
บั้งไฟขีปนาวุธตัวร้ายของสายการบิน
บั้งไฟขีปนาวุธตัวร้ายของสายการบิน : พรพรรณ สีกะพารายงาน
ทันทีที่ย่างเข้าสู่เดือนหก ตามจันทรคติของคนไทย ประเพณียิ่งใหญ่ที่ชาวอีสานและชาวเหนือบางจังหวัดมักจะต้องทำเป็นประจำนั่นคือ "ประเพณีบุญบั้งไฟ" เพราะใกล้สู่ฤดูกาลทำนาแล้ว หากไม่มีการจุดบั้งไฟเพื่อขอฝน เกรงว่าฝนจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล
ดั้งเดิมประเพณีบุญบั้งไฟของชาวอีสาน ทำกันแบบมีส่วนร่วม เพราะทั้งวัด บ้าน และชุมชน จะต้องร่วมไม้ร่วมมือกัน เพราะหากไม่มีความสามัคคีในการดำเนินการ นั่นหมายถึงความอุดมสมบูรณ์จะไม่มาเยือนหมู่บ้าน
แต่ทุกวันนี้ ประเพณีนี้กำลังจะถูกกลบด้วยอบายมุข โดยเฉพาะการเล่นพนัน ทำให้การทำบั้งไฟเพื่อจุดบูชาพญาแถน หรือเทวดา ที่ทำหน้าที่ควบคุมการตกของฝน ตามความเชื่อของคนอีสาน ได้กลายเป็นการทำบั้งไฟเพื่อจุดให้ขึ้นสูงที่สุด เพื่อเอาชนะการพนันขันต่อที่ได้ลงเดิมพันเอาไว้แล้ว
การเล่นพนันบั้งไฟ กลายเป็นความสนุกที่มาพร้อมกับประเพณี โดยก่อนหน้านี้การจะจุดบั้งไฟที่ไหนจะต้องขออนุญาตไปทางกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้แจ้งไปยังอำเภอและอำเภอจะแจ้งไปยังจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการบิน ซึ่งจังหวัดที่มีการจุดบั้งไฟเพื่อเล่นพนันกันมากที่สุด มักพบแถบจังหวัดอีสานใต้และอีสานกลาง ซึ่งมีสนามบินนานาชาติอุบลราชธานี ที่สายการบินใหญ่ๆ จะต้องบินผ่านเส้นทาง ทำให้ที่ผ่านมาได้ควบคุมอย่างเข้มงวด แต่ก็ยังถูกลักลอบเล่นพนันและลักลอบจุดบั้งไฟอยู่ตลอด โดยเฉพาะ "บั้งไฟกือ" ที่มีความใหญ่ และเน้นการขึ้นสูงเพื่อเอาชนะกันในวงพนัน
อันตรายจากการจุดบั้งไฟ กัปตันฤทธิเศก ลิ้มรัตนพันธ์ นักบินสายการบินกานต์แอร์ ที่บินผ่านหลายจังหวัดและเคยประสบเหตุบั้งไฟโผล่หน้าเครื่องบินพอดี ได้บอกเล่าประสบการณ์ว่า ที่ผ่านมาปัญหาบั้งไฟกับการบินถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะนักบินเวลาถึงฤดูบั้งไฟจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ หากมีการขออนุญาตจุดบั้งไฟ สายการบินทุกแห่งจะรู้และจะพยายามบินหลบสถานที่จุดบั้งไฟ ซึ่งอาจจะทำให้เสียเวลาแต่คิดว่าปลอดภัยต่อทุกคนก็ยอมทำ
โดยเฉพาะสายการบินเครื่องขนาดเล็ก เวลาบินไม่ได้บินสูง อยู่ในระดับบั้งไฟพอดี บางครั้งบินไปเจอบั้งไฟอยู่ตรงหน้า ก็มีสิ่งที่ทำได้ขณะนั้นคือจะต้องบินหลบไม่อย่างนั้นจะชน จึงอยากจะขอร้องคนที่จะจุดบั้งไฟ ขอความร่วมมือช่วยแจ้งพิกัดและสถานที่จุดเพื่อนักบินจะได้ระมัดระวัง
"บั้งไฟเหมือนจรวดดีๆ นี่เอง เพราะหากชนเครื่องบินแล้วระเบิดก็อันตรายมาก ทำให้เวลาบิน นักบินวอกแวกไม่ได้เลย ต้องจดจ่อที่หน้าเครื่องตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงฝนตก หากมีการจุดบั้งไฟจะทำให้การมองเห็นยากลำบากมาก แต่หากแจ้งว่าจะจุดบริเวณไหน ก็จะสามารถบินหลบได้ แม้จะเสียเวลา แต่ก็ปลอดภัย" กัปตันฤทธิเศก กล่าว
เช่นเดียวกับ ร.อ.อดิศักดิ์ เผด็จพาล หัวหน้าชุดปฏิบัติการบินฝนหลวง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ได้พูดถึงอันตรายที่เกิดขึ้นจากการจุดบั้งไฟในการขึ้นบินโปรยสารฝนหลวงเช่นกัน โดยมองว่าวิวัฒนาการบั้งไฟถูกพัฒนาไปมาก จากเมื่อก่อนยิงสูงสุดได้แค่ 6,000-7,000 ฟุต แต่พอมาปัจจุบันนี้มีการยิงบั้งไฟสูงขึ้นถึง 10,000-12,000 ฟุต และมีบางครั้งขึ้นไปสูงสุดถึง 15,000 ฟุตทีเดียว ทำให้เกิดอันตรายกับเครื่องบินที่ปฏิบัติการ ทั้งเครื่องบินฝนหลวง เครื่องบินทหาร แม้กระทั่งเครื่องบินโดยสารของสายการบินต่างๆ
"ระยะหลังมีการจุดบั้งไฟถี่มากขึ้น ในสมัยก่อนการจุดบั้งไฟจะไม่มีการแจ้งเจ้าหน้าที่กองบังคับการบิน แต่ปัจจุบันดีขึ้น ยังมีการแจ้งเข้ามาบางจุด เนื่องจากมีการรณรงค์ให้คนในพื้นที่ ทำให้ปัญหากระทบการบินก็เริ่มดีขึ้น สำหรับตัวเครื่องบินเองไม่สามารถตรวจจับสิ่งแปลกปลอมบนท้องฟ้าอย่างบั้งไฟได้ เพราะวัสดุที่ใช้ทำเป็นวัสดุพื้นบ้านอย่างท่อพีวีซีและไม้ไผ่ และสิ่งที่เป็นปัญหาคือชุมชนไม่สามารถควบคุมทิศทางของบั้งไฟว่าจะให้ไปทิศทางไหน ซึ่งหากเบี่ยงเข้าไปหาเครื่องบินก็ไม่สามารถควบคุมได้"
ร.อ.อดิศักดิ์ มองว่า ถ้าหากเกิดความเสียหายจากสาเหตุบั้งไฟชนกับเครื่องบิน จะทำให้เครื่องบินเกิดปัญหาและมีโอกาสตกลงมาแน่นอน จึงอยากฝากให้ชุมชนที่จะจุดบั้งไฟได้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อให้หลีกเลี่ยงเส้นทาง ให้เป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น จะได้ไม่เกิดความสูญเสียและความเสี่ยง
ด้าน นายนิสิต สมบัติ ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานนานาชาติ จ.อุบลราชธานี กล่าวถึงมาตรการเข้มงวดการยิงบั้งไฟในเส้นทางการบิน โดยตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา การท่าอากาศยานนานาชาติ จ.อุบลราชธานี ได้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ตั้งอยู่ในเส้นทางการบินอีสานใต้ ต้องแจ้งวัน เวลา สถานที่ ยิงบั้งไฟให้สนามบินทราบก่อนยิงไม่น้อยกว่า 3 วัน เพื่อแจ้งให้นักบินใช้ความระมัดระวัง
สำหรับจุดที่ห้ามยิงบั้งไฟอย่างเด็ดขาดคือ รัศมี 5 กิโลเมตรรอบสนามบิน เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวของเครื่องบินตลอดเวลา ทำให้เกิดอันตรายได้ง่าย
"สำหรับการจุดบั้งไฟประเพณีประจำปี 2558 ยังไม่มีนักบินพบเห็นบั้งไฟขึ้นมาในรัศมีทำการบิน ต่างจากปีที่แล้ว ซึ่งมีนักบินเครื่องบินเล็กพบเห็นบั้งไฟถูกยิงเข้ามาใกล้รัศมีการบินในแถบยโสธรและร้อยเอ็ด" นายนิสิต ให้ข้อมูล
เช่นกันกับที่ จ.อุดรธานี นายนพวัชร สิงห์ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ได้ออกมาตรการเด็ดขาดเข้มงวดเรื่องบั้งไฟเช่นกัน โดยเฉพาะการขออนุญาตและการแอบจุดเพื่อเล่นพนัน โดยกำชับให้อำเภอและหน่วยงานปกครองในพื้นที่เข้มงวดใกล้ชิด เพราะสนามบินอุดรธานีมีเครื่องบินขึ้นลงวันละ 27 เที่ยว ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ทั้งนี้ ได้ประกาศแจ้งเตือนให้ใช้วัสดุทำบั้งไฟจากธรรมชาติ ต้องทำสัญลักษณ์แสดงการเป็นเจ้าของให้ชัดเจน เพื่อสะดวกแก่การตรวจสอบและระยะสูงของบั้งไฟพุ่งขึ้นไปต้องไม่เกิน 5,000 ฟุต ส่วนผู้แทนหมู่บ้านหรือชุมชนที่จะจุดบั้งไฟทุกครั้งต้องประสานกับอำเภอแจ้งไปยังท่าอากาศยานหรือศูนย์ควบคุมการบินที่ใกล้กับบริเวณพื้นที่จุดบั้งไฟล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน โดยกำหนด วัน เวลา และสถานที่ พร้อมด้วยหมายเลขโทรศัพท์ผู้ประสานงานที่ติดต่อได้อย่างน้อย 2 หมายเลข และห้ามจุดบั้งไฟในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศ เช่น บริเวณรอบๆ ท่าอากาศยาน โดยเฉพาะเขต อ.ประจักษ์ศิลปาคม อ.กุมภวาปี ที่เป็นเขตแนวเครื่องบินขึ้นลง นอกจากนี้ผู้ประสานงานการจุดบั้งไฟ ต้องแจ้งให้หอบังคับการบินทราบทันทีก่อนจะจุดบั้งไฟ และต้องเฝ้าติดตามการติดต่อจากหอบังคับการบินตลอดเวลาในการจุดบั้งไฟ
ส่วนมุมมองของผู้ผลิตบั้งไฟอย่าง นายอดุลย์ วงษ์แหวน ช่างทำบั้งไฟกือที่แรกของประเทศไทย ชาว อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร บอกว่า การทำบั้งไฟกือจะทำยากกว่าบั้งไฟธรรมดา และยากกว่าบั้งไฟล้าน เพราะต้องใช้จำนวนคนทำที่มากกว่า น้ำหนักก็จะเยอะกว่า 600-700 กิโลกรัม โดยต้องมีการคำนวณว่าความแรงจะต้องมากเท่าไหร่ ขนาดของรูต้องกว้างเท่าไหร่ เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด หลังจากนั้นก็จะเป็นการทำเหมือนบั้งไฟทั่วไป แต่ถ้าพูดถึงความอันตรายของบั้งไฟกือ ก็ถือว่าอันตรายมาก เพราะหากทำไม่ได้มาตรฐานก็ถือว่าเป็นอันตรายทั้งสิ้นถ้าหากเกิดการระเบิดขึ้นมา
"ส่วนระยะทางของบั้งไฟกือ ขนาดยิงยาวขึ้นฟ้าจะอยู่ในราวไม่ต่ำกว่า 10 กิโลเมตร แต่พื้นที่ที่จะจุดบั้งไฟขนาดใหญ่นี้ หากอยู่ใกล้สนามบินจะรบกวนการบินแน่นอน ฉะนั้นคนในพื้นที่ต้องแจ้งกับสนามบินก่อนที่จะทำการจุด หรือหากเจ้าหน้าที่ห้ามไม่ให้จุดต้องเชื่อฟัง เพราะบั้งไฟทั้งขนาดใหญ่และเล็กก็มีความเสี่ยงต่อสายการบินที่บินผ่านพื้นที่ แต่ว่าที่ จ.ยโสธร ถูกห้ามไม่ให้จุดบั้งไฟกือแล้ว เพราะเป็นเส้นทางของสายการบินหลายสายที่จะไปต่างประเทศ"
ช่างทำบั้งไฟผู้นี้ บอกด้วยว่า สมัยก่อนจุดบั้งไฟถึงปีละ 60 บั้ง แต่พักหลังมาถูกลดจำนวนลง ปีนี้ จ.ยโสธร ให้มีการจุดบั้งไฟเพียง 28 บั้ง และยังต้องลดขนาดลงมาไม่ให้ถึงขนาดของบั้งไฟแสน จากแต่ก่อนทำขนาดบั้งไฟ 6 นิ้ว ก็ต้องลดขนาดลงมาเหลือ 5 นิ้ว และมีการเน้นบั้งไฟติดร่ม คล้ายกับบั้งไฟญี่ปุ่นให้ติดร่มเพื่อความปลอดภัย หากมีบั้งไฟตกลงมาถูกบ้านเรือนประชาชน
นี่คืออีกหนึ่งประเพณีของคนไทย ที่มีการพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง แต่พัฒนาการนี้กลับส่งผลกระทบกับอากาศยานที่อยู่บนฟ้า และหากไม่มีการดูแลและเข้มงวดกันอย่างจริงจัง ปัญหาบั้งไฟกับการบินก็คงจะเป็นปัญหาเรื้อรังที่แก้ไม่ตก เพราะบั้งไฟก็เหมือนขีปนาวุธดีๆ นี่เอง แต่ไร้ทิศทาง ไร้การควบคุม ซึ่งยากจะรับมือได้ หากไม่ให้ความร่วมมือแจ้งสถานที่จุดบั้งไฟเพื่อให้นักบินหลบเลี่ยง