ข่าว

ฮัจญ์ในมิติสังคมและวัฒนธรรม

ฮัจญ์ในมิติสังคมและวัฒนธรรม

04 ก.ย. 2558

ฮัจญ์ในมิติสังคมและวัฒนธรรม : โลกมุสลิม โดยศราวุฒิ อารีย์

           ช่วงนี้พี่น้องชาวไทยมุสลิมต่างทยอยกันเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เหมือนประชาคมมุสลิมในส่วนอื่นๆ ของโลก

           ประมาณกันว่าแต่ละปีจะมีคนจากทั่วทุกมุมโลกไปทำฮัจญ์ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ทั้งนี้ ก็เนื่องจากฮัจญ์ถือเป็นหลักปฏิบัติ 1 ใน 5 ที่สำคัญของศาสนาอิสลาม ดังนั้น จึงเป็นความจำเป็นครับสำหรับมุสลิมทุกคน ไม่ว่าหญิงหรือชาย ที่จะต้องเดินทางไปทำฮัจญ์อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตหากมีความสามารถ

           หากพิจารณากันในแง่สังคม คนจำนวนนับล้านที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศ ซึ่งแต่ละคนก็มีความแตกต่างทางสีผิว เชื้อชาติ มาจากหลากหลายประเทศ และพูดกันคนละภาษานั้น พวกเขามีเป้าหมายในการเดินทางอันเดียวกันและไปทำกิจกรรมที่เป็นพิธีกรรมของการทำฮัจญ์เหมือนๆ กัน ลักษณะอย่างนี้เหมือนเป็นการสะท้อนให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า สำหรับศาสนาอิสลามแล้วมนุษย์ทุกคนย่อมเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ไม่ว่ามนุษย์จะมีความแตกต่างกันสักแค่ไหนก็ตาม

           ในช่วงของการประกอบพิธีฮัจญ์ ไม่ว่ามุสลิมคนไหนจะมีฐานะทางเศรษฐกิจดีอย่างไร มีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน หรือเป็นผู้นำของประเทศใด ก็ต้องสวมใส่ชุดขาวธรรมดาเหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป ทุกคนต้องทำตามกระบวนการอย่างเป็นขั้นตอนของการทำฮัจญ์ตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนๆ กัน อันสะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของประชาชาติมุสลิม

           หากมองในแง่ของวัฒนธรรมแล้ว การทำฮัจญ์ได้นำพาให้ผู้คนจากหลากหลายวัฒนธรรมมารวมตัวกันในสถานที่แห่งเดียว นำไปสู่การเรียนรู้และทำความเข้าใจกับผู้คนที่มีความแตกต่าง เป็นผลให้เกิดการเคารพวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน และเกิดความสมานฉันท์ระหว่างกัน นอกจากนั้น ยังเป็นการเปิดวิสัยทัศน์ของผู้ที่มีโอกาสไปทำฮัจญ์ให้กว้างไกล ไม่ยึดติดกับอัตตาของตนเอง ทุกคนต่างพร้อมใจกันสลัดทิ้งกิจกรรมทางโลก แล้วมุ่งสู่การหลอมรวมยึดมั่นในอัตลักษณ์เดียวกัน นั่นคือการเป็นบ่าวรับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าหนึ่งเดียว

           มีงานวิจัยอยู่ชิ้นหนึ่ง เป็นงานที่สำรวจทัศนคติของผู้ที่ไปประกอบพิธีฮัจญ์ชาวปากีสถานที่มีต่อเพื่อนร่วมโลกและผู้หญิง (2007) ผลที่ออกมาน่าสนใจครับ เพราะการได้ไปทำฮัจญ์ทำให้มุสลิมในปากีสถานใส่ใจกับหลักปฏิบัติที่เป็นสากลของอิสลามมากขึ้น แต่จะยึดติดกับพิธีกรรมท้องถิ่นน้อยลง

           แต่ที่สำคัญคือมันทำให้ผู้ที่ผ่านการทำฮัจญ์มองผู้ที่มีศาสนาต่างกันว่ามีความเท่าเทียมกันมากขึ้น และมองว่าความเชื่อต่างกันก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ขณะเดียวกันก็ทำให้ชาวปากีสถานที่ได้ไปทำฮัจญ์ปฏิเสธพวกที่ใช้ความรุนแรงและยังให้เกียรติผู้หญิงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

           กล่าวโดยสรุปก็คือ การไปประกอบพิธีฮัจญ์ของชาวมุสลิม ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะผู้ที่มีโอกาสได้ไปเท่านั้น แต่มันยังทำให้สังคมโดยรวมได้ประโยชน์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลอันเกิดจากการประกอบพิธีฮัจญ์ที่ทำให้หลายคนที่กลับมาจากการทำฮัจญ์เกิดทัศนคติที่ดีและเป็นบวกต่อเพื่อนร่วมโลกทั้งหมดมากยิ่งขึ้น

           ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องของไทยควรให้การส่งเสริมและสนับสนุนอย่างเต็มที่ครับ เพราะผลที่ได้กลับมามันคุ้มค่ากว่าที่เราลงทุนมาก