
ประกาศชัยเอพริล เบเกอรี่อดีตแอร์สาว
ก่อนประกาศชัยเอพริล เบเกอรี่ อดีตแอร์สาวทุบหม้อข้าวออกรบ : คมคิดธุรกิจนิวเจน เรื่อง ณุวภา ฉัตรวรฤทธิ์ ภาพ สุกล เกิดในมงคล
การออกเดินสู่จุดหมายปลายฝันของหนุ่มสาวหลายคน ล้วนแต่มีต้นทุนระหว่างทางที่แตกต่างกันออกไป เพราะในโลกนี้หาใช่ผูกขาดความสำเร็จเอาไว้ให้เฉพาะผู้คาบช้อนเงินช้อนทองแต่อ้อนออก แต่ความมานะบากบั่นต่างหาก ที่เป็นเสมือนตรารับประกันความสำเร็จอย่างยั่งยืน
เส้นทางสู่ความสำเร็จของผู้มีทรัพย์หนักเกื้อหนุน ฟังดูก็เป็นเรื่องท้าทายสนุกๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้มีธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ ดุจดังเครื่องประดับ แต่สำหรับคนธรรมดาอย่าง “อร” ณธนพร เอื้อวันทนาคูณ ที่ตั้งปณิธานแม่นมั่นว่า จะฟันฝ่าสู่ความสำเร็จด้วยลำแข้งของตนเอง ความกล้าท้าทายเป็นบทเรียนสำคัญที่เธอได้ลิ้มรส หลังจากตัดสินใจบ่ายเบนเข็มทิศชีวิตจากอาชีพในฝัน สูู่การเดินทางครั้งใหม่ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง ซึ่งบางคนอาจชายตายว่าเป็นรักหรือความรั้นก็ย่อมได้
"ครอบครัวของอรเป็นคนธรรมดามีกิจการรับเหมาก่อสร้าง ขายเหล็กขายไม้ ฐานะก็พอมีพอใช้มาตลอดค่ะ คุณแม่อรเป็นคนทำอาหารอร่อยเราได้เรียนรู้การเข้าครัวจากท่านตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนั้นอรมีความฝันว่าอยากเป็นแอร์โฮสเตส เลยมุ่งมั่นเรียนคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญเพื่อหาทักษะไปสมัครเป็นแอร์ แต่พอคุณแม่เสียก็ย้ายมาเรียนคณะบริหารธุรกิจเพื่อมาช่วยพี่ชายสานต่อกิจการที่บ้าน เลยมีเวลาเข้าครัวดูแลพี่น้องเรื่องอาหาร งานบ้านต่างๆ แทนคุณแม่"
แม้จะขลุกงานครัว รักการทำอาหารอย่างที่ควรจะเจริญรอยตามคุณแม่ แต่นั่นก็ยังไม่อาจเป็นแรงจูงใจที่จะดึง "สาวอร" ออกจากเส้นทางอาชีพแอร์โฮสเตสได้
"แอบส่งใบสมัครเป็นแอร์ตามความฝันตัวเองอยู่ตลอด ช่วงที่ว่างก็หันมาทำขนมปังอบขาย ตอนนั้นอรชวนแม่บ้านตื่นตั้งแต่ตีสี่ มานวดแป้งทำขนมปังอบฟูๆ ธรรมดา จนถึงบ่าย 4 โมง เอาไปขายที่ตลาดนัดตอนเย็นชิ้นละ 10-15 บาท ซึ่งก็ได้ผลตอบรับดีค่ะ ขายได้วันละ 3,000-4,000 บาท ในราคาค่าเช่าแผงเพียงวันละ 20 บาทเท่านั้น ทำได้อยู่เกือบปีก็ได้รับข่าวดีที่ทางสายการบินอีว่า ของไต้หวัน รับเข้าเป็นแอร์ ก็ตอบรับทันที" อดีตแอร์โฮสเตสมาดมั่นเล่าถึงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่เปลี่ยนชีวิตเธอไปอีกมุมหนึ่ง
ชีวิตแอร์โฮสเตสสาว ในวัย 20 ต้นๆ เมื่อสาว "อร" ณธนพร เริ่มสำรวจตนเองในหน้าที่การงาน ยังรู้สึกว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งกับเงินเดือนประจำ 4-5 หมื่นบาท ไม่ต้องทำงานตลอดเวลา จบไฟลท์หนึ่งก็กลับบ้าน มีเวลาพัก 2-3 วัน ไปเที่ยวได้สบายๆ หากแต่เมื่อล่วงพ้นจากเบญจเพสเข้าช่วงอายุ 26-27 ปี เธอเริ่มกังวลถึงรายได้ในอนาคต นั่นย่อมที่จะหลีกเลี่ยงจากการเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง หากแต่เป็นก้าวย่างเพื่อความมั่นคงยั่งยืน
“ถ้าไม่กล้าทุบหม้อข้าวตัวเองก็ไม่โตหรอก” คือคำคมสั้่นๆ ที่พี่ชายของ "สาวอร" ให้ไว้ หลังเธอขอคำปรึกษาในยามที่เหน็ดหน่ายว่า ถ้าหากในวันข้างหน้าไม่มีเงินเดือนประจำแล้วจะทำอย่างไร จึงต้องตัดสินใจ "ทุบหม้อข้าว" ตามคำแนะนำ
"ฟังพี่แล้วกล้ามากขึ้น ตัดสินใจลาออกมาเริ่มทำเบเกอรี่ขาย ตอน 4 ปีก่อนนั้น กระแสร้านกาแฟเริ่มมา เราก็เอาเงินเก็บไปเปิดร้านกาแฟมั่นใจว่าต้องขายได้แน่ เริ่มใช้ชื่อ "เอพริล" ที่ใช้ระหว่างเป็นแอร์ เอามาตั้งชื่อร้าน ก็ไม่ประสบความสำเร็จต้องปิดไปเพราะเราไม่ถนัดด้านกาแฟเลย การบริหารงานก็ไม่ดีพอ ก็เปลี่ยนมาเป็นร้านขนมปังเต็มตัวทำพวกผักโขมอบชีส สปาเกตตีไวท์ซอส เค้ก คุกกี้โฮมเมด เปิดในคอมมูนิตี้มอลล์ซึ่งยังไม่ได้เป็นสถานที่ที่คนนิยมเดินมากเหมือนตอนนี้ คนก็น้อย แดดร้อน ฝนตก ขายไม่ดีอีกเลยเบนเข็มมาเปิดในห้างสรรพสินค้าแทน ขยับขยายมาเรื่อยๆ"
กิจการของสาวมั่น “อร” ณธนพร ขยายใหญ่ขึ้น นั้นหมายถึงเธอจะต้องหาที่ทางรองรับ ห้องเช่าด้านล่างคอนโดราคาเดือน 6,000 บาท คือโรงงานย่อยๆ ที่เกิดตามมา
"ทำเป็นห้องอบขนมปัง เรียนรู้ คิดสูตรต่างๆ ในห้องนั้นเลย พอคิดสูตรได้ก็เริ่มทำขายวันละ 2-3 ร้อยชิ้น จนร้านเริ่มมีอีกสาขาก็ทำเพิ่มเป็น 800 ชิ้น ซึ่งเต็มที่แล้วสำหรับการผลิตคนเดียว เริ่มไม่ไหวสับหมู 10 กิโลต่อวัน อบหมู นวดแป้ง ตั้งแต่ 3 ทุ่มจนถึงตีห้า นอนแป๊บเดียวตื่นมาไปดูร้านต่อ เป็นแบบนี้อยู่ 3 เดือน ก็ไม่ไหวต้องเริ่มจ้างคนมาเพิ่ม ให้ค่าจ้างเดือนละ 6,000 บาท เป็นแม่บ้านที่ว่างๆ แล้ว ให้มาเป็นลูกมือเรา จากจ้าง 2 คน ก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ” การขยายตัวของกิจการเริ่มต้นอย่างจริงจังมากขึ้น ทำให้เธอเปลี่ยนสถานะจากแม่ค้าคนหนึ่งเป็นนักธุรกิจเต็มตัวในเวลาไม่นานนัก
จากห้องผลิตขนมชั้นล่างของคอนโดเล็กๆ พัฒนาสู่โรงงานอบพายและออฟฟิศ 6 ชั้น ย่านถนนเจริญราษฎร์ ถูกแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนสะอาดตา ณธนพร ในมาดกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยไดมอนด์ฟูด จำกัด บอกว่า โรงงานที่นี่มีกำลังการผลิตขนมไส้ต่างๆ ได้วันละ 20,000 ชิ้น ส่งเข้าร้านและแฟรนไชส์กว่า 60 สาขา มีจำนวนพนักงานฝ่ายผลิต ผ่ายบริหารงานและพนักงานดูแลร้านอีกรวมกันประมาณเกือบ 100 คน ซึ่งเมื่อหลับตานึกย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปี มันเป็นคนละเรื่อง เพราะตอนนั้นต้องทำงานเพียงคนเดียว
แต่กิจการใหญ่โตขนาดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ประสบความสำเร็จแล้ว เพราะเธอต้องพบกับภาวะขาดทุนจากร้านเบเกอรี่เป็นเวลานาน แต่ก็อาจจะเป็นเพราะโชคช่วยที่เธอค้นพบหนทางโดยบังเอิญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อบนถนนสายฝัน
“รู้ตัวแล้วว่าต้องหาขนมใหม่ๆ เครียดมากเพื่อนเลยชวนไปเที่ยวฮ่องกงหาอะไรผ่อนคลายบ้าง ก็ได้ชิมขนมพายหมูแดงของที่โน่นรู้สึกว่าอร่อยดีนะ เลยซื้อกลับมาฝากที่บ้านเยอะมากน้องสาวได้ชิมก็บอกว่าอร่อยให้เราลองทำแบบนี้ดูสิ เลยลองทำดูเริ่มจากคิดสูตรแป้งใหม่หมดถ้ามองด้วยตาจะนึกว่าเป็นแป้งขนมเปี๊ยะด้านแข็งแต่ไม่ใช่ค่ะแป้งพายฮ่องกงจะกรอบนอกนุ่มใน ถ้าแช่เย็นเอาออกมารับประทานก็จะนิ่มนุ่ม พอดีตอนนั้นเมืองไทยไม่มีใครทำเนื้อขนมปังแบบนี้เลย เราก็เห็นช่องทางมุ่งตรงนี้ไปเลยดีกว่า" นี่คือการเริ่มต้นครั้งใหม่ของ "สาวอร" กับสินค้าจุดประกายหวังในชื่อ "พายฮ่องกง"
แต่ขึ้นชื่อว่าขนมใหม่ในตลาดเมืองไทยที่ลูกค้ายังไม่คุ้นเคยหน้าตาและรสชาติ ย่อมเป็นอุปสรรคให้ "สาวอร" ต้องฟันฝ่าในอีกระดับ เธอไม่มีทางอื่นใดนอกเสียจากการคิดค้นหาวิธีทำโปรโมชั่นแบบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมายนัก ลดแลกแจกแถมจึงเป็นกลยุทธ์เบิกทางสู่ความสำเร็จในเวลาต่อมา
"ตอนวางขายแรกๆ ก็ขายไม่ดีค่ะ เพราะรูปทรงเขาดูไม่สวยงามเวลาเราไปวางหน้าร้าน แป้งพายมีความบางพอโดนอะไรนิดหน่อยก็แตก ลูกค้ามาเห็นก็รู้สึกไม่สวยไม่น่ารับประทาน แล้วก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ตอนนั้นต้องใช้โปรโมชั่นแรงๆ เลยค่ะ ให้ชิมเต็มที่ แนะนำว่าขนมพายฮ่องกงเป็นอย่างนี้นะ วางขายชิ้นละ 9 บาทไปเลยใครจะไม่ซื้อล่ะ (เพราะราคาทั่วไปชิ้นละ 32 บาท) ซื้อเถอะ ช่วยรับประทานหน่อย ลองชิมหน่อย ทำทุกอย่าง ขาดทุนก็ยอม เพราะอรคิดว่าขนมอรอร่อยเราทำเองกินเองรู้ว่าอร่อยจริงๆ อยากให้ลูกค้าได้ชิมก่อนแล้วดีหรือไม่ดีเขาจะไปบอกต่อกันเอง” การจัดโปรโมชั่นเป็นเหมือนสามัญสำนึกของแม่ค้า ที่เจ้าตัวบอกว่าต้องไหลลื่นไปตามสถานการณ์ห้ามหยุดนิ่ง
ความไหลลื่นเช่นว่า ยังผลให้กิจการของเธอขยายกิจการออกไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อโอกาสอำนวย มีผู้มาเสนอให้ขายแบรนด์เป็นแฟรนไชส์จึงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปต่อหน้า เพราะคือหนทางของการเพิ่มสาขาโดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบปัญหาหน้าร้านเพียงคนเดียว ทั้งยังมีเวลาเอาใจใส่กับสินค้า ทำขนมให้มีคุณภาพตามสัญญา ส่งขายได้เต็มที่มากขึ้น จากนั้นจึงต่อยอดไลน์น้ำชาผลไม้ และชาสมุนไพร ตามคำเรียกร้องของลูกค้าที่ปรารถนาให้มีขายเพื่อช่วยเสริมรสคล่องคอยิ่งขึ้น ตามติดมาด้วยการเปิดแบรนด์ ขนมเค้กสับปะรดสูตรไต้หวัน อันถือเป็นการแตกไลน์เพื่อกระจายความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจในอนาคตที่ยังเอาแน่นอนอะไรไม่ค่อยจะได้
ในอีกมุมมองหนึ่งทางธุรกิจ การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วซึ่งดูเหมือนจะเป็นภาพความสำเร็จที่น่าพอใจสำหรับนักลงทุน แต่ "สาวอร" บอกว่า เธอต้องผ่านประสบการณ์ลุ้มลุกคลุกคลานมานานถึง 3 ปี ต้องประคับประคองธุรกิจด้วยการหาเงินทุกรูป ขายของทุกอย่างที่มีอยู่ เข้าโรงจำนำ ทำรีไฟแนนซ์รถ ปล่อยกระเป๋าแบรนด์เนมของขวัญวันเกิดจากพี่ชาย กว่าจะมีวันนี้ วันที่เพิ่งได้รับกำไรเต็มหน่วย “ร้อยล้าน” เมื่อปีที่ผ่านมาเห็นกันชัดๆ เลยว่า บนโลกใบนี้ไม่มีถนนสายไหนโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ หากแต่สิ่งหนึ่งซึ่งย้ำเตือนอยู่ในมโนสำนึกของเธออยู่ตลอดเวลามิลืมเลือนก็คือ "ถ้ายังมีแนวทางค้าขายในสมองอยู่ก็จะไม่ยอมหยุดกิจการง่ายๆ"
“ขณะที่เราขาดทุนก็ยังมองเห็นทางตลอดว่าควรจะปรับปรุงอย่างไร ไปทางไหน ไม่ยอมหยุด กลัวเสียหน้าด้วยเหมือนเราเดินมาขนาดนี้เพื่อนๆ พี่น้องเห็นการเดินทางเราหมด เราอยากให้เขาเห็นว่าเราทำได้นะ และมีลูกน้องอีกหลายคนที่เราต้องดูแลให้ดีที่สุดด้วย ช่วงขาดทุนไม่บอกใครแม้แต่สามีอรเองก็ยังไม่รู้เลยค่ะ ตอนนั้นเป็นแฟนกันอยู่ก็เลือกที่จะไม่บอกเขา พี่น้องโทรมาถามว่าขายดีไหมก็โกหกยิ้มบอกว่าขายดีมาก คงเพราะเราอยากเป็นผู้หญิงที่มีมุม มีที่ยืนด้วยตัวเองได้ เวลาลูกและสามีมองกลับมาแล้วภูมิใจในตัวเรา อรคิดแบบมีความเท่าเทียมนะคือแฟนเขาทำงานหนักเหมือนกัน เราก็ต้องก็ทำงานหนักได้ประมาณนั้น"
ในตอนท้ายของการสนทนา “อร” ณธนพร เอื้อวันทนาคูณ ให้ข้อคิดดีๆ อย่างที่ผู้ประกอบการทั้งหลายควรจะต้องมี ในสิ่งที่เรียกกันว่า "ธรรมาภิบาล" ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเล็กใหญ่ขนาดไหนก็ตาม
"สิ่งที่ต้องทำคือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่โกงลูกค้า ต้องรักษามาตรฐานไว้อย่างดี จริงๆ ถ้าขาดทุนเราอาจลดไส้ให้น้อยลง ปรับเกรดวัตถุดิบให้ประหยัดขึ้นได้ใช่ไหมคะ แต่อรเลือกจะผลิตมาตรฐานเดิมพัฒนารสชาติให้ดีมากขึ้น ไม่อยากให้ลูกค้าผิดหวัง เราขาดทุนแต่ขนมเราต้องพัฒนาให้ดีขึ้น ไม่ใช่อร่อยน้อยลงไปตามๆ กัน ข้อนี้ก็เหมือนการพิสูจน์ว่า 4 ปีที่ผ่านมาลูกค้าเชื่อใจในคุณภาพเราได้”
การทำมาค้าขายสินค้าที่เรียกว่า "อาหาร" ถ้าปราศจากซึ่งรสชาติดึงดูดเสียแล้ว ก็ถือว่าจบ นี่คืออีกหนึ่งหลักใหญ่ที่เธอใช้ สำหรับตรวจสอบคุณภาพสินค้าชนิดที่ว่า ไม่ยอมให้ผิดเพี้ยนแม้น้อยนิด
"เมื่อมีโรงงานใหญ่ขึ้นอรจะชิมขนมเองทุกรส ทุกวัน ก่อนจะส่งไปยังร้าน ถ้ามีรสแปลกๆ ก็จะสั่งทิ้งทั้งลอตไปเลย ไส้หมูเป็นพันชิ้นก็เคยทิ้งมาแล้ว หมูเป็นร้อยกิโลกรัมถ้ารสชาติไม่ดีก็จะทิ้งไม่เสียดาย ถึงรสไม่เปลี่ยนมากแต่จะเอาไปขายก็รู้สึกไม่จริงใจกับลูกค้า ที่บอกว่าอรใช้เทคนิคการบอกต่อถ้ามีลูกค้าเพียงคนเดียวได้รับประทานพายลอตนี้ที่ไม่ได้มาตรฐานเดิม เขาอาจเสียความรู้สึกจะไปบอกอีกหลายคนว่ารสชาติร้านเราเปลี่ยนไป ดังนั้น เรื่องคุณภาพเราค่อนข้างซีเรียสมาก ตอนที่สั่งทิ้งก็ยังยืนดูด้วยตัวเองไม่ให้เล็ดลอดออกไป บังคับให้พนักงานใส่ถุง เอามาวาง ยกไปทิ้งต่อหน้าอรเลยไม่ให้หลุดรอดสายตา"
การกู้วิกฤติฉบับอดทน และซื่อสัตย์สามารถสร้างรากฐานแบรนด์ให้มั่นคงได้อย่างเกินคาด
ถึงแม้ตอนนี้ "สาวอร" จะยอมรับว่าเธอก้าวเดินมาถึงฝั่งฝันอันน่าพึงพอใจ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมากมายอย่างแต่ก่อน หากแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เธอจะหยุดนิ่งซึ่งในทางธุรกิจถือว่า กำลังเริ่มนับถอยหลัง เธอจึงวางอนาคตของ "เอพริล เบเกอรี่" เอาไว้ว่า จะต้องเป็นที่ยอมรับในตลาดเอเชียให้ได้ หลังจากที่ผู้บริโภคตลาดฮ่องกงเริ่มคุ้นลิ้นและชื่นชอบรสชาติพายฝีมือของเธอ อดีตแอร์โอสเตสผู้ผันตัวสู่เจ้าของกิจการเบเกอรี่
เรียนรู้สู่การจัดการอย่างเป็นระบบ
ขนมพายสูตรฮ่องกง ลักษณะแป้งบางเป็นชั้นๆ คล้ายขนมเปี๊ยะอัดแน่นรสชาติซิกเนเจอร์คือไส้หมูแดง ไก่อบน้ำผึ้ง พริกเผาหมูหย่อง ทูน่า สับปะรด ถั่ว งา ตามมาด้วยไส้ขนมตามสมัยนิยม
อีกกว่า 20 รสชาติ ของแบรนด์ “เอพริล เบเกอรี่” (April’s Bakery) กำลังเป็นกระแสใหม่ของวงการพายที่ไม่ได้อร่อยแค่สัญชาติฝรั่งเพียงอย่างเดียว แต่รสพายอบฉบับเอเชียก็สามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ผู้คนได้ดีเช่นกัน
ความแปลกใหม่ในตลาดเบเกอรี่นี้เริ่มต้นจากสองมือสาวไทยร่างเล็กจาก จ.นครสวรรค์ ผู้มีความฝันยิ่งใหญ่ “อร” ณธนพร เอื้อวันทนาคูณ ในวัย 31 ปี ที่ผันตัวจากอาชีพในฝันแอร์โฮสเตสเงินเดือนสวยหรู มาเริ่มนับหนึ่งใหม่กับการอบขนมปังวันละหลายร้อยชิ้นเพียงตัวคนเดียว วางขายจากระดับล่าง ไต่ระดับจนถึงเปิดร้านในห้างใหญ่ถึง 8 สาขา และมีแฟรนไชส์กว่า 52 สาขาทั่วประเทศ
“อร” ณธนพร เรียนรู้ธุรกิจด้วยตัวเองจากสัญชาตญาณไหวพริบภาคปฏิบัติแบบแม่ค้าที่ดีกว่าตำราหรือทฤษฎีไหนๆ เพราะมันถูกนำมาปรับเปลี่ยนแก้ไขอุปสรรคต่างๆ จนกลายเป็นแบรนด์อร่อย บอกกันปากต่อปากในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากิจการจะขยายใหญ่ขนาดไหน หรือผู้ประกอบการจะประสบความสำเร็จมากเพียงใด ความเสมอต้นเสมอปลายของผลิตภัณฑ์คือหลักการที่ "สาวอร" ยึดมั่น ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ
"ทุกอย่างอรดูแลทั้งหมดตั้งแต่วัตถุดิบ การตลาด จนถึงบัญชี ไม่ใช่ว่าเราบ้างานหรือไม่ไว้ใจใครเลย แต่วิธีนี้เกิดจากประสบการณ์ลองผิดลองถูกเราทั้งหมด เรื่องเงินอรก็เคยโดนโกงมาก่อนตอนที่มีคนช่วยทำขนมไม่กี่คน มีพนักงานที่เราจ้างเดือนละ 6,000 โกงเงินเราไปล้านกว่าบาท กระทบทุนเราขาดทุนไปหลายเดือน ก็ต้องสู้ต่อคิดซะว่าชาติที่แล้วเราไปเอาของเขามา จากนั้นอรก็ค่อนข้างรอบคอบเรื่องเงินมาก เริ่มสั่งวัตถุดิบทุกอย่างจากบริษัทใหญ่มีระบบเก็บเงินที่เรามองเห็นได้ เช่นจ่ายตัดบัญชี จ่ายเป็นเช็ค เราสามารถมองเห็นได้สบายใจที่เราได้จ่ายเอง เห็นยอดทุกวัน เหนื่อยหน่อยแต่สบายใจ”