ข่าว

‘งอบไทย’ไปโชว์อิตาลีอลังการงานสร้างศาลาไทยทรง‘งอบ’

‘งอบไทย’ไปโชว์อิตาลีอลังการงานสร้างศาลาไทยทรง‘งอบ’

07 พ.ค. 2558

‘งอบไทย’ไปโชว์อิตาลี อลังการงานสร้างศาลาไทยทรง‘งอบ’ : คมคิดธุรกิจนิวเจน โดยสันทนา รัตนอำนวยศิริ

             ยามชื่นชมสถาปัตยกรรมอันสวยงาม เคยนึกย้อนบ้างไหมว่าใครนะเป็นคนออกแบบ
    
             เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่าผู้ออกแบบงานศิลป์ที่เรากำลังเสพอยู่ที่แท้จริงนั้นคือใคร? เพราะที่ผ่านมาสังคมเมืองไทยยังให้ความสำคัญกับ “สถาปนิก” ผู้อยู่เบื้องหลังความงดงามของสถาปัตยกรรมน้อยเกินไป
    
             แต่จากนี้ไปเมื่อ “ศาลาไทยทรงงอบ” หรือ “ไทยแลนด์ พาวิลเลียน” จะได้ไปผงาดตั้งเด่นอยู่ในงานเอ็กซ์โป มิลาโน 2015 ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี คงจะมีคนไทยและชาวต่างประเทศจำนวนไม่น้อยพากันถามไถ่ว่า ใคร?คือคนออกแบบ  
    
             “ปุ๋ย” สมิตร โอบายะวาทย์ สถาปนิกผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมมากมายในเมืองไทย อาทิ So Sofitel สยามสแควร์วัน โรงละครเวิร์คพอยท์ และสถาปัตยกรรมอีกมากมาย ที่เจ้าตัวบอกว่า เขามีหน้าที่ทำงานให้คนอื่นชอบและมีความสุข คิดแทนคนอื่นว่า ทำแล้วจะดี เหมือนเป็นนักพยากรณ์ว่า ทำออกมาแล้วจะดี คนส่วนใหญ่จะชอบ ลมพัดผ่านเย็นสบาย นั่นคือความสุขของคนเป็นสถาปนิก

             “ผมไม่พยายามทำซ้ำของเดิม ที่แม้ว่าผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าดี คนชอบ แล้วก็ทำซ้ำๆ มันง่ายไป พยายามคิดในสิ่งที่จะเกิดขึ้นใหม่ ถ้าเกิดขึ้นมาแล้ว จะดีหรือเปล่า สถาปนิกต้องเป็นคนที่อ่อนไหวแม้แต่เรื่องเล็กๆ ที่เกี่ยวกับความรู้สึกของคน”
    
             สมิตร โอบายะวาทย์ ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงสถาปนิก และอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของกิจการใหญ่ๆ หลายแห่งรู้จักเขาเป็นอย่างดี แต่...คนไทยส่วนใหญ่...ไม่เคยได้ยินชื่อ
    
             วันนี้...คนไทยและชาวโลกจะต้องจดจำเขาไว้ "สมิตร โอบายะวาทย์" ในฐานะสถาปนิกผู้ออกแบบศาลาไทยทรง "งอบ" ที่ไปตั้งตระหง่านในงานเวิลด์ เอ็กซ์โป 2015 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม-31 ตุลาคม
    
             สมิตร เล่าว่า ได้รับการทาบทามจากรุ่นพี่สถาปัตย์ จุฬาฯ ปัญญา นิรันดร์กุล เจ้าของเวิร์คพอยท์ และ อุปถัมป์ นิติสุขเจริญ ผู้บริหารบริษัท ไร้ท์แมน ที่มารวมตัวกันเป็น “กิจการร่วมค้าเวิร์คไร้ท์” รับจัดงานนิทรรศการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แม่งานหลักของประเทศไทย ในการเข้าร่วมงานเอ็กซ์โป 2015 ที่อิตาลี เพื่อให้ออกแบบอาคารแสดงประเทศไทย (ไทยแลนด์ พาวิลเลียน) ที่จะไปตั้งในงาน โดยยึดแนวคิดหลักของงาน คือ Feeding the Planet, Energy for Life อาหารหล่อเลี้ยงโลก พลังงานหล่อเลี้ยงชีวิต ถือเป็นความภูมิใจอีกครั้งในชีวิตการทำงานสถาปนิก ที่ได้นำเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่กลั่นออกมาจากมันสมองของคนไทยไปโชว์ให้ชาวต่างชาติได้เห็นถึงความสามารถและศักยภาพของคนไทย
    
             “ได้รับโจทย์ว่า เป็นเรื่องของการเกษตร เรื่องอาหารที่กำลังจะหมดไปจากโลก ทำอย่างไรเราจะช่วยกันดูแลฟูมฟักให้มีอาหารประทังชีวิตต่อไปได้ เป็นเรื่องของ Energy for Life ผมก็มาตีโจทย์ว่า ประเทศไทยมีอาหารอุดมสมบูรณ์ และมีบริษัทอุตสาหกรรมอาหารรายใหญ่หลายแห่ง ที่ผ่านมาเป็นเพียงการส่งออกวัตถุดิบ เช่น กุ้ง ข้าว แต่กระทรวงเกษตรฯ อยากยกระดับเป็นอุตสาหกรรมเกษตร มากกว่าแค่การส่งออกวัตถุดิบธรรมดาเท่านั้น เราอยากบอกให้โลกทั้งโลกรู้ว่า ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตอาหาร ไม่ใช่แค่ประเทศทำกสิกรรม เราเริ่มมีอาหารแปรรูป ชื่อของประเทศไทยขายได้ มีความน่าเชื่อถือ ชาวโลกควรจะได้รับรู้ไว้ โดยเฉพาะข้าวไทย ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าดีกว่าข้าวจากประเทศอื่นๆ”
    
             เวลาที่ประเทศไทยไปโชว์ศักยภาพในงานระดับประเทศ มักเป็นศาลาไทย เป็นสัญลักษณ์ที่คนทั่วโลกจดจำประเทศไทยได้ แต่ครั้งนี้ เราจะทำอะไรไม่เหมือนเดิม ซึ่งเป็นเรื่องยาก แต่ผู้บริหารทุกคนต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในงานเวิลด์ เอ็กซ์โป ครั้งนี้ ให้สง่าผ่าเผย สมัยใหม่ โชว์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้อลังการ สมศักดิ์ศรีประเทศไทย เราจะเปลี่ยนจากการใส่ชุดราชปะแตน เป็นใส่สูทให้ทันสมัย แต่คงความเป็นไทยไว้เช่นเดิม ทำไมเป็นงอบ เราตอบได้ ตอบแล้วคนร้อง...อ๋อ ศาลาไทยทรงงอบ สวยได้เหมือนกัน จดจำได้ไม่ยาก  
    
             ศาลาไทยทรงงอบ ในงานเอ็กซ์โป มิลาโน 2015 จะเป็นสัญลักษณ์ของไทยในรูปแบบใหม่ ที่คนทั่วโลกจะได้เห็นและจดจำ เวลาคิด มันยังไม่เกิด ก็หวังว่าจะออกมาดี เวลาจินตนาการก็ต้องต่อสู้กับตัวเองว่า ถ้าเป็นเรา เราจะรู้สึกอย่างไร คนที่เข้าร่วมงานเอ็กซ์โปส่วนมากมักจะตัดสินใจเข้าชมงานในพาวิลเลียนของประเทศต่างๆ จากการตัดสินรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งเราต้องตีโจทย์ให้แตกว่า ทำยังไงถึงจะเชิญชวนให้คนเข้าไปชมด้านในให้ได้ เดิมคิดว่า จะทำเป็นโรงนา แต่โรงนาไทยกับโรงนาฝรั่ง ก็ไม่แตกต่างกันเท่าไร
    
             "ตอนแรกคิดจะทำโรงสีขนาดยักษ์ มีกระต๊อบรายล้อม แต่ดูแล้วไม่โดดเด่นพอที่จะโชว์ความเป็นสัญลักษณ์ได้ บวกกับงบประมาณที่ได้รับมาเป็นตัวกำหนด จึงสรุปออกมาเป็นแค่อาคารเดียว ใช้เวลาคิดงานนี้แค่ 2 ชั่วโมง แต่มีวิธีคิดเยอะ เหมือนเวลาเราดูหนังนักสืบที่ต้องวางแผน โยงเส้นแต่ละส่วนเข้าหากัน เราประชุมกับทีมงาน นั่งดูรูปมากมาย แต่มีรูปๆ หนึ่งที่แชร์กันได้ คือ งอบ ที่ชาวนา ชาวสวนก็ใช้ แม่ค้าก็ใช้ ก็เลยปิ๊งไอเดีย”
    
             งอบ เป็นสัญลักษณ์ที่สวยงาม งานเอ็กซ์โปมีกลางวันกลางคืน มีเรื่องของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง อาคารเดิมมีรูปทรงเป็นกล่องสี่เหลี่ยม เขาจะออกแบบอย่างไรให้งอบไปผสมผสานกับกล่องได้อย่างลงตัว ซึ่งสมิตร บอกว่า อยากขาย "งอบ" อย่างเดียวจบ แต่ภายในงานมีหลายเรื่องที่ต้องการนำเสนอ หากทำงอบกลมๆ อย่างเดียวก็เสียพื้นที่ เขาจึงออกแบบเป็นงอบครึ่งใบกว่าๆ กลืนหายเข้าไปกับกล่อง แล้วก็คิดต่อไปสารพัด คุยกับทีมงานหารายละเอียดว่า ข้างในกล่องมีอะไร คนไทยเวลามีของดีเก็บไว้ที่ไหนบ้าง ต้องคิดสองเรื่องไปพร้อมๆ กัน ก็คิดแตกหน่อไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดกับการเก็บของดีไว้ใต้ ฐานเจดีย์ แต่ถ้าออกแบบมาเป็นฐานเจดีย์อาจจะดูไม่ทันสมัย
    
             มีน้องทีมงานคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ต้องสะท้อนอะไรสิพี่ ฐานเจดีย์ต้องสะท้อนความเป็นวัฒนธรรมไทย หรือสะท้อนอะไรออกมา” เขาบอกว่า งั้นก็สะท้อนเลย สะท้อนคน สะท้อนท้องนา สะท้อนน้ำ โดยใช้วัสดุที่มีการสะท้อน จึงใช้ สเตนเสสมิลเลอร์ ตอนคิด ฟังดูง่ายไหม แต่บางครั้งก็ยาก ไม่ต้องซับซ้อน นี่ล่ะงานสถาปัตยกรรม แต่เราต้องนำมาทำให้เป็นเรื่องราว เวลาใครถาม ก็อธิบายได้ว่า นี่ละฐานเจดีย์ของคนไทยเอาไว้เก็บ "ของดี"
    
             อีกทั้งพื้นฐานของประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เราจึงอยากนำเสนออาคารเชิงสัญลักษณ์ของชาวนาชาวไร่ชาวสวน เพราะ "งอบ" ถือเป็นอาภรณ์ชิ้นหนึ่งใน "ยูนิฟอร์ม" ของเกษตรกรชาวไทยมาแต่โบร่ำโบราณ นอกจากนี้ ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ต่างกัน นั่นคือ "พญานาค" ที่ตอนแรกถูกทักท้วงว่า ทำไมต้องเป็นพญานาค ก็มีการถกเถียงกันอีกว่า ทำไมจะเป็นพญานาคไม่ได้ คนไทยยังมีความเชื่อเรื่องพญานาคอยู่เสมอ ยังรอคอยที่จะได้ดูบั้งไฟพญานาคทุกวันเพ็ญเดือนสิบสอง คนไทยยังมีความเชื่อเสมอว่า พญานาคเป็นผู้ให้น้ำที่ทำให้เกิดความชุ่มฉ่ำอุดมสมบูรณ์ เขาจึงตัดสินใจเลือกพญานาคเป็นส่วนหนึ่งในไทยแลนด์ พาวิลเลียนครั้งนี้
    
             สมิตร ออกแบบให้ทางเดินเข้าศาลาไทยทรงงอบ เป็นลำตัวพญานาคที่กำลังดำผุดดำว่ายในสายน้ำ และจินตนาการให้ส่วนหัวมุดลงไปในน้ำ แต่มีหลายคนเสริมว่า น่าจะมีส่วนหัวพญานาคด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจน จึงเริ่มออกแบบส่วนหัวพญานาคหลายรูปแบบ ทั้งแบบไทยๆ และแบบทันสมัย เพื่อให้ชาวยุโรปที่เข้าชมงานเข้าใจง่าย แต่ไม่ตอบโจทย์ความเป็นไทยเท่าที่ควร ดังนั้น ทุกคนจึงลงความเห็นว่า หัวพญานาค 5 หัวแบบเดิมๆ ไทยๆ นี่แหละ เหมาะสมและสื่อความหมายที่สุดแล้ว
    
             เป็นวิสัยทัศน์ของกระทรวงเกษตรฯ ในการเลือกทำเลสถานที่ตั้ง "ศาลาไทยทรงงอบ" ที่ดีมาก ติดกับซอยที่มีร้านอาหาร และมีคลองอยู่ข้างๆ จะมีคนมานั่งมองศาลาไทยทรงงอบอยู่ตลอดเวลา รูปร่างดีแล้ว รายละเอียดต้องดีด้วย ต้องชักชวนให้คนเข้าไปชมภายใน และได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจกลับไป ศาลาไทยทรงงอบ เริ่มก่อสร้างประมาณเดือนกรกฎาคม 2557 บนเนื้อที่ประมาณ 4,500 ตร.ม. ด้านหน้าแคบ ด้านในกว้าง เหมือนขวานทองของประเทศไทย จำกัดความสูงไม่เกิน 12 เมตร  
    
             อีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กับเรื่องอื่น คือ การรอคอยเข้าชมพาวิลเลียน ในงานเอ็กซ์โป ซึ่งถ้าใครเคยไป จะรู้ว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก พาวิลเลียนของบางประเทศต้องใช้เวลาในการรอเข้าชมนับชั่เวโมง ก็มาตีโจทย์กันอีกว่า จะทำอย่างไรให้การรอคอยไม่น่าเบื่อ งั้นต้องมีการแสดงรูปแบบต่างๆ ให้ชม จึงเป็นที่มาของตลาดน้ำ การโชว์เกี่ยวข้าว และการแสดงอื่นๆๆ
    
             “คิดไว้ถึงขนาดว่า คนรอสามารถไปกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขารอได้เลย แต่ด้วยกฎเกณฑ์ของประเทศอิตาลี เราไม่สามารถทำได้ถึงขนาดนั้น ก็ต้องเปลี่ยนเป็นท้องนา มีร้องรำทำเพลง การแสดงเกี่ยวข้าว ตามสไตล์คุณพระช่วย ซึ่งเป็นคาแรกเตอร์ของผู้จัดงาน จัดแสดงเป็นรอบๆ ไป แค่คิดก็สนุกแล้ว"
    
             ภายใน "ศาลาไทยทรงงอบ" แบ่งออกเป็น 3 โซน โซนแรก เป็นการเล่าเรื่องการเกษตร พูดถึงประเทศไทย ทำเป็นโฮโลแกรมเล่าเรื่องราวต่างๆ โซนที่ 2 เป็นฮอลล์ใหญ่เป็นการจำลองขั้นตอนการผลิตอาหาร มีสายพานวัตถุดิบในการทำอุตสาหกรรมอาหารเรียงเข้ามา มีกลิ่น เสียง เป็นภาพลวง (Illusion) เสมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง เหมือนคนเข้าไปอยู่ในสายพานอาหาร และโซนที่ 3 เป็นโซนที่จัดให้นั่งชมพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เกี่ยวกับการเกษตรล้วนๆ จากนั้น ออกมาพบกับซูเปอร์มาร์เก็ตขายอาหารไทยสำเร็จรูป เป็นการเปลี่ยนความคิดคนว่า อาหารไทยก็ทำสำเร็จรูปได้ นำเข้าอุ่นไมโครเวฟ แล้วกินได้เลย ขายความทันสมัยของอาหารไทย เป็นการขายงานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ระดับหนึ่ง เน้นว่า ระดับหนึ่ง คือสามารถทำให้ทันสมัยมากกว่านี้ก็ได้ แต่เราไม่ทำ เรายังอยากคงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยไว้บ้าง ในแต่ละรอบ แต่ละโซนสามารถจุคนดูได้จำนวน 200 คน วันหนึ่งรองรับคนเข้าชมได้ประมาณ 3,000-4,000 คน ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่จัดแสดง น่าจะมีคนเข้าชมสัก 2-3 ล้านคน
    
             บริษัทผู้รับเหมาอิตาลี ที่ทำงานให้ไทย คือ บริษัท ซีเอ็มซี เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ติดอันดับท็อปเท็นของอิตาลี ทำงานดีมาก รายละเอียดสูงมาก แบบดรออิ้งที่สถาปนิกไทยเขียนไป รายละเอียดยังไม่ครบ เขาไปปรับให้ดีขึ้นและถูกหลักเกณฑ์ของแคว้นลอมบาดี ประเทศอิตาลี ที่เมืองมิลานตั้งอยู่ แม้ว่าระยะเวลาการทำงานที่จำกัด เขาก็เร่งทำกันอย่างเต็มที่
    
             หลังจากจบงานในอีก 6 เดือนข้างหน้า "ศาลาไทยทรงงอบ" หลังนี้ จะถูกรื้อ และนำวัสดุไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะวัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่ สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก เช่น ไม้ที่ใช้นำหลังคางอบ โครงเหล็กที่ไม่มีการอ๊อกเชื่อม สามารถนำไปใช้งานได้หมด วัสดุบางชิ้นสามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้อีก เป็นกฎเกณฑ์ของงานเอ็กซ์โปที่จะต้องสร้างพาวิลเลียนจากวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก หรือนำไปรีไซเคิลได้
    
             ในฐานะผู้ออกแบบ "ศาลาไทยทรงงอบ" สมิตร บอกเล่าถึงความภูมิใจว่า ต้องภูมิใจแน่นอน เพราะงานเอ็กซ์โประดับโลกแบบนี้ ต้องรอคอยถึง 5 ปีจะมีครั้ง และเขาได้รับเกียรติให้เป็นผู้ออกแบบอาคารแสดงประเทศไทยในงานเวิลด์ เอ็กซ์โป เป็น 1 ใน 60 ล้านคนที่ได้รับโอกาสนี้ แต่คงทำได้แค่ครั้งเดียว เพราะอีก 5 ปีข้างหน้า ต้องส่งต่อให้รุ่นน้องทำต่อไป
    
             "อย่าไปหวงความเก่งไว้คนเดียว ผมทำโปรเจกท์ที่ประสบความสำเร็จให้ลูกค้ามาแล้วมากมาย ความภูมิใจของผมก็คือ คนนำโปรเจกท์ของผมไปใช้แล้วมีความสุข แล้วผมก็มีงานทำไปเรื่อยๆ ถ้าผลงานเราออกมาดี ก็จะมีคนมาจ้างเราไปเรื่อยๆ ผมมีความทะเยอทะยานอยากในระดับกลางๆ ไม่คิดจะไปเทียบกับระดับโลก เพราะรู้ว่า สภาวะรอบตัวเรา โอกาส เวลา มีข้อจำกัด ผมไม่คิดใหญ่ ผมไม่ใช่นักการตลาด ผมไม่ใช่นักโฆษณาที่จะคิดแทนคนไทยทั้งประเทศได้ แต่ผมขอทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้ พอดี และเหมาะสมกับเวลา”
 
“อย่าเปลี่ยนตัวเองเสียทั้งหมด”
    
             สมิตร โอบายะวาทย์ ศิษย์เก่าสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ จบปริญญาโทสาขาเดียวกันที่มหาวิทยาลัยมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา และเป็นอุปนายก คณะกรรมการบริหารสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการบริษัท สำนักงานสถาปนิกกรุงเทพ จำกัด (OBA)
    
             สมิตร บอกว่า ส่วนใหญ่คนไทยให้ความสำคัญกับคนเบื้องหน้ามากกว่าคนเบื้องหลัง อย่างสถาปนิกที่ออกแบบสถาปัตยกรรมมากับมือและมันสมอง ถามว่า น้อยใจไหม ก็มีบ้าง แต่อยากให้คนไทยเห็นความสำคัญของคนออกแบบบ้าง เพราะงานแต่ละชิ้น กว่าจะออกมาเป็นรูปร่างอย่างที่เห็น ต้องใช้มันสมอง ต้องใช้เวลา ต้องใช้องค์ประกอบมากมาย กว่าจะออกมาเป็นผลงานแต่ละชิ้น อยากให้คนที่เห็นสถาปัตยกรรมแล้วร้อง อ๋อ...! สถาปนิกชื่อนี้เป็นคนออกแบบ ไม่ใช้นึกได้แต่ว่า ห้างนี้เป็นของใคร อาคารนี้เจ้าของคือใคร...เท่านั้น
    
             บางประเทศให้ความสำคัญกับสถาปัตยกรรมมาก แม้แต่คนขับรถแท็กซี่ยังรู้ว่า ต้องการดูงานสถาปัตยกรรมของสถาปนิกชื่อนี้ จะหาดูได้ที่ไหน หรืออาคารอันสวยงามแห่งนี้ ใครเป็นคนออกแบบ ผมก็ได้แต่ฝันว่า สักวันเมืองไทยจะเป็นเช่นนั้นบ้าง อย่างน้อยก็ถือเป็นกำลังใจของคนทำงานเบื้องหลัง คือ สถาปนิกอย่างพวกเขา แต่การออกแบบไทยแลนด์พาวิลเลียนครั้งนี้ เขาต้องคิดแทนคนยุโรปว่า จะชอบสถาปัตยกรรมที่เราออกแบบมาไหม จะมีคนเข้าชมมากไหม
    
             “วิถีชีวิตผมเป็นคนเมืองมากๆ ใส่แต่หมวกแก็ป แต่พอได้ใส่งอบแล้ว เออ...เวิร์กจริงๆ ใช่เลย ไม่ร้อน รู้สึกสบาย จึงเป็นที่มาของศาลาไทยทรงงอบ ที่ไปอวดโฉมความยิ่งใหญ่อลังการในงานเอ็กซ์โป มิลาโน 2015 ประเทศอิตาลี"
    
             สมิตร ให้คำจำกัด “ไทยแลนด์ พาวิลเลียน” ทรงงอบ ว่า เป็นก้าวสำคัญของเมืองไทย ที่จะก้าวไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งสังคม นวัตกรรม ก้าวข้ามขนบธรรมเนียมเดิม ต้องขอชื่นชมผู้ใหญ่ในกระทรวงเกษตรฯ ที่ใจกว้างเปิดรับความคิดด้านสถาปัตยกรรมใหม่ๆ ให้ก้าวไปเดินขนานกับนานาประเทศ เราควรจะพูดเรื่องเดียวกับคนอื่น
    
             อยากให้คนไทยมองสถาปัตยกรรมด้วยความหวงแหน การสร้างอะไรสักชิ้น ยิ่งเป็นอาคารสาธารณะ ยิ่งมีผลกับเมือง อย่าเดินตามๆ กันมากนัก ต้องเป็นตัวของตัวเอง สถาปัตยกรรมเดิมๆ ที่มีอยู่ อย่าทุบทิ้ง เพราะทุบทิ้งไปก็เป็นขยะ ที่สำคัญ สถาปัตยกรรมเดิมๆ มีความสวยในตัวอยู่แล้ว ทุบทิ้งไปสร้างของใหม่ขึ้นมา ก็สร้างได้ไม่สวยเท่าของเดิม เรื่องของการอนุรักษ์ ไม่ใช่เรื่องของความเชย แต่เป็นเรื่องของการสร้างมูลค่าให้แก่เมือง
    
             สถาปัตยกรรมมีความสำคัญกับเมืองมาก อย่างกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ ไปต่อไม่ได้แล้ว เพราะเมืองมันเละจากองค์ประกอบหลายอย่าง ของเก่า สถาปัตยกรรมเก่าๆ เป็นตัวแทนของกาลเวลา ณ วันนั้น ยกตัวอย่างสถานีรถไฟมักกะสันที่มีสถาปัตยกรรมดีๆ มากมาย แต่ถูกทุบทำลายเพื่อสร้างศูนย์การค้า หรือหน่วยงานราชการที่ทุบอาคารเก่า เพื่อสร้างอาคารใหม่ให้ทันสมัย
    
             สมิตร ฝากทิ้งท้ายว่า คิดเยอะๆ ว่า อะไรมีค่า อะไรไม่มีค่า สร้างอะไรที่ไม่มีค่าในสมัยนี้จะอยู่นาน เพราะอาคารส่วนใหญ่สร้างสูงๆ มีหลายชั้น ทุบยาก แต่อาคารสมัยก่อน ทุบง่าย เพราะมีแค่ 3-4 ชั้น แต่มีคุณค่าทางจิตใจเยอะ ดังนั้น จะทำอะไร คิดให้ดีก่อน