
จูบไม่เป็นธรรมชาติ
28 ส.ค. 2558
ศุกร์กับเซ็กส์ : จูบไม่เป็นธรรมชาติ : โดย...รัชดา ธราภาค มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.)
เราส่วนใหญ่มองการจูบด้วยมุมมองด้านความสัมพันธ์ ในฐานะของกิจกรรมที่ทำให้สองคนได้ใกล้ชิดและแสดงออกถึงความรักความผูกพันที่มีต่อกัน ไปจนถึงการเป็นกิจกรรมโหมโรงก่อนการมีเซ็กส์
จูบยังมีแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ นักวิจัยพบว่าจูบปากแค่ 10 วินาที สามารถส่งผ่านเชื้อแบคทีเรียจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งไม่น้อยกว่า 80 ล้านตัว โดยปกติ ช่องปากเป็นที่อาศัยของแบคทีเรียมากกว่า 700 ชนิด แบคทีเรียส่วนใหญ่ถูกส่งผ่านทางน้ำลาย ส่วนแบคทีเรียที่ลิ้นมีการเคลื่อนที่ย้ายถิ่นน้อยกว่า
แบคทีเรียในช่องปากไม่ได้เลวร้ายเสมอไป ที่เป็นปัญหามากกว่าคือไวรัสสารพัดสายพันธุ์ที่อาจข้ามถิ่นจากคนหนึ่งไปหาอีกคนหนึ่งและเจริญเติบโตจนทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ที่สำคัญได้แก่ เชื้อหวัด, Herpes Simplex Virus ก่อโรคเริม, ไวรับตับอักเสบบี รวมทั้งเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุ ส่วนโรคเอดส์ไม่ติดต่อผ่านการจูบ เว้นแต่มีแผลในช่องปาก ซึ่งเป็นตัวแปลสำคัญทำให้การติดเชื้อเป็นไปโดยสะดวกยิ่งขึ้น
ถ้าต้องระวังตัวแจเรื่องโรคภัย แล้วจะจูบกันให้สบายใจได้อย่างไร?
นักวิจัยทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาสนใจเรื่องจูบด้วยเช่นกัน มีผลวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาในวารสารมานุษยวิทยาอเมริกัน ให้มุมมองเรื่องการจูบที่ต่างออกไป โดยนักวิจัยพบว่า จูบที่ทุกคนคิดว่าเป็นธรรมชาติ เป็นสากล ใครๆ ก็ทำกัน จริงๆ แล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
จากการสำรวจ 168 วัฒนธรรมทั่วโลก พบว่ามี 77 วัฒนธรรมที่มีการจูบ ที่เหลืออีก 91 วัฒธรรมไม่มี แปลว่ามีแค่ไม่ถึงครึ่งโลกที่มีการจูบมาแต่ดั้งเดิม จะมีก็เพียงการจูบแบบที่ผู้ใหญ่หอมแก้มเด็กเท่านั้น สิ่งที่ทำให้การจูบแพร่หลายไปทั่วโลกคือการเดินทางไปมาหาสู่ค้าขายกันตั้งแต่ในอดีต และยิ่งเข้มข้นขึ้นในยุคข้อมูลข่าวสารที่คนเรารับรู้เรื่องราวจากอีกซีกโลกผ่านการชมภาพยนตร์และสื่อต่างๆ
นักวิจัยสืบค้นไปในอดีต พบว่าในสังคมตะวันตกเอง การจูบปากเพิ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 17) ซึ่งสังคมพัฒนามาถึงยุคที่คนตัดสินใจเริ่มใช้ชีวิตคู่ด้วยความรัก จากเดิมที่เป็นการแต่งงานตามความเหมาะสมด้วยเหตุผลของครอบครัวหรือสังคมเป็นหลัก
การศึกษาทางประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นด้วยว่า การจูบไม่น่าจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะลองนึกถึงยุคโบราณซึ่งคนเรายังไม่รู้จักการรักษาสุขภาพช่องปาก ไม่มีการแปรงฟัน ไม่มีหมอฟันที่ช่วยรักษาฟันผุและเหงือกอักเสบ การจูบกันทั้งเขรอะๆ คงไม่ใช่สิ่งน่าพิสมัยอย่างแน่นอน
ชาวตะวันตกที่เข้าไปยังดินแดนตองกาในแถบแอฟริกาตอนยุคอาณานิคม บันทึกปฏิกิริยาของชาวตองกาเมื่อได้เห็นฝรั่งจูบปากกันเป็นครั้งแรกว่า พวกเขาทำท่าขยะแขยงอย่างที่สุด และคิดว่าพวกคนผิวขาวกำลังจะกินกันเองเป็นอาหาร ส่วนในบ้านเรา ไม่พบการศึกษาเรื่องการจูบปาก แต่ถ้าสังเกตจากจิตรกรรมฝาผนังและภาพวาดต่างๆ ไม่พบภาพการจูบปากของชาวไทยในอดีต
นอกจากแง่มุมความรัก ความสัมพันธ์ และเพศสัมพันธ์แล้ว จูบยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพและวัฒนธรรม ฉะนั้น ก่อนจูบ อย่าลืมสังเกตฝ่ายตรงข้ามว่ามีสุขอนามัยที่ดีหรือไม่ มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อหรือเปล่า รวมทั้งลองถามดูบ้างก็ได้ว่าเขาหรือเธอต้องการจูบหรือไม่ เพราะถ้าจูบไม่ใช่ธรรมชาติ การจูบก็ไม่จำเป็น หลายชนชาติไม่จูบ คนบ้านเราในอดีตก็ไม่จูบ ไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องชื่นชอบการจูบด้วยเช่นกัน