ข่าว

คุ้มค่าแค่ไหน‘เรือดำน้ำจีน’เขี้ยวเล็บใหม่ทัพเรือไทย

คุ้มค่าแค่ไหน‘เรือดำน้ำจีน’เขี้ยวเล็บใหม่ทัพเรือไทย

09 ก.ค. 2558

คุ้มค่าแค่ไหน‘เรือดำน้ำจีน’ เขี้ยวเล็บใหม่ทัพเรือไทยยังเล่นฝ่ามรสุม

               ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงถึงเรื่องความเหมาะสมหลังจากกองทัพเรือเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดซื้อ "เรือดำน้ำ" สัญชาติจีนจำนวน 3 ลำ งบประมาณ 36,000 ล้านบาท ซึ่งการจัดซื้อดังกล่าวส่งผลให้หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเชื่อว่า เรือดำน้ำไทยไม่น่าจะตอบโจทย์ในเรื่องความมั่นคงตามที่กองทัพเรืออ้างถึงความจำเป็นในการจัดซื้อครั้งนี้ โดยกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยมองว่า ประเทศไทยไม่ค่อยจะมีข้อพิพาททางทะเลโดยตรงกับใคร ดังนั้นจึงมีคำถามโถมเข้าใส่กองทัพเรือว่า เรือดำน้ำไทย "จำเป็นและคุ้มค่า" จริงหรือ

               "สำนักข่าวอิศรา" ได้วิเคราะห์เรื่องดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า เรือดำน้ำ 3 ลำที่กองทัพเรือเสนอให้จัดซื้อเข้าประจำการนั้น มีรายงานว่าเป็นรุ่น Yuan Class S-26T มีระวางขับน้ำ 2,600 ตัน ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ติดตั้งระบบ Air Independent Propulsion system หรือ AIP ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ทำให้อยู่ใต้น้ำได้ต่อเนื่องถึง 21 วันโดยไม่ต้องขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อชาร์จไฟ นับว่าเป็นรุ่นที่อยู่ใต้น้ำได้นานที่สุดของเรือดำน้ำที่ไม่ได้ใช้ระบบนิวเคลียร์เป็นพลังงาน ขณะที่เรือดำน้ำปกติจะดำน้ำได้นาน 7-10 วันเท่านั้น

               นอกจากนี้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านยุทโธปกรณ์ ระบุว่า เรือดำน้ำรุ่น Yuan Class S-26T พัฒนาเป็นพิเศษขึ้นจากคลาสปกติของ Yuan ซึ่งไม่ได้ติดตั้ง ขีปนาวุธต่อต้านเรือ หรือ ASM (Anti-Ship Missile) แต่เรือดำน้ำที่ไทยเตรียมสั่งต่อขึ้นเป็นพิเศษนั้น จะมีระบบ ASM รวมอยู่ด้วย

               ทั้งนี้ หาก "วัดขุมกำลัง" เรือดำน้ำจีนกับเรือดำน้ำเพื่อนบ้านอาเซียน เมื่อนำสมรรถนะของเรือดำน้ำที่กองทัพเรือเตรียมจัดซื้อมาศึกษาเปรียบเทียบกับเรือดำน้ำที่มีประจำการของประเทศในกลุ่มอาเซียนรอบบ้านไทย พบว่า เรือดำน้ำที่กองทัพเรือเสนอจัดซื้อมีสมรรถนะดีที่สุด และราคาอยู่ในระดับยอมรับได้

               กล่าวคือ  "มาเลเซีย"  ใช้เรือดำน้ำรุ่นสกอร์เปี้ยน สามารถยิงขีปนาวุธต่อต้านเรือได้ แต่ไม่มีระบบ AIP 

               ขณะที่ "อินโดนีเซีย" ใช้เรือดำน้ำ Chang Bogo-class รุ่น DW1400 ยิงขีปนาวุธต่อต้านเรือ หรือ ASM ไม่ได้ และยังไม่มีระบบ AIP ด้วย

               ส่วน "สิงคโปร์" ใช้เรือดำน้ำที่สั่งต่อเอง รุ่น 218 SG ยิง ASM ไม่ได้ แต่มีระบบ AIP

               ด้าน "เวียดนาม" ใช้เรือดำน้ำที่ซื้อจากรัสเซีย คลาส Kilo สามารถยิงขีปนาวุธต่อต้านเรือได้ แต่ไม่มีระบบ AIP

               จากข้อมูลดังกล่าวถือว่าในแง่สมรรถนะและราคาอาจไม่ใช่ปัญหาของการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ เพราะถือว่า สอบผ่านในระดับที่น่าพอใจระดับบีบวกถึงเอ

               แต่ประเด็นที่ถูกตั้งคำถาม คือ "ความเหมาะสมและความจำเป็น" ของการจัดหาเรือดำน้ำเข้าประจำการในห้วงเวลานี้มากกว่า เพราะหลายฝ่ายมองว่า ไทยมีความจำเป็นถึงขนาดต้องมีเรือดำน้ำไว้ประจำการหรือ บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลควรนำงบประมาณจำนวนมหาศาลกว่า 3 หมื่นล้าน มาพัฒนาและแก้ปัญหาประเทศในด้านอื่นมากกว่า 

               สอดคล้องกับข้อมูลของ "กลุ่มนักวิชาการ" ให้ความเห็นว่า สถานการณ์รอบบ้านไทยในขณะนี้ ยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องจัดซื้อเรือดำน้ำเข้าประจำการ ณ เวลานี้ เนื่องจากไทยไม่ค่อยมีข้อพิพาททางทะเลโดยตรง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีเรือดำน้ำอยู่แล้ว ซึ่งเผชิญกับปัญหาหมู่เกาะสแปรตลีย์ ขณะที่บางประเทศมีความจำเป็นด้านภูมิศาสตร์ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือเวียดนาม แต่ไทยไม่มีความจำเป็นในแง่นี้

               ขณะที่ "หน่วยงานความมั่นคงที่ไม่ใช่ทหาร" ประเมินว่า ไทยยังไม่มีความจำเป็นต้องจัดหาเรือดำน้ำมาประจำการในขณะนี้ ด้วยเหตุผลคือ 1.ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ไม่เกี่ยวกับไทย 2.ความจำเป็นด้านความมั่นคงที่กองทัพเรือต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หรือปัญหาโจรสลัด ขบวนการค้ามนุษย์ ที่มาทางเรือ ซึ่งใช้เรือรบบนผิวน้ำก็เพียงพอ 3.ประเทศที่เป็นศัตรูหรืออาจเป็นศัตรูของไทยในอนาคตยังไม่มี หรือถ้ามีก็เป็นประเทศที่ไม่มีศักยภาพทางทะเล 4.เขตอธิปไตยไทยมีสองฝั่ง คือ ด้านอ่าวไทยกับอันดามัน ความจำเป็นในการใช้กำลังทางเรือจึงควรเป็นเรือตรวจการณ์ เรือฟริเกตมากกว่า 5.ความจำเป็นต้องร่วมกับพันธมิตรในการทำสงครามทางทะเลยังไม่มี เพราะมีนโยบายวางตัวเป็นกลาง และ 6.ในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า ยังไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าจะเกิดสงครามทางทะเลในอาเซียน ในทางกลับกันอาเซียนกำลังจะรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ถือเป็นสถานการณ์เชิงบวกว่าทุกประเทศจะไม่สู้รบกัน

               จากข้อทักท้วงดังกล่าวอาจแม้จะมีประเด็นสาระความจริงที่น่าสนใจ และสมเหตุสมผล เต่เชื่อว่าถึงอย่างไรเสีย ภารกิจจัดหาเรือดำน้ำเข้าประจำการเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บทางทะเลของไทยที่กองทัพเรือพยายามผลักดันมาตลอดหลายสิบปีในรัฐบาลหลายยุคหลายสมัยน่าจะประสบความสำเร็จสมใจในยุครัฐบาล "คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)" เพราะหากจับกระแสผู้มีอำนาจในรัฐบาลชุดนี้โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็มีท่าทีเปิดไฟเขียวสนับสนุน หลังจาก พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เปิดแถลงข่าวชี้แจงเรื่องโครงการจัดหาเรือดำน้ำ 3 ลำของกองทัพเรือที่เตรียมขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน วงเงิน 36,000 ล้านบาทอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

               คงอีกไม่นานที่จะได้รู้ว่า "เรือดำน้ำ" คอลเลกชั่นจีนจะโลดแล่นฝ่าเกลียวคลื่นเข้ามาประจำการในกองทัพเรือไทยหรือไม่ แต่ด้วยงบประมาณที่สูงลิบลิ่ว 36,000 ล้าน อาจทำให้เกิดคำถามขึ้นตามมาอีกมากมาย หากรัฐบาลไม่สามารถฝ่ามรสุมปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในขณะนี้ได้ และเมื่อถึงวันนั้นอาจมีคำถามที่ต้องตอบอีกครั้งว่า เรือดำน้ำ...จำเป็นจริงหรือ?