
ขุดหลุมกุโบร์ร้างสงขลาพบ6ศพคาดโรฮิงญา
ขุดหลุมกุโบร์ร้างสงขลาพบ6ศพคาดโรฮิงญา แฉมีจนท.รัฐเอี่ยวผลประโยชน์หลายหน่วยงาน หมอนิรันดร์แนะใช้ม.44จัดการปัญหาค้ามนุษย์
เมื่อเวลา 10.00น. วันที่ 6 พ.ค.2558 พ.ต.อ.ตรีวิทย์ ศรีประภา รองผบก.ภ.จว.สงขลา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิมิตรภาพสามัคคี (ท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง) หาดใหญ่เดินไปไปยังพื้นที่บริเวณสุสานหรือกุโบร์เก่า หมู่ที่ 8 ชุมชนเกาะใหญ่ บ้านตะโละ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา เพื่อขุดพิสูจน์หลุมต้องสงสัยจำนวน 8 หลุมที่ชาวบ้านให้ข้อมูลว่ามีการลักลอบนำศพมาฝัง เนื่องจากพื้นที่กุโบร์ดังกล่าวเป็นกุโบร์ร้างที่ชาวบ้านไม่ได้ใช้ประโยชน์มาเป็นเวลานานกว่า 30 ปี โดยขณะที่เจ้าหน้าที่ลงมือบขุดหลุมพิสูจน์นั้นได้เชิญโต๊ะอิหม่านเข้ามร่วมเป็นพยานในครั้งนี้ด้วย โดยมีแพทย์จากโรงพยาบาลปาดังเบซาร์เข้ามาร่วมชันสูตรศพและจากการตรวจสอบพบศพซึ่งอยู่ในสภาพเป็นโครงกระดูกทั้งหมด 6 หลุมจาก 8 หลุม ในจำนวนนี้เป็นผู้หญิง 4 รายและผู้ชาย 2 ราย
พ.ต.อ.ตรีวิทย์ เปิดเผยว่า สำหรับพื้นที่ดังกล่าวที่ตรวจสอบและขุดพบศพนำไปตรวจสอบในครั้งนี้เป็นพื้นที่ตำบลตะโละและอยู่บริเวณใกล้ชุมชนด้านล่างของเทือกเขาแก้ว ซึ่งเมื่อมีการตรวจสอบพบสิ่งผิดปกติก็จำเป็นต้องดำเนินการขุดเพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงว่าศพหรือหลมที่พบมีที่มาที่ไปอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อผู้นำชุมชนยืนยันว่าคนในหมู่บ้านไม่ได้ใช้ประโยชน์จากกุโบร์แห่งนี้นานกว่่า 30 ปี แต่กลับปรากฎว่าพบหลุมฝังศพที่มีสภาพใหม่ ทำให้ต้องตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ซึ่งทุกขั้นตอนการขุดนั้นได้ดำเนินการตามขั้นตอนตามหลักกฎหมายและวิทยาศาสตร์ครบทุกขั้นตอนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา อีกทั้งโต๊ะอิหม่มในพื้นที่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซึ่งหลังจากพบศพ 6 ศพจาก 8 หลุมแล้วจะได้นไไปตรวจสอบที่โฌรงพยาบาลสงขลานครินทร์ต่อไปว่าผู้ที่เสียชีวิตเป็นใครและใช่โรฮิงญาหรือไม่
“ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นโรฮิงญาหรือไม่ แต่ที่แน่ๆไม่ใช่คนในชุมชนแต่กลับมีการลักลอบนำศพมาฝัง ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นโรฮิงญาซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบหาข้อเท็จจริงต่อไป ”รองผบก.กล่าว
ด้านนายอับดุลเลาะ ใจดี อายุ 38 ปี โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดบ้านตะโล๊ะที่เข้าร่วมตรวจสอบครั้งนี้ กล่าวว่า ชาวบ้านได้ย้ายกุโบร์ไปยังสถานที่ใหม่นานแล้วและที่จุดนี้ก็ถูกปล่อยร้างไว้ กระทั่งมีการตรวจสอบพบหลุมฝังศพและเปลลำเลียงคนเจ็บถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ด้วย จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพราะเชื่อว่าอาจจะเป็นการลักลอบนำศพกลุ่มชาวโรฮิงญามาฝังในพื้นที่
นำตัวสองผู้ต้องหาฝากขัง
ที่สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประชุมมอบนโยบายแนวทางปฏิบัติและกำชับไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม พร้อมกับมีเปิดศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค9 ส่วนหน้าซึ่งตั้งขึ้นที่ห้องประชุมชั้น3 ของสภ.หาดใหญ่ เพื่อเป็นศูนย์บูรณาการร่วมในการคลี่คลายคดีทั้งภาค8 และภาค9 ทั้งกรณีการเรียกค่าไถ่ที่จ.นครศรีธรรมราช และกรณีโรฮิงญาในพื้นที่ชายแดนไทยมาเลเซีย ซึ่งจะมีการเปิดแถลงข่าวความคืบหน้าทุกวันในเวลา 9.30 น.ทั้งสื่อมวลชนไทยและสื่อมวลชนต่างประเทศเพื่อให้ข้อมูลที่ออกไปถูกต้องตรงกัน
ส่วนความคืบหน้าของคดีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดว่า เจ้าหน้าที่ยังคงเร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาอีก 3 คนที่ยังไม่ได้เข้ามอบตัวและจะสืบสวนขยายผลไปยังตัวการใหญ่ซึ่งปัญหาการค้ามนุษย์จะต้องหมดไปภายใต้แผนยุทธการปิดพื้นที่ปลายทางบริเวณชายแดนไทยมาเลเซียจ.สงขลาซึ่งเป็นแหล่งพักพิงสุดท้ายของชาวโรฮิงญาและบังคลาเทศก่อนที่จะส่งไปยังประเทศที่ 3 ส่วนกรณีที่มีการออกหมายจับทหาร2 นายที่เรียกค่าไถ่นายหน้าค้าชาวโรฮิงญารองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเผยสั้นๆว่าว่ายังไม่ทราบในเรื่องนี้ โดยหลังการประชุมทางรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ลงพื้นที่จ.สตูล เพื่อมอบแนวทางการแก้ปัญหาชาวโรฮิงญา
ด้าน ตำรวจ สภ.ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ได้ควบคุมตัว นายร่อเอน สนยาแหละ และนายอาหลี ล่าเม๊าะ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่8 ต.ปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็น 2ใน5 ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในคดีโรฮิงญา จากที่ถูกออกหมายจับ8 คน ข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ร่วมกันเรียกค่าไถ่ ไปฝากขังผลัดแรกที่ศาลจังหวัดนาทวีเป็นเวลา12 วัน และคัดค้านการประกันตัว และจากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองคนยอมรับสารภาพแล้ว โดยนายร่อเอน ทำหน้าที่ส่งเสบียงให้โรฮิงญาบนยอดเขาแก้ว ส่วน นายอาหลี ทำหน้าที่ดูต้นทางความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่และรวมกันทำมานานประมาณ1 ปี นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าผู้ต้องหาที่ยังคงหลบหนีอีก 3 คน คือ นายประสิทธิ์ เหล็มเหล๊ะ รองนายกเทศมนตรีเมืองปาดังเบซาร์ นายพรรคพล เบ็ญล่าเต๊ะ และนายเจริญ ทองแดง มีรายงานว่าได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวแล้วเช่นกัน
แฉมีจนท.รัฐเอี่ยวผลประโยชน์หลายหน่วยงาน
นายโจจา ชาวโรฮิงญาหรืออาระกัน ที่อาศัยอยู่ในตำบลบางริ้นอ.เมือง จ.ระนองมานานกว่า 20 ปี กล่าวว่า ทุกวันนี้พวกผม(หมายถึงชาวโรฮิงญา) ต้องจ่ายเล็กจ่ายน้อยให้กับเจ้าหน้าที่ทุกเดือน เพื่อแลกกับการที่ไม่ต้องถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง ทำให้ชาวโรฮิงญาหลายคนจึงพยายามดิ้นรนทุกวิถีทาง แม้กระทั่งยอมจ่ายเงินให้กับนายหน้าที่อ้างว่า นำไปให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อดำเนินการให้ได้ซึ่งบัตร ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีบัตร 2 ลักษณะที่ จ.ระนอง ออกให้กับคนต่างด้าวบัตรแรกเป็นบัตรอนุญาตชั่วคราว สำหรับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย (บัตรคล้องคอ) ซึ่งหลายคนไปขึ้นทะเบียนและได้มา เพื่อที่จะไม่ถูกจับกุม
ปัจจุบันบัตรดังกล่าวนี้ ได้เลิกใช้แล้วอีกบัตรที่เป็นที่ต้องการของหลายๆคน เนื่องจากมองว่าเป็นบัตรที่มีสถานะดีกว่านั่นคือบัตรไทยพลัดถิ่น ซึ่งเป็นบัตรประชาชนชนิดหนึ่งที่แสดงความเป็นคนไทยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 ซึ่งหากใครได้บัตรนี้ประวัติการเป็นโรฮิงญาก็จะถูกลบออกจากสารบบ กลายเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ มีสิทธิขั้นพื้นฐานเฉกเช่นคนไทยทั่วไป จะเดินทางไปไหน จะประกอบอาชีพอะไร ศึกษาที่ไหนก็ได้ หรือมีสิทธิแม้กระทั่งเป็นเจ้าของที่ดิน ที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นที่ต้องการของชาวโรฮิงญามาก
นายอารีย์ อายุ 54ปี ชาวโรฮิงญาอีกราย กล่าวว่า ตนเองกับภรรยาได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยเข้ามาทาง อ.แม่สอด จ.ตาก จากนั้นได้อพยพเรื่อยมาจนมาตั้งรกรากที่ จ.ระนอง และมีลูกด้วยกันถึง 8 คน และเมื่อทราบว่า ทางการไทยมีการเปิดทะเบียนให้มีการขึ้นทะเบียนคนไทยพลัดถิ่นเมื่อปี 2551 ได้มีผู้แนะนำให้ไปขึ้นทะเบียน และผ่านขั้นตอนต่างๆ (ที่ต้องมีการจ่ายเงินให้กับ จนท.รัฐ)จนได้รับบัตรไทยพลัดถิ่น ซึ่งดีใจมากและจะไม่ขอกลับไปยังประเทศพม่าอีกแล้ว ขออาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทยสุขสบายดี คนไทยใจดี
เช่นเดียวกับ นางซากี(ชาวโรฮิงญา อาศัยใน จ.ระนอง) กล่าวยอมรับว่า รู้ว่าการขอบัตรไทยพลัดถิ่นแท้จริงชาวโรฮิงญาไม่มีสิทธิใดๆ แต่ที่ได้มาต้องแลกกับการต้องจ่ายผลประโยชน์ให้กับนายหน้าซึ่งเป็นชาวแขกกะลา ที่อ้างว่ารู้จักเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยที่สามารถดำเนินการออกบัตรให้ได้ ซึ่งต้องจ่ายเงินกว่า 30,000 บาท เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ไม่ทราบว่านายหน้าคนดังกล่าวไปจ่ายให้ใครที่ไหนบ้าง ซึ่งในที่สุดก็ได้บัตร และทำให้มีสิทธิต่างและสามารถอยู่บนผืนแผ่นดินไทยได้อย่างปลอดภัยจะไปไหนมาไหนได้โดยเสรีไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆอีกต่อไป
ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจังหวัดระนอง รายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า การแสวงหาผลประโยชน์กับชาวโรฮิงญาในทางทะเบียนราษฏร์ด้วยการนำชาวโรฮิงญามาสวมบัตรไทยพลัดถิ่นเคยเกิดขึ้นและปรากฏเป็นข่าวโด่งดังเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งมีข้าราชการระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้องจนถูกตั้งคณะกรรมสอบสวนและถูกตัดสินว่ามีความผิดจนถูกไล่ออกจากราชการ แต่ในระยะหลังนั้นยากที่จะมีคนโรฮิงญาเข้ามาสวมบัตรไทยพลัดถิ่นได้ เพราะกระบวนการไต่สวนให้ได้มาซึ่งสถานะความเป็นคนไทยนั้นค่อนข้างซับซ้อนมีผู้รับรอง มีแผนผังเครือญาติ รวมทั้งการตรวจดีเอ็นเอ ส่วนการจ่ายผลประโยชน์อื่นๆให้ จนท.รัฐบางหน่วยงานเพื่อแลกกับการไม่ถูกจับกุมนั้นไม่ทราบว่ายังมีอีกหรือไม่เพราะปัจจุบันชาวโรฮิงญาที่อาศัยใน จ.ระนองมีการอพยพโยกย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากในประเทศที่สามจนเกือบหมดแล้ว
ตร.คุ้มครองผู้เสียหาย-พยานคดีโรฮิงญา
นายโซฟี มูฮัมหมัด ล่ามแปลภาษาชาวโรฮิงญา ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราชระบุว่า ขณะนี้ได้รับแรงกดดันจากหลายฝ่ายหลังจากที่สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งออกอากาศไปในทำนองว่าเป็นพยานในคดีการเรียกค่าไถ่ และค้นพบศพในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ทั้งที่ไม่ใช่พยาน แต่เป็นแค่ล่ามที่ได้รับการรับรองให้แปลภาษาชาวโรฮิงญาเท่านั้น ซึ่งได้พยายามชี้แจงทำความเข้าใจกับทางการ
และล่าสุดมีรายงานว่า นายกูราเมีย น้าชายของเหยื่อเรียกค่าไถ่ที่ถูกสังหารบนเขาแก้ว อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งอาศัยอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยประจักษ์พยานในคดีหลานชายของนายกูราเมียถูกสังหาร ในค่ายกักกันเพื่อเรียกค่าไถ่ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวไปอยู่ในความดูแลตามมาตรการคุ้มครองพยานแล้ว หลังจากที่ทั้งคู่ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเบื้องหลังในคดี
ส่วนความเคลื่อนไหวของขบวนการค้ามนุษย์ที่ก่อนหน้านี้ ได้เริ่มเปลี่ยนเส้นทางมาทางฝั่งอ่าวไทย ได้ยุติการเคลื่อนย้ายชาวโรฮิงญาชั่วคราวหลังจากที่กระแสของการปราบปรามเริ่มหนักขึ้น สอดคล้องกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงระบุว่า เรือขนชาวโรฮิงญาจากรัฐยะไข่ ในประเทศพม่า กำลังลอยลำอยู่นอกน่านน้ำไทยฝั่งอันดามันอย่างน้อย 15 ลำ และเชื่อว่า จะมีชาวโรฮิงญาเสียชีวิตบนเรืออย่างต่อเนื่อง โดยจะถูกนำศพทิ้งทะเล หากมีการสำรวจในระยะนี้จะพบว่ามีศพลอยอยู่กลางทะเลในรอยต่อระหว่างน่านน้ำไทยและพม่าจำนวนมาก.
หมอนิรันดร์แนะใช้ม.44 จัดการปัญหาค้ามนุษย์
คณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งมี นพ.นิรันดร์ วัชระพิทักษ์ เป็นประธานได้ประชุมหารือติดตามการแก้ไขปัญหาชาวโรฮิงญา หลังจากที่มีการพบหลุมศพชาวโรฮิงญาจำนวนมากที่ปาดังเปซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา โดย น.พ.นิรันดร์ เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวทำให้ไม่มีหน่วยงานไหนกล้าปฏิเสธอีกว่า ไม่มีขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศไทย ที่ผ่านมาอนุกรรมการฯได้ติดตามปัญหาต่างด้าวหลบหนีเข้ามาเมืองมาตลอด โดยในกรณีของชาวโรฮิงญาติดตามมาตั้งแต่ปลายปี 2552 และพบว่าการดูแลของภาครัฐมีปัญหาการละเมิดสิทธิของชาวโรฮิงญามาตลอดแม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่การที่พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมืองไม่ได้ระบุถึงสถานะของผู้อพยพทำให้เกิดปัญหา ขณะเดียวกันประเทศต้นทางคือ พม่าไม่ยอมรับว่าชาวโรงฮิงญาเป็นพลเมือง ปัญหาโรงฮิงญาจึงยังดำเนินอยู่เหมือนภูเขาน้ำแข็ง
น.พ.นิรันดร์กล่าวว่า กรณีพบศพที่ปาดังเปชาร์จึงเหมือนฝีที่กลัดหนองมานานแล้วแตกออกที่ประเทศไทย และน่ายินดีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศนโยบายหลักในการที่จะแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ที่เร่งแก้ปัญหานี้ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ต่อไป
น.พ.นิรันดร์กล่าวว่า หลุมศพที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ชัดเจนของการค้ามนุษย์ ว่ามีการทำกันเป็นขบวนการ มีการไปขนชาวโรฮิงญาเข้ามาแลกกับเงินเพื่อช่วยให้เดินทางไปประเทศที่สาม โดยมีข้าราชการหรือผู้นำท้องถิ่นของไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนั้นรัฐบาลต้องตรวจสอบให้มีความชัดเจนเรื่องการเสียชีวิต และเอาคนผิดมาลงโทษ เพื่อตัดกระบวนการการค้ามนุษย์ในประเทศไทย และใช้เรื่องนี้เป็นโอกาสเพื่อแก้ไขปัญหานี้ในระดับภูมิภาค ระดับโลกให้ได้ โดยไทยควรเป็นผู้เริ่มต้นในการหยิบยกเรื่องนี้ไปพูดคุยในเวทีระดับระดับภูมิภาคและระดับโลก เพราะปัญหาไม่ได้เกิดที่ประเทศไทยประเทศเดียว ซึ่งต้องให้ประเทศในภูมิภาคนี้เลิกคิดว่าการพูดถึงปัญหานี้เป็นการแทรกแซงการเมืองในพม่า แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่ทุกข์ยาก ถูกบังคับเอาเปรียบและถูกทำให้ตาย จึงต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาทั้งระบบ
น.พ.นิรันดร์ ยังมองว่า หากรัฐบาลใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวแก้ไขปัญหานี้ โดยเฉพาะอำนาจในทางบริหาร เพื่อจัดการข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่นที่เข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อกำจัดรากเหง้าของปัญหาได้ก็น่าจะถือเป็นเรื่องที่ดีและแก้ไขปัญหาได้ เพราะในระบบราชการเดิม เป็นที่รู้กันว่าเวลาเกิดปัญหาขึ้น การแก้ไข หรือเอาผิดพวกเดียวกันเองก็จะเป็นลักษณะลูบหน้าปะจมูก หรือหลับหูหลับตาตลอดเมื่อข้าราชการด้วยกันทำปิด แต่ไม่ควรใช้อำนาจดังกล่าวในทางตุลาการ เพราะขณะนี้สังคมต้องการเห็นการดำเนินการเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ การจับกุมดำเนินคดี การตรวจพิสูจน์ศพ หรือการตัดสินลงโทษ เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย ถ้ารัฐบาลยึดมั่นในแนวทางนี้ก็จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นทั้งกับคนในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งก็จะมีผลต่อภาพลักษณ์ของไทย