
ปฏิรูป!เลิกแบ่ง'สัญญาบัตร-ประทวน'
22 มิ.ย. 2558
ปฏิรูป ตร.เล็งยกเลิกแบ่งชั้นสัญญาบัตร-ประทวน ปรับระบบยศสอดคล้องหน้าที่ ชง พนง.สอบสวนเทียบชั้นอัยการ ยุบที่ปรึกษา (สบ10) ผู้ช่วย ผบ.ตร. ผบช.ประจำ สนง.ผบ.ตร.
22 มิ.ย. 58 เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต คณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จัดสัมมนา เรื่อง การปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมสัมมนากว่า 1,000 คน มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 กล่าวเปิดงาน ว่า การปฏิรูปตำรวจ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวในการเปลี่ยนแปลง แต่เป็นไปเพื่อให้เรื่องราวดีขึ้น อย่างไรต้องยอมรับว่ามีข้อร้องเรียนเรื่องการทำงานของตำรวจมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ การเข้าถึงตำรวจในการบริการประชาชนด้วย ซึ่งถ้าหากมีการปฏิรูป ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย รองผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวว่า ผลการพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับการปฏิรูป สตช. ของคณะอนุกมธ.กิจการตำรวจ โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพและศักยภาพข้าราชการตำรวจมีสาระสำคัญ คือ
1. ปรับปรุงคุณสมบัติของผู้ที่บรรจุเข้ารับราชการตำรวจ โดยต้องผ่านการฝึกอบรมพื้นฐานวิชาชีพตำรวจให้มีทักษะอย่างน้อยในระดับเทียบเท่าอนุปริญญาขึ้นไป
2. ยกเลิกการแบ่งชั้นข้าราชการตำรวจระหว่างสัญญาบัตรและประทวน เพื่อให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจอย่างเท่าเทียม
3. ปรับระบบยศและตำแหน่งของข้าราชการตำรวจให้สอดคล้องกับขอบเขตหน้าที่ อาทิ ดาบตำรวจ เป็น นายตำรวจเอก , จ่าสิบตำรวจ เป็น นายตำรวจโท , สิบตำรวจเอก-โท-ตรี เป็น นายตำรวจตรี , ผู้บังคับหมู่ เป็น เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ และเจ้าหน้าที่ชำนาญการ เป็นต้น
4. ปรับระบบการประเมินและการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนและการเลื่อนตำแหน่งเป็นไปตามคุณธรรมและความสามารถ
5. ข้าราชการตำรวจระดับปฏิบัติการขึ้นไปทุกนาย จะต้องเข้าถึงความรู้ของโรงเรียนนายร้อยตำรวจและกองบัญชาการศึกษา
6. นำส่วนราชการที่เกี่ยวกับการศึกษามารวมอยู่ด้วยกันทั้ง รร.นรต. , บช.ศ. และ วจ.
7. การจัดสรรงบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสมและเพียงพอสำหรับการพัฒนาศักยภาพในทุกระดับ
พล.ต.ท.ปัญญา เอ่งฉ้วน ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี สตช. กล่าวว่า การพัฒนาระบบงานสอบสวนต้องยกระดับ เพื่ออำนวยความยุติธรรมในชั้นตำรวจ ที่ผ่านมามีปัญหาทำให้ไม่สามารถเดินหน้าได้ จึงควรให้พนักงานสอบสวนเป็นบุคคลที่เทียบเท่าอัยการ และศาล มีค่าตอบแทนเท่ากับพนักงานอัยการ รวมถึงปรับแท่งตำแหน่งพนักงานสอบสวนให้เป็นตำแหน่งเทียบเท่ารองสารวัตรถึงผู้บัญชาการ ส่วนการบริหารงานด้านระบบการสอบสวน สตช.ที่จัดไว้ที่สถานีตำรวจ และมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้พนักงานสอบสวนที่เข้าเวรรับผิดชอบคดีทั้งหมด ทำให้งานสอบสวนติดอยู่กับพนักงานสอบสวนเพียงคนเดียว จึงไม่สามารถรับแจ้งความหรือทำคดีได้ 100 เปอร์เซ็นต์ จึงเกิดปัญหาไม่รับแจ้งความ ประชาชนไม่มีทางเลือก ดังนั้นควรปรับให้ในชั้นตำรวจให้สามารถรับแจ้งความหรือรับคดีได้ 100เปอร์เซ็นต์ ประชาชนจะได้เข้าถึงได้โดยง่าย ทั่วถึง โปร่งใส และควรให้มีการไกล่เกลี่ยคดีอาญาในชั้นสอบสวน
ส่วน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า การกระจายอำนาจการบริหาราชการ โดยกำหนดให้ สตช.เป็นส่วนราชการมีฐานะเทียบเท่ากับกระทรวง แต่ยังคงใช้ชื่อว่า สตช. อยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี และให้ตัดบทบัญญัติหรือข้อยกเว้นที่ให้อำนาจ ผบ.ตร.ในการแทรกแซงแก้ไขหรือระงับการใช้อำนาจของอธิบดีหรือใช้อำนาจนั้นด้วยตนเอง ในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการภายในของแต่ละกรม รวมถึงกำหนดให้ส่วนปฏิบัติการหลัก ที่ดูแลความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินประชาชนโดยตรง เป็นส่วนราชการระดับกรมและมีฐานะในนิติบุคคล นอกจากนั้นกำหนดให้มีการปรับเกลี่ยกำลังพล ลดขนาดหน่วยงานในส่วนกลาง และจำนวนตำแหน่งผู้บังคับบัญชาระดับสูง โดยยุบเลิกตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ10) เทียบเท่ารอง ผบ.ตร. ตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. และตำแหน่งเทียบเท่า รวมถึงตำแหน่ง ผบช. ประจำ สนง.ผบ.ตร. ออกทั้งหมด
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวอีกว่า สำหรับการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจมีการปรับปรุง ดังนี้ คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) มีนายกฯ เป็นประธานกรรมการ ก.ต.ช. ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวมีหน้าที่คัดเลือกข้าราชการตำรวจเพื่อดำเนินการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ตามหลักการและหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบียบของ ก.ต.ช. รวมถึงการพิจารณาการตั้งของบประมาณของส่วนราชการของ สตช. ก่อนเสนอรัฐบาลพิจารณา ส่วนคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ปรับเปลี่ยนให้ ผบ.ตร.เป็นประธาน ก.ตร. อย่างไรก็ตามหน้าที่ของ ก.ตร. ในการพิจารณาแต่งตั้งได้ถูกตัดทิ้งออกทั้งหมด และให้ ก.ตร. มีเพียงอำนาจในการกำหนดกฎระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้ง โยกย้าย รวมถึงควบคุมดูแลการใช้อำนาจแต่งตั้งของผู้บังคับบัญชาหัวหน้าส่วนราชการตามหลักการที่กำหนด