
ป้องกันรัฐซื้อสื่อ
ป้องกันรัฐซื้อสื่อ : มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ สำนักข่าวเนชั่น
เส้นขีดคั่นกลางเพื่อรักษาระยะห่างระหว่าง “รัฐ” กับ “สื่อ” ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง เพราะว่าคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้เคาะรายมาตราในมาตรา 48 วรรคท้าย ในสองประเด็นสำคัญด้วยกัน
ประเด็นแรก ระบุว่า รัฐจะให้เงินหรือทรัพย์สินอื่นหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดเพื่ออุดหนุนกิจการสื่อมวลชนของเอกชน มิได้ ซึ่งเขียนคล้ายกับรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 45 วรรคท้าย ที่ระบุว่า การให้เงินหรือทรัพย์สินอื่นเพื่ออุดหนุนกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นของเอกชน รัฐจะกระทำมิได้
ทั้งนี้ เพื่อที่จะให้สื่อมวลชนสามารถทำหน้าที่ของตนอย่างตรงไปตรงมา เนื่องจากหากเปิดโอกาสให้รัฐสามารถอุดหนุนสื่อมวลชนในลักษณะใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้เงิน ทรัพย์สิน หรือสิทธิประโยชน์ ได้ ก็จะทำให้สื่อมวลชนไม่สามารถที่จะนำเสนอข่าวหรือข้อเท็จจริงใดๆ ไม่กล้าตรวจสอบ ไม่กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องใดๆ อันอาจส่งผลกระทบต่อรัฐได้ เพราะไปรับเงิน รับทอง ผลประโยชน์จากรัฐเสียแล้ว ถูกรัฐครอบงำ ทำให้ประชาชนไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง
ประเด็นที่สอง ระบุว่า การซื้อโฆษณาหรือบริการอื่นจากสื่อมวลชนโดยรัฐ ให้มีการเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณะ
หมายความว่า กรณีที่รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ ซื้อโฆษณาหรือบริการอื่นจากสื่อของเอกชน สามารถทำได้ ไม่ได้ห้ามเด็ดขาดเหมือนกับกรณีให้เงินหรือทรัพย์สินเปล่าๆ กับสื่อของเอกชน แต่รัฐต้องเปิดเผยรายละเอียดของเม็ดเงินที่ซื้อโฆษณาหรือบริการอื่นจากสื่อมวลชนของเอกชน
เช่น รัฐซื้อโฆษณาหนังสือพิมพ์กี่ฉบับ ก็ต้องเปิดเผยตัวเลขออกมาให้สาธารณชนทราบหมดทุกสื่อ ประชาชนจะได้รู้ว่าจำนวนเงินที่รัฐซื้อโฆษณาจากสื่อเอกชนแต่ละรายเป็นอย่างไร แต่ละสื่อจำนวนเงินมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร ทั้งนี้ก็เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งหลักการนี้ก็เหมือนกับการที่กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อสาธารณะ ที่เม็ดเงินจะเป็นการฟ้องในตัวของมันเองถึงพฤติกรรมและการกระทำ
ทั้งนี้ การที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กำหนดให้รัฐต้องเปิดเผยรายละเอียดของเงินที่ซื้อโฆษณาหรือบริการอื่นจากสื่อของเอกชนต่อสาธารณะ เป็นเรื่องใหม่ รัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ไม่ได้เขียนเรื่องนี้เอาไว้
ทำให้ที่ผ่านมา ผู้มีอำนาจรัฐหรือรัฐบาลในบางยุค ซึ่งมีอำนาจกำกับดูแลหน่วยงานรัฐ ทุกกระทรวง ทบวง กรม รวมทั้งรัฐวิสาหกิจ จะใช้วิธีครอบงำหรือซื้อสื่อ ด้วยการสั่งให้หน่วยงานรัฐ ใช้งบของหน่วยงานไปทุ่มซื้อโฆษณาในสื่อเอกชนบางแห่งเพื่อดึงเป็นพวก จะได้ไม่ทำการตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแล้วให้เขียนเชียร์รัฐบาลแทน
ตามที่ ทีดีอาร์ไอ เคยสำรวจ เช่นในปี 2556 หน่วยงานของรัฐใช้งบโฆษณาประชาสัมพันธ์กว่า 8,000 ล้านบาท
ส่วนสื่อเอง “โฆษณา” ถือเป็นรายได้หลักของสื่อ เพื่อความอยู่รอดทำให้สื่อบางรายต้องยอมจำนนเมื่อโดนผู้มีอำนาจรัฐใช้วิธีการอย่างนี้
ในขณะเดียวกัน หากสื่อเอกชนรายใดตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น รัฐบาลก็จะสั่งหน่วยงานรัฐไม่ให้ไปซื้อโฆษณาในสื่อรายนั้น หรือสั่งให้ตัดงบโฆษณาหรือให้ถอนโฆษณาที่จะไปลงในสื่อรายนั้น
ทั้งนี้ การแทรกแซงลักษณะดังกล่าว น่ากลัวยิ่งกว่าการล่ามหรือทุบแท่นพิมพ์หรือเซ็นเซอร์ข่าวในอดีตยุคเผด็จการ เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนไม่อาจรู้ไม่อาจเห็นจึงไม่ได้มีการลุกขึ้นมาต่อต้าน
ดังนั้น การที่ร่างรัฐธรรมนูญกำหนดว่า กรณีที่รัฐซื้อโฆษณาในสื่อเอกชนต้องเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชน จะสามารถป้องกันการใช้งบประมาณของรัฐเพื่อครอบงำสื่อได้เป็นอย่างดี