ข่าว

1ปีรัฐประหารเบื้องลึก‘บิ๊กตู่’ยึดอำนาจ

1ปีรัฐประหารเบื้องลึก‘บิ๊กตู่’ยึดอำนาจ

22 พ.ค. 2558

1ปีรัฐประหารเบื้องลึก‘บิ๊กตู่’ยึดอำนาจ

              เหตุการณ์คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายใต้การนำของ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี ก่อการรัฐประหารรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง... ทั้งนี้ ในวันที่ 22 พฤษภาคม ถือเป็นวันครบรอบ 1 ปีของการรัฐประหาร "เครือเนชั่น" ได้สัมภาษณ์พิเศษ "พระสุเทพ ปภากโร (เทือกสุบรรณ) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา" บุคคลสำคัญที่ถือว่ามีบทบาทอย่างยิ่งในการรัฐประหารเมื่อปี 2557 

              "พระสุเทพ ปภากโร(เทือกสุบรรณ)"

              การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวของกปปส. ที่นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส.(ขณะนั้น) ที่รุกไล่รัฐบาลจนประเทศเดินเข้าสู่ทางตัน ก่อนที่กองทัพจะยึดอำนาจในที่สุด ขณะที่นายสุเทพกลับหันหลังมุ่งสู่โลกแห่งพระธรรมที่วัดสวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี

              "พระสุเทพ" เปิดใจให้สัมภาษณ์ครั้งแรกกับเครือเนชั่น ย้อนถึงเหตุการณ์สำคัญเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา โดยยอมรับว่า การต่อสู้ที่ยาวนานถึง 204 วันทำให้เหนื่อยล้ามาก แต่เมื่อเห็นมวลชนมากันล้นหลามทุกครั้งที่เป่านกหวีดทำให้มีกำลังใจสู้ต่อไป โดยคาดหวังว่า ถ้าวันไหน "กองทัพ" ออกมายืนข้างประชาชน การต่อสู้จะจบลงทันที

              ทว่า กองทัพกลับสงวนท่าที และรับบท "นักเจรจา" แทน โดยกองทัพเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างเขากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น)

              “พล.อ.ประยุทธ์ นี่แหละที่เป็นคนให้ทหารไปรับอาตมามาพูดกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ กันตัวต่อตัว และ ผบ.เหล่าทัพ 3 เหล่าทัพก็นั่งฟังเฉยๆ ไม่ออกความเห็น ให้เราได้พูดกัน และเขาก็รู้เองว่ามันไปไม่ได้จริงๆ และก็หลายครั้งหลายหนหลังจากนั้น ทำให้อาตมามั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่พาตัวมาอยู่ในสถานการณ์เหมือนทุกวันนี้"

              พระสุเทพเล่าว่า ในการพูดคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เกิดผล เพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง และอีกฝ่ายก็เป็นเพียง “นอมินี” การตัดสินใจอยู่ที่ต่างประเทศ

              “วันที่ไปพบคุณยิ่งลักษณ์ พล.อ.ประยุทธ์พูดแทนผบ.เหล่าทัพ 3 เหล่าทัพว่ากองทัพยืนอยู่ข้างประเทศไทย เรามี 2 ข้าง ความหมายคือไม่อยู่ข้างไหน ซึ่งอาตมาก็คิดเข้าข้างตัวเองได้นะ(หัวเราะ) ก็เห็นชัดว่า คุณประยุทธ์ และกองทัพก็รู้เต็มอกแล้วว่า รัฐบาลไม่ไหวจริงๆ มันไปไม่รอด เขารู้ว่าอะไรต่ออะไรเป็นยังไง แต่ว่าก็ยังเป็นข้าราชการ"

              พระสุเทพมองย้อนกลับไปว่า ถึงอย่างไรกองทัพจะต้องตัดสินใจอยู่ข้างประชาชนส่วนใหญ่ เพราะ 1.ผู้นำเหล่าทัพทุกคนมีความรักชาติบ้านเมือง และเห็นอยู่ว่ารัฐบาลทำอะไรผิด 2.เขากำลังชั่งใจว่าจะต้องทำยังไงดี เพราะทหารก่อนที่จะปฏิวัติรู้ว่า เมื่อไหร่ที่ยึดอำนาจภาระของบ้านเมืองจะตกอยู่บนบ่าเขา แรงกดดันจากในประเทศต่างประเทศจะกดลงบนบ่าแน่นอน

              แล้ววันที่อดีตเลขาธิการกปปส.คาดการณ์ก็เดินทางมาถึงในวันที่ 22 พฤษภาคม เพราะการเจรจา 7 ฝ่ายในวันแรกเมื่อ 21 พฤษภาคม ไม่ได้ข้อสรุป โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลที่ไม่ยอมออกท่าเดียว โดยพระสุเทพย้อนเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในวันนั้นว่า

              “อาตมายังจำได้เลย คุณชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม นั่ง โอ้โหวางมาดมาก เคาะปากกาแบบไม่แยแส มอง พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนกับข้าราชการภายใต้อำนาจ บอกว่า ในนาทีนี้รัฐบาลยังไม่คิดที่จะลาออก พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า ทั้งคณะไม่ลาออก หรือส่วนบุคคลจะลาออกมั้ยครับ สุภาพมากนะ

              "นู่นก็จุ๊ยใหญ่เลย ไม่มี ส่วนบุคคลไม่ลาออก ทั้งคณะไม่คิดลาออก ยังลีลาเป็นอย่างนั้นอยู่ ยังมั่นใจ เชื่อมั่นในอิทธิพล ในอำนาจของตัวเองอยู่”

              ที่สุดแล้วนาทีแห่งการสิ้นสุดรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็มาถึงเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจ” พระสุเทพเล่าเหตุการณ์ในนาทีนั้นว่า

              “ช็อกเลย อาตมาอยู่ใกล้ สังเกตดูคนเหล่านั้นช็อกเลย แทบจะหงายท้องเลย นั่งหมด หงายกับเก้าอี้เลย คนที่เค้า ใครๆ ก็บอกแข็งแกร่งที่สุด ทรุดลงไปกับเก้าอี้เลย เห็นอยู่ชัดๆ เลย ส่วนอาตมาก็เฮ้อ โล่งใจไปที จบสักที เกมมันจะได้โอเวอร์สักที” พระสุเทพ เผยนาทีที่เปี่ยมด้วยสีสันมากที่สุดหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

"พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ"

              แม้จะเกษียณจากกองทัพไปเกือบ 10 ปีแล้ว แต่บารมีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังคงมีอยู่อย่างสูงในแวดวงกองทัพ และแม้การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เขาจะไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย แต่ก็รับรู้ และเข้าใจดีถึง "ความจำเป็น" ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเข้ามาหยุดสถานการณ์ และปฏิรูปประเทศ

              "เราไม่อยากให้เหมือนซีเรีย เหมือนตะวันออกกลางที่ประชาชนต้องหยิบอาวุธมาต่อสู้กัน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ และสำคัญของประเทศมาก ถ้าเป็นเรื่องของการเมือง และว่าด้วยพรรคใหญ่ 2 พรรคไม่เป็นไร แต่ถ้าไปนำพาประชาชนให้สร้างความไม่เข้าใจ เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม นี่คือปัญหาใหญ่ที่เราต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก"

              พล.อ.ประวิตร ย้ำถึงสาเหตุสำคัญที่สุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจเข้ามาควบคุมอำนาจ และเป็นสิ่งที่เขาเป็นห่วงประเทศชาติมาโดยตลอดเช่นกัน พร้อมทั้งย้ำว่า "โรดแม็พ" ของคสช.ยังคงเป็นไปตามกำหนดการเดิม แต่ก็ยอมรับว่า ประเด็นการทำ "ประชามติ" ที่จะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญคงจะทำให้โรดแม็พเดิมต้องเลื่อนออกไปสักเล็กน้อย

              "ก็คง (เลือกตั้ง) สักประมาณปลายปี ถ้ามันเป็นไปตามนั้น ขึ้นอยู่กับว่ามีประชามติหรือเปล่า ถ้ามีประชามติก็อาจจะเลื่อนไปสักเดือนสองเดือน ซึ่งขั้นตอนขณะนี้กรรมาธิการยกร่างฯ กำลังส่งร่างรัฐธรรมนูญมาให้ครม. และคสช.ดู แต่เราไม่สามารถแก้ได้นะ ได้แค่ท้วงติงแล้วส่งกลับไปให้กมธ.ยกร่างฯ ส่วนจะแก้หรือไม่ก็เรื่องของเขา

              แต่นายกฯ ย้ำเสมอว่า ไม่ต้องการเข้ามามีอำนาจ แต่อยากจะทำอย่างไรให้เป็นพื้นฐานที่มั่นคงถาวร เป็นรัฐธรรมนูญที่สามารถที่จะอยู่ยั่งยืนตลอดไป และไม่ต้องมีการปฏิวัติรัฐประหารกันอีก ผมคุยกับท่าน ท่านมีความคิดแบบนี้ และผมเองก็คิดเหมือนท่าน"

"พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา"

              เป็นหนึ่งในนายทหารระดับคุมกำลังคนสำคัญในวันยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 สำหรับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.) ในขณะนั้น ซึ่งเขาย้ำว่า "ฟางเส้นสุดท้าย" ที่ทำให้กองทัพต้องตัดสินใจเข้ามา "ควบคุมอำนาจ" คือ การที่ประเทศไม่มีทางออก รัฐบาลบริหารไม่ได้ และไม่สามารถสั่งการด้านงบประมาณต่างๆ ได้เลย

              "วันนั้นผมอยู่ในเหตุการณ์ ท่านพูดว่า ตกลงมันต้องเดินทางนี้แล้วนะ ผมจำได้ ท่านพูดเลยนะว่า ท่านพูดว่าจบละ ท่านให้เวลา 2 วัน แล้วท่านก็นั่งโต๊ะพูดว่า ตกลงทุกคนไม่ยอมกันเลย ผมจำเป็นต้องทำแบบนี้ ผมขออนุญาตควบคุมอำนาจครับ"

              "ผมไม่เคยเรียกว่าปฏิวัติรัฐประหาร ไม่อยากใช้คำนี้ มาควบคุมเพื่อที่จะได้อำนาจในการปฏิรูป ในการบริหารประเทศมากกว่าการปฏิวัติ โอเคละ จะเรียกอย่างไร หรือคุณจะเข้าใจอย่างไรมันก็เป็นไปตามนั้น มันก็คือสิ่งเดียวกัน แต่ความรู้สึกของเราที่เข้ามา เราเข้ามาควบคุมให้ได้อำนาจมาเพื่อใช้บริหาร และปฏิรูปประเทศมากกว่า"

              เมื่อถามว่า ก่อนที่จะยึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ ได้คุยกับผบ.เหล่าทัพคนอื่นมาก่อนหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ ตอบว่า

              "ท่านคุยกับผมบ้าง ผมว่าท่านคงคุย แต่ผมเองไม่ได้อยู่ในจุดที่ท่านไปคุย ผมไม่ทราบเหมือนกัน แต่สำหรับผม ท่านก็ถามว่า มันมี 2 วันท่านจำได้มั้ย คืนนั้นท่านถามผม ท่านเรียกชื่อเล่นผมว่า ต๊อก คิดว่าจะได้มั้ย จะยอมถอยกันมั้ย จะได้เลือกตั้ง แล้วถ้ามันไม่ได้ก็จะต้องแก้กันใช่มั้ย ท่านพูดอย่างนั้น"

              พล.อ.ไพบูลย์ ชี้ว่า ถ้านึกถึงสถานการณ์ก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม อย่างน้อยเราก็อยากเห็นความสงบ และการปฏิรูปประเทศ ส่วนสิ่งที่คาดหวังคือ อยากเห็นคนไทยรักกัน เข้ามาช่วยกันปฏิรูปประเทศ เพราะต้องยอมรับกันว่า เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา