกฟ้องร้องทางกฎหมาย ไฟเขียวให้มีการไต่สวนในคดีทุจริตฉ้อฉล ทั้งๆ ที่จะหมดวาระ 4 ปีของการสวมหมวกประธานาธิบดีในวันที่ 14 มกราคมปีหน้า และไม่มีโอกาสจะสมัครรับเลือกตั้งรอบสองเนื่องจากรัฐธรรมนูญห้ามไว้
 
 
อวสานผู้นำขี้ฉ้อแห่งกัวเตมาลา
 
 
                        นับเป็นประธานาธิบดีคนแรกของกัวเตมาลาและของอเมริกากลางที่ถูกเพิกถอนเอกสิทธิ์คุ้มครอง หลังจากเคยสร้างประวัติการณ์เป็นอดีตนายพลคนแรกที่ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีเมื่อปี 2555 นับตั้งแต่ประเทศนี้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี 2529 แต่ไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งครบ 4 ปีตามที่วาดหวังไว้
 
                        ถัดจากนี้ไป กระบวนการยุติธรรมก็จะเริ่มสอบสวนนายเปเรซ โมลินา ในข้อหาเป็นหัวโจกใหญ่ของขบวนการทุจริตรับสินบนหลายล้านดอลลาร์จากกลุ่มนักธุรกิจ ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการจ่ายอัตราภาษีศุลกากรในระดับสูงสำหรับสินค้านำเข้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ลา ลิเนีย” ตามชื่อเบอร์โทรศัพท์สายด่วน ทำให้รัฐต้องสูญเสียรายหลายล้านดอลลาร์ แต่ก็ไม่มีใครสามารถระบุตัวเลขได้ชัดว่าเป็นจำนวนก้อนใหญ่แค่ไหน 
 
                        แม้ก่อนหน้านี้อัยการได้ส่งฟ้องอดีตรองประธานาธิบดีโรซานนา โบลเด็ตตีิ ว่าชักดาบค่าหัวคิวไปราว 3.8 ล้านดอลลาร์ (ราว 125 ล้านบาท) ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2557-เมษายน 2558 ก่อนจะถูกบีบให้ลาออกและถูกจับกุมเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา
 
                        แต่ทางการเชื่อว่าเป็นการประเมินตัวเลขต่ำกว่าจริงมาก หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเพียงแค่ส่วนปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาเท่านั้น เนื่องจากโครงการอภิมหาคอร์รัปชั่นนี้โยงใยตั้งแต่ทำเนียบประธานาธิบดี ไปจนถึงกระทรวง ทบวง กรม มีนักการเมืองตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี รัฐมนตรีอย่างน้อย 5 กระทรวง ข้าราชการระดับสูงในธนาคารชาติ ในกรมสรรพากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้บริหารด้านการประกันสังคมพัวพันอยู่ด้วยอีกอย่างน้อย 30 คน
 
 
 
ซีไอซีไอจี ศาลไคฟงแห่งกัวเตมาลา
 
 
อวสานผู้นำขี้ฉ้อแห่งกัวเตมาลา
 
 
                        นอกเหนือจากสำนักอัยการสูงสุด ที่มีบทบาทสำคัญในการกระชากนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงมาลงโทษในข้อหาทุจริตคอร์รัปชั่นแล้ว อีกองค์กรหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการถอดหัวโขนประธานาธิบดีอ็อตโต เปเรซ โมลินา และพรรคพวก ก็คือ คณะกรรมการพิเศษว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นที่สหประชาชาติให้การสนับสนุน (ซีไอซีไอจี)
 
                        ซีไอซีไอจี เป็นองค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชนแต่ทำงานเหมือนกับเอฟบีไอของสหรัฐ ตั้งขึ้นเมื่อปี 2540 ตามข้อตกลงระหว่างสหประชาชาติกับรัฐบาลกัวเตมาลา เพื่อสนับสนุนหน่วยงานต่างๆ ในประเทศนี้ให้สอบสวน ดำเนินคดีและลงโทษหรือทำลายเครือข่ายของเหล่าอาชญากรและการคอร์รัปชั่นที่หยั่งรากลึกมานาน
 
                        เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ซีไอซีไอจี จึงมีอำนาจที่จะสอบสวนคดีความต่างๆ ที่ซับซ้อน รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้พิพากษาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีอำนาจที่จะเสนอนโยบายสาธารณะ รวมไปถึงการปฏิรูปสถาบันนิติบัญญัติ ยุติธรรมและสถาบันต่างๆ เพื่อให้มีอำนาจลงโทษเจ้าหน้าที่ที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือหรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของซีไอซีไอจี
 
                        ตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ศาลไคฟงแห่งกัวเตมาลาได้สอบสวนคดีทุจริตกว่า 200 คดี เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรกว่า 30 กลุ่ม และข้าราชการหลายร้อยคน รวมไปถึงอดีตประธานาธิบดี รัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงอีกจำนวนมาก
 
 
 
จุดเริ่มต้นของบทอวสาน
 
 
อวสานผู้นำขี้ฉ้อแห่งกัวเตมาลา
 
 
                        กระทั่งเมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ซีไอซีไอจีและสำนักอัยการสูงสุดได้พบหลักฐานชิ้นสำคัญว่ามีนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงเกี่ยวข้องกับกับคอร์รัปชั่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในประเทศที่เต็มไปด้วยการทุจริตฉ้อฉลเม็ดเงินก้อนโต
 
                        แต่ที่ต่างออกไปก็คือ คดีนี้ซึ่งเรียกสั้นๆ ว่า “ลา ลีเนีย” มีทั้งประธานาธิบดี รองประธานาธิบดีและรัฐมนตรีจำนวนมากเกี่ยวข้องในวงกว้าง ผลจากการดักฟังโทรศัพท์ราว 8.9 หมื่นสาย รวมไปถึงการดักฟังโทรศัพท์ของผู้ใช้รหัสว่า “ลา อาร์” หรือ “ลา 2” ซึ่งหมายถึงรองประธานาธิบดีโรซานนา โบลเดตตี ทำให้สามารถเปิดโปงขบวนการโกงประเทศนี้ได้ และยังทำให้โรซานนา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นรองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศต้องสร้างประวัติศาสตร์ให้ตัวเองในฐานะเป็นรองประธานาธิบดีคนแรกที่ต้องหลุดจากตำแหน่งเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ก่อนจะถูกจับกุมขณะหนีไปนอนในโรงพยาบาล ซึ่งถ้าศาลตัดสินว่าผิดจริงอาจต้องโทษจำคุกถึง 50 ปี
 
                        นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีอีก 5 คน ถูกบีบให้ลาออกเช่นเดียวกับอธิบดีกรมสรรพากรและข้าราชการระดับสูงอีกกว่า 30 คน ไม่นับรวมอดีตประธานาธิบดีอัลวาโร อาร์ซู ซึ่งขณะนี้เป็นนายกเทศมนตรีมหานครกัวเตมาลา ซิตี้ และอดีตนายทหารผู้ทรงอำนาจ
 
                        แม้จะกระชากหัวโจกใหญ่ระดับรองประธานาธิบดีลงมาได้ แต่ประชาชนก็ยังไม่พอใจต้องการสาวให้ถึงตัวหัวขบวนการคอร์รัปชั่นนั่นก็คือประธานาธิบดี เหตุนี้จึงมีการจัดเดินขบวนทุกวันเสาร์ และทุกเสาร์ก็มีคนมาเข้าร่วมมากขึ้นทุกขณะ โดยสื่อโซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อเท็จจริงและการระดมคนมาเข้าร่วม
 
                        สุดท้ายประธานาธิบดีอ็อตโต เปเรซ โมลินา ได้นัดแถลงข่าวใหญ่เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าจะแถลงข่าวลาออก แต่สุดท้ายประธานาธิบดีได้สั่งยกเลิกกำหนดการนี้ แล้วให้อัดเทปมาออกอากาศแทนบอกว่ากองทัพไม่ต้องการให้ตัวเองลาออก ทำให้ประชาชนกว่าแสนคนรวมตัวประท้วง ตั้งแต่ชาวมายาที่ยากจนที่สุดไปจนถึงกลุ่มนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดซึ่งได้ประกาศปิดกิจการเพื่อเข้าร่วมการประท้วงด้วย เช่นเดียวกับขบวนการนักเรียน นักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน ฯลฯ ทุกคนต่างชูธงชาติ ชูป้ายประท้วง ทุกๆ ชั่วโมงจะมีเสียงเพลงชาติดังกระหึ่มตามด้วยเสียงไชโยโห่ร้องดังกึกก้อง และคนกลุ่มนี้เองที่ช่วยกันคุ้มกัน ส.ส.ให้สามารถเดินเข้าไปในรัฐสภาเพื่อออกเสียงให้ยกเลิกเอกสิทธิ์คุ้มครองประธานาธิบดีเมื่อต้นเดือนกันยายน
 
 
 
อภิมหาคอร์รัปชั่นกว่าหมื่นล้าน
 
 
อวสานผู้นำขี้ฉ้อแห่งกัวเตมาลา
 
 
                        จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถระบุตัวเลขได้ว่า ในแต่ละปี ทั่วทั้งประเทศนี้มีการทุจริตเงินหลวงเงินแผ่นดินไปมากน้อยแค่ไหน จากการประเมินของกลุ่มออกซ์แฟมและสถาบันศึกษาด้านการคลังแห่งอเมริกากลาง (ไอซีอีเอฟไอ) ชี้ว่า ในแต่ละปีมีเงินหายไปกับการคอร์รัปชั่นถึงพันล้านดอลลาร์ (หรือกว่า 3 หมื่นล้านบาท) โดยคำนวณจากงบประมาณของรัฐบาลและเปอร์เซ็นต์ที่จะถูกหักจากการทุจริตคอร์รัปชั่นเนื่องจากการเบิกจ่ายนั้นขาดความโปร่งใส ไม่มีการตรวจสอบที่ดี กฎหมายเองก็ยังมีช่องโหว่อยู่มาก นักการเมืองชั่วก็เต็มเมือง
 
                        อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลังหลายคนให้ความเห็นว่า เงินแผ่นดินที่จะถูกงาบกลางทางราว 20 เปอร์เซ็นต์นั้น อาจจะสูงราว 500 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.65 หมื่นล้านบาท) ในแต่ละปี ซึ่งมากกว่างบประมาณของสำนักอัยการสูงสุดที่มีหน้าที่ต่อกรกับการคอร์รัปชั่นถึง 4 เท่า
 
                        เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า เงิน 500 ล้านดอลลาร์ สามารถซื้ออะไรได้บ้างในประเทศนี้ ซึ่งเพิ่งจะฟื้นตัวจากสงครามกลางเมืองที่นานยืดเยื้อ 36 ปี และยังหลงเหลือซากในรูปของความยากจน ความรุนแรงและการขาดแคลนไปทั่ว
 
                        เงิน 500 ล้านดอลลาร์ เท่ากับ 3 ใน 4 ของงบสาธารณสุขในแต่ละปี งบอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียน 3.5 ล้านคน และทุนการศึกษา 5,000 ทุน ไม่ต้องพูดไปถึงการช่วยคนยากจน 15 ล้านคน หรือคิดเป็น 53.7 เปอร์เซ็นต์ ที่ขาดแคลนไปเสียทุกสิ่ง
 
                        หรือถ้าเทียบกับโครงการต่างๆ ของรัฐบาล 500 ล้านดอลลาร์ ที่หายไปกับการคอร์รัปชั่นสามารถช่วยโครงการป้องกันความรุนแรงในหมู่วัยรุ่น 8 แสนคน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศนี้ ที่เด็กกลุ่มนี้มักจะพัวพันกับขบวนการค้ายาเสพติด ที่ในแต่ละปีแก๊งใหญ่ๆ จะก่อคดีฆาตกรรมถึง 6,000 ราย ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฆาตกรรมสูงที่สุดในโลก
 
 
 
หวั่นเป็นกบเลือกนาย
 
 
อวสานผู้นำขี้ฉ้อแห่งกัวเตมาลา
 
 
                        ผู้เชี่ยวชาญกิจการละตินอเมริกาหลายคนชี้ว่า ปัญหาใหญ่ของชาวกัวเตมาลาไม่ได้อยู่ที่ว่าการเลือกตั้งในวันที่ 6 กันยายนนี้ จะไม่มีใครชนะด้วยเสียงเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ จนทำให้ต้องเลือกตั้งรอบสองในวันที่ 20 ตุลาคม แต่อยู่ที่ว่าอาจจะเป็น “กบเลือกนาย” เนื่องจากผู้สมัครทั้ง 3 คน ล้วนแต่มีประวัติไม่เบา 
 
                        ตัวเต็งอย่าง มานูเอล บอลดิซัน นักธุรกิจผู้ร่ำรวยนั้น หลายคนเชื่อว่าจะไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ อีกทั้งยังรักษาขนบเดิมในเรื่องการคอร์รัปชั่นและความอดอยากยากจน อีกคนหนึ่งก็คือ จิมมี โมราเรส ดาราตลก ซึ่งไม่มีอำนาจแท้จริง ยกเว้นเป็นเพียง “หุ่น” ของคนกลุ่มหนึ่งที่จะชักใยอยู่เบื้องหลัง ส่วนคนสุดท้ายคือ แซนดรา ทอร์เรส ภรรยาของอดีตประธานาธิบดีโคลอมโบ ก็เป็นที่เกลียดชังของกลุ่มขวาจัดตั้งแต่สมัยที่เธอเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เพราะเกรงว่าเธอจะฟื้นนโยบายหาเสียงกับคนในชนบท
 
                        นักวิชาการบางกลุ่มถึงกับครวญว่า เราใกล้จะพังทลายต็มแก่แล้ว
 
 
 
 
-----------------------
 
(เปิดโลกวันอาทิตย์ : อวสานผู้นำขี้ฉ้อแห่งกัวเตมาลา : โดย...บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์)