
จากตำราสู่ธุรกิจร้อยล้านปั้นเครื่องสำอางไทยโกอินเตอร์
จากตำราสู่ธุรกิจร้อยล้าน ปั้นเครื่องสำอางไทยโกอินเตอร์ : คมคิดธุรกิจนิวเจน โดยณัฎฐ์ชิตา เกิดแดง
จากเด็กหนุ่มวัย 19 ปี ที่เรียนจบทางด้านกฎหมาย แต่ไม่ต้องการทำงานด้านกฎหมาย จึงเลือกเรียนต่อด้านธุรกิจการตลาด เอ็มบีเอ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง และจากการวางแผนธุรกิจในวิชาที่เลือกเรียนนั่นเอง คือจุดเริ่มต้นของบริษัท Ireal Plus ผู้รับผลิตเครื่องสำอางแบบครบวงจรมูลค่านับร้อยล้านบาท ของ "พัชรพล สุทธิธรรม" หรือ ไทด์ หนุ่มน้อยเจ้าของธุรกิจวัย 24 ปี
ไทด์เล่าว่า ตอนที่อาจารย์ให้วางแผนธุรกิจกับกลุ่มเพื่อนรวม 10 คน ก็คิดว่าน่าจะสร้างแบรนด์เครื่องสำอาง เพราะเป็นธุรกิจที่น่าจะมีโอกาสเติบโตสูงและมีข้อมูลเชิงวิเคราะห์ว่าธุรกิจความงามเป็นธุรกิจดาวรุ่ง มีแต่ขาขึ้นเพียงแต่จะขึ้นมากหรือน้อย เห็นได้ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่รักสวยรักงาม ยอมลงทุนจ่ายเงินมากกว่า 50% ไปกับเรื่องความงาม ขณะที่ผู้ชายในปัจจุบันก็หันมาดูแลตัวเองกันมากขึ้น ใช้เครื่องสำอางกันมากขึ้น หรือแม้แต่เด็กก็เริ่มใช้ครีมบำรุงผิวตั้งแต่เข้าโรงเรียนชั้นประถม ที่สำคัญประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งด้านความงามในอาเซียน หลังจากการเข้าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ตลาดก็เปิดกว้างขึ้นอีก
“ผมกับเพื่อนออกแบบแบรนด์ IREAL ทำแพ็กเกจจิ้ง โลโก้เป็นรูปต้นไม้ ซึ่งก็เอามาใช้ถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นคิดแค่ว่าเป็นการจำลองธุรกิจส่งอาจารย์ พอเรียนจบก็ไม่มีใครสนใจ ผมมองว่าน่าจะลองเอามาใช้จริงทำจริงดู จึงไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทเองตั้งแต่อายุ 20 ปี เพราะบรรลุนิติภาวะแล้ว ตอนนั้นจดทะเบียนตั้งบริษัทไม่ได้ใช้เงินมาก แค่หลักพันหลักหมื่นบาทเท่านั้น ก็ตั้งทีเดียว 2 บริษัท คือ ไอเรียลพลัส เป็นบริษัทรับผลิตสินค้า และอีกบริษัทคือ ไอแคร์ยู ทำหน้าที่ดูแลแบรนด์ IREAL เหตุที่แยกบริษัทกันก็เป็นเรื่องทางบัญชี”
อย่างไรก็ตาม ตอนก่อตั้งบริษัทตั้งใจจะทำสินค้าแบรนด์ของตัวเองมากกว่ารับผลิต จึงไปปรึกษากับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงการพาณิชย์ ซึ่งขณะนั้นมีโครงการต้นกล้าทูโกลด์ เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่จะส่งออกไปตลาดโลก จึงไปสมัครและเอาแผนธุรกิจไปยื่นก็ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการและได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดีตั้งแต่การออกแบบแพ็กเกจจิ้ง วางแผนการตลาด เชิญคณะอาจารย์ระดับดอกเตอร์จากมหาวิทยาลัยดังๆ มาช่วยวางแผนการตลาด โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 400 ล้านบาทต่อปี พร้อมทั้งนำสินค้าไปทดลองขายในต่างประเทศ โดยประเทศแรกคือ กัมพูชา เป็นการไปออกงานแสดงสินค้ากับทางกรมและได้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่กัมพูชาเป็นรายแรก
ไทด์ มองว่า สาเหตุบริษัทได้รับเลือกเป็น 1 ใน 15 บริษัทที่เข้าร่วมโครงการของกรม เพราะมองเห็นความตั้งใจจริงของเขา มีการนำแผนธุรกิจจากห้องเรียนมาต่อยอด เรียกว่าไม่ได้ไปแบบมือเปล่า และอาจเห็นว่าเป็นวัยรุ่นไม่มีประสบการณ์จึงต้องการสนับสนุนเด็กหน้าใหม่ ซึ่งโครงการของกรมดีมาก มีการสอนถึงการทำธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเจาะลึก โดยนำแผนธุรกิจมากางให้ปฏิบัติจริง หลังจากวางยุทธศาสตร์เสร็จ ทั้งออกแบบแพ็กเกจจริง ผลิตสินค้า จนถึงพาไปทดลองขายสินค้าจริงที่ต่างประเทศ ซึ่งสิ่งที่ยากคือ กระบวนการผลิตสินค้าที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงในการจัดหาเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ
การเริ่มต้นธุรกิจของเขานั้นถือว่า เริ่มจากศูนย์อย่างแท้จริง ต้องขอกู้เงินจากธนาคาร แต่ความที่อายุน้อยในมือมีแค่แผนธุรกิจไปยื่นขอสินเชื่อเพื่อสร้างโรงงานผลิต โดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอื่นใด เรียกว่ามีเพียงกระดาษและความตั้งใจเท่านั้น จึงแน่นอนว่าแบงก์หลายแห่งปฏิเสธที่จะให้สินเชื่อ จนสุดท้ายไปปรึกษากับผู้จัดการธนาคารกรุงไทย สาขา อตก. ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยปฏิเสธการปล่อยกู้มาแล้ว แต่บังเอิญว่าสาขานี้ได้เปลี่ยนแปลงผู้จัดการคนใหม่ ที่เข้ามารื้อการยื่นกู้เก่าๆ มาตรวจดู แล้วสะดุดกับโครงการของเขา โครงการของเด็กที่กล้าขอกู้เงิน 5 ล้านบาท จึงเรียกไปคุยรายละเอียด
“ตอนคุยกัน ผมเปิดใจกับผู้จัดการหนุ่ยว่า เราตั้งใจจริง เรียนอะไรมาเคยทำอะไรเล่าให้ฟังหมด บังเอิญผมเป็นเด็กกิจกรรม เป็นประธานนักเรียน ซึ่งท่านก็เป็นเด็กกิจกรรมเหมือนกันเลยเข้าใจว่าเราเคยบริหารงาน บริหารคนมา จึงแนะนำให้ไปหา บสย. เข้ามาช่วยค้ำประกัน จึงได้เงินกู้ก้อนแรกในชีวิตมา 5 ล้านบาท ดีใจมากเอามาลงทุนซื้อเครื่องจักร ซื้อวัตถุดิบ ชักชวนคุณน้าที่มีความรู้ด้านเครื่องสำอางมาช่วย ส่วนโรงงานก็ใช้พื้นที่ในบ้านย่านปทุมธานีกันส่วนของโรงรถมาทำ”
ไทด์ เล่าว่า หลังจากผลิตสินค้ากลุ่มทำความสะอาดผิวทั้งสบู่ โฟม เจลล้างหน้า เซรั่มช่วยให้ผิวกระจ่างใส โทนเนอร์ ครีมกันแดด ก็ขยายเพิ่มเรื่อยๆ ช่วงแรกธุรกิจโตเร็วมาก ผลิตได้ก็ส่งออกไปขายต่างประเทศทั้งหมด เริ่มจากกัมพูชาจากนั้นขยายไปลาว พม่า ออสเตรเลีย จีน และจากสินค้าที่ไม่ได้ใช้โนว์ฮาวมากก็ขยับขึ้นไปกลุ่มที่ต้องมีการคิดค้นสูตรพิเศษต่างๆ จึงเชิญนายกสมาคมเภสัชกรรมชุมชนประเทศไทยมาช่วยคิดค้นสูตรสินค้าใหม่ๆ โดยจุดเด่นของ IREAL จะใช้วัตถุดิบจากธรมชาติเป็นหลัก
เขาคิดว่าเครื่องสำอางในตลาดมีมากต้องทำให้แตกต่างเลยเอาแนวคิดจากตำราของคุณบัณฑิต อึ้งรังสี มาใช้ คือต้องคิดใหญ่และทลายข้อจำกัดให้ได้ โดยโจทย์ที่มีอยู่ต้องทลายข้อจำกัดให้ได้ คนอื่นก็ผลิตสินค้าคล้ายๆ กันและขายถูกกว่า ตอนนั้นคิดว่าทำอย่างไรจะผลิตสินค้าขายได้เป็นพันบาท เช่น สบู่ขายอยู่ก้อนละ 1,250 บาท หรือ 50 ดอลลาร์สหรัฐ ถ้าขายในประเทศคู่แข่งเยอะและทำราคาไม่ได้สู้ขายต่างประเทศดีกว่า ซึ่งต้องยอมรับว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เห็นคุณค่าของสมุนไพรไทย เหมือนที่ต่างชาติเห็นและชื่นชอบ
ไทด์ บอกว่า ธุรกิจความงามเติบโตเร็วมาก ใครไม่อยู่ในธุรกิจไม่มีทางรู้ เพียงปีเดียว IREAL เริ่มมีชื่อเสียง คนรู้จักแบรนด์เร็วมากมีต่างชาติมาจ้างให้ผลิตสินค้า จนปลายปี 2554 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจอีกครั้งเมื่อเจอวิกฤติน้ำท่วม เพราะโรงงานเดิมตั้งอยู่ที่ จ.ปทุมธานี ตอนนั้นก็คิดเหมือนคนอื่นคือน้ำคงมาไม่ถึง แม้จะถึงบางปะหันแล้วก็ตาม และโรงงานยังผลิตยากันยุงไปแจกให้คนที่โดนน้ำท่วม ทำให้ไม่ได้เก็บข้าวของเครื่องจักร และสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้ว พอน้ำมาถึงเลยเก็บของไม่ทันเสียหายหมด
“ตอนนั้นไม่ได้ท้อ นึกว่าที่เจอปัญหา เจอวิกฤติ เจอน้ำท่วม มองว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อาจมีเหตุผล เราต้องขอบคุณทุกอย่างที่เข้ามา เพราะอาจทำให้เราเจออะไรที่ดีกว่า เรียกว่าคิดบวกมากกว่า ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 เดือนกว่าน้ำจะลด ก็เข้าไปทำความสะอาด แต่ระหว่างนั้นยังมีคำสั่งซื้อค้างอยู่ ถ้าไม่ผลิตก็โดนปรับจึงมองว่าต้องย้ายฐานไปผลิตสินค้าที่จังหวัดแทน”
อย่างไรก็ตาม เมื่อน้ำลดโชคดีที่รัฐบาลมีโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ถูกน้ำท่วม มีสินเชื่อออกมาเป็นแสนล้านบาท มีทั้งแบงก์รัฐ แบงก์เอกชนเข้ามาช่วยกันปล่อยกู้ ทำให้มีโอกาสได้เงินกู้ก้อนใหม่มาลงทุนอีกครั้ง แต่คราวนี้คิดว่าทำให้ใหญ่ไปเลยเมื่อใช้เงินกู้ รวมกับเงินที่สะสมไว้จึงตัดสินใจมาซื้อที่ดินและสร้างโรงงานใหม่ที่บ้านดอนตูม จ.นครปฐม 412 ไร่เพราะเป็นจุดที่น้ำไม่ท่วม อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และท่าเรือส่งออกสินค้ามากนัก รวมแล้วใช้เงินไปเกือบ 200 ล้านบาท ตั้งแต่สร้างโรงงานแรกจนขยายมาถึงโรงงานที่ 2 จะเสร็จในเดือนเมษายนนี้
ไทด์ บอกว่า หลังจากโรงงานที่ 2 เสร็จน่าจะเพิ่มกำลังการผลิตจากปัจจุบันอยู่ที่ 5,000 กิโลกรัมต่อวัน ได้อีกมาก โดยการรับจ้างผลิตยังเป็นรายได้หลักประมาณ 80% ของรายได้รวม ซึ่งลูกค้าที่มาจ้างผลิตก็มีทั้งนำสูตรมาให้ และให้บริษัทคิดสูตรใหม่ แต่บริษัทจะใช้วัตถุดิบเดียวกับสินค้าตามเคาน์เตอร์แบรนด์ ทำให้คุณภาพทัดเทียมกัน ขณะที่ราคาแตกต่างกันมาก จึงช่วยประหยัดต้นทุนได้มาก ขณะนี้บริษัทรับผลิตสินค้าสินค้ากว่า 1,500 รายการ เน้นส่งออกไปต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งมีหลายประเทศมาจ้างผลิต รวมทั้งญี่ปุ่น แม้จะเป็นเจ้าแห่งการผลิตเครื่องสำอาง แต่ส่วนใหญ่มีเทคโนโลยี หรือโนว์ฮาว ขาดวัตถุดิบ เลยมาจ้างผลิตที่เมืองไทย บางรายยอดขายดีมาก ล่าสุด ลูกค้าเพิ่งฉลองยอด 500 ล้านบาทไป
สำหรับเป้าหมายธุรกิจของไทด์นั้น นอกจากเดินหน้าสร้างแบรนด์ IREAL เจาะตลาดไฮเอนด์แล้ว ยังมีอีก 2 แบรนด์ที่ทำขึ้นมารองรับตลาด คือ DEMAIRE เน้นเจาะตลาดนวัตกรรม และแบรนด์ POINT เจาะตลาดแมสเน้นสินค้าดูแลผิวเฉพาะจุด ซึ่งตอนนี้ผลิตส่งออกไปหลายประเทศในอาเซียน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และจีน แต่ปีนี้จะหันกลับมามองตลาดในประเทศ เพราะคนไทยเริ่มรู้จักสินค้า IREAL จากของฝากจากต่างประเทศ พอใช้แล้วติดใจอยากใช้ต่อ เมื่อเห็นว่าผลิตจากประเทศไทยจึงโทรติดต่อเพื่อซื้อสินค้า ในตอนแรกก็บอกให้ซื้อต่างประเทศ แต่ช่วงหลังคนสนใจมากขึ้นเลยเห็นว่าถึงเวลาต้องขายคนไทยด้วยกันแล้ว
การทำธุรกิจต้องมีธรรมาภิบาล ในมุมมองของไทค์คือ หาพันธมิตรแทนการกินรวบ เน้นคุณภาพมากกว่ายอดขาย นั่นจึงเป็นที่มาของการเสาะหาผู้แทนจำหน่าย เข้ามาเป็นหุ้นส่วน เป็นเจ้าของไลเซนส์ร่วมกันดีกว่า แต่จะให้แค่จังหวัดละคน ตอนนี้ได้แล้วกว่า 30 จังหวัด หากใครสนใจยังสามารถติดต่อเข้ามาได้ที่เบอร์ 0-2549-9457 หรือที่ 09-2261-1689 หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ของเราก็ได้ คนที่สนใจไม่จำเป็นต้องมีทุนเยอะขอให้มีความตั้งใจจริง
นอกจากการขยายฐานลูกค้าในประเทศและสร้างแบรนด์แล้ว ปีนี้จะเริ่มวางขายสินค้าในห้างด้วย แต่ต้องหลังจากมีตัวแทนจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว โดยยืนยันว่าการขายสินค้าในประเทศจะถูกกว่าขายในต่างประเทศ ถือเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงแต่ราคาจับต้องได้ เพราะเป้าหมายของเขาไม่ได้ต้องการสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองก่อน แต่ต้องให้ลูกค้ารวย ซึ่งก็จะทำให้ผู้ผลิตอย่างเขารวยตามไปด้วย จึงทำให้ยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพิ่มกำลังการผลิต 10 เท่าจากเมื่อครั้งเริ่มต้น และโรงงานใหม่จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 5 เท่า ถือว่าเติบโตเหนือความคาดหมาย
นอกจากภรรมาภิบาลแล้ว ธรรมะตามแนวพุทธก็เป็นสิ่งที่เขาเห็นว่ามีความจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจดังเช่นที่เขาตั้งโรงงานที่ จ.นครปฐม ซึ่งเป็นเมืองพระเพราะธรรมะ น่าจะส่งเสริมกิจการของเขาได้ดี ต้องการสร้างธุรกิจเติบโตควบคู่ไปกับคุณธรรม ทุกวันนี้ก่อนทำงานก็จะนำพนักงานสวดมนต์ก่อนทุกวัน จนถือเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปแล้ว จึงอาจเป็นอีกแรงหนุนหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจเติบโตเร็วมาก
“องค์กรจะโตได้ทีมงานต้องเก่ง แต่เก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดีด้วย ซึ่งดีต้องมาก่อนเก่ง บางคนเก่งแต่โกง แต่คนดีมาจากจิตสำนึก เป็นโชคดีที่ได้คนดีๆ เข้ามาทำงาน เพราะคนที่อยู่ไม่ได้เวลาให้สวดมนต์ก็จะรู้สึกร้อนอยู่ไม่ได้ไปเอง”
การก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ไทด์ บอกว่า มาจากการยึดหลักคำสอน "4 ต" ของพระรูปหนึ่ง อันประกอบด้วย ตั้งเป้า ตั้งต้น ตั้งใจ และตั้งมั่น ถือเป็นคาถาแห่งความสำเร็จที่เขานำมาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจมาตลอด โดยก่อนทำอะไรต้องตั้งเป้าก่อน หากย้อนหลังไปตั้งแต่วันแรกที่จดทะเบียนบริษัทเขาตั้งเป้าว่าจะต้องมีโรงงานใหญ่ๆ ให้ได้ ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ แต่วันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทำได้
ส่วนการตั้งต้นคือ ลงมือทำ คิดแล้วต้องทำทันที อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไป เพราะเวลาไม่เคยรอใคร อย่าคิดอย่างเดียว ขณะที่ตั้งใจคือต้องมีใจรักในธุรกิจที่ทำ และสุดท้ายต้องมีความตั้งมั่น และมีความมั่นคงในธุรกิจอย่ายอมแพ้ต่ออุปสรรค บางคนเจออุปสรรคก็ท้อถอยแล้ว มีลูกค้าพม่าเคยพูดเอาไว้ดีมากว่าอย่ายอมให้ปัญหาใหญ่กว่าเป้าหมาย เราต้องตั้งเป้าหมายให้ใหญ่และมีความตั้งมั่น เพราะคนเรามีหนึ่งสมองสองมือเหมือนกันแต่ต่างกันตรงเป้าหมายแต่ละคนจึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน
“ผมมีความตั้งใจมากตั้งแต่จดทะเบียนบริษัท เอาเอกสารใบเดียวไปบอกกับแม่ว่าวันหนึ่งจะมีโรงงานเป็นร้อยล้านให้ได้ และมีแบรนด์สินค้าที่เป็นที่ยอมรับของตลาด ส่งออกให้ได้อันดับต้นๆ ของประเทศ ที่พูดตอนนั้นยังไม่เห็นอะไรเลยด้วยซ้ำ ซึ่งแรงบันดาลใจก็มาจากการที่เห็นคุณพ่อคุณแม่ทำงานหนัก จึงอยากหาเงินให้พ่อแม่อยู่สุขสบาย ไม่ได้ต้องการร่ำรวยแต่ต้องเลี้ยงครอบครัวได้”
เขา บอกว่า หากคิดจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จต้องมี "3 ช" คือ ความเชื่อ ความชอบ และความเชี่ยวชาญ เราต้องเชื่อว่าสิ่งที่ทำสำเร็จได้นอกจากจะบอกกับตัวเองแล้วยังต้องบอกกับองค์กรด้วย และถ้าเราชอบอะไรก็จะทำงานแบบไม่เหนื่อย สุดท้ายสำคัญสุดเราต้องมีความเชี่ยวชาญ ขอให้มีความเชี่ยวชาญอะไรเพียงอย่างเดียวก็จะประสบความสำเร็จได้
ในระยะยาว เขาสรุปว่า Ireal Plus ต้องการเป็นศูนย์กลางสุขภาพความงามในอาเซียนหรือเป็นฮับ อยากให้คนนึกถึงเป็นบริษัทแรก จึงมีโครงการเปิดให้นักศึกษาหรือองค์กรต่างๆ เข้ามาดูงาน ชนิดที่ว่าไม่หวงวิชา เพราะมั่นใจว่ามีสูตรลับที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ เหมือนทำอาหารแม้จะลอกเลียนแบบทุกอย่างก็ทำได้ไม่อร่อยเท่า
พลิกชีวิตจากเด็กเกเรสู่เถ้าแก่น้อย
"พัชรพล สุทธิธรรม" หรือไทด์ ปัจจุบันอายุ 24 ปี กรรมการผู้จัดการ บริษัท Ireal Plus ประกอบธุรกิจรับผลิตเครื่องสำอางแบบครบวงจรมูลค่านับ 100 ล้านบาท ตั้งแต่วัยเพียง 22 ปี แต่เส้นทางชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือไม่ต้องลำบากยากเข็ญเพราะรับช่วงต่อธุรกิจจากครอบครัว
ไทด์เล่าให้ฟังว่า เขาเป็นเด็กต่างจังหวัด ตอนเล็กๆ อาศัยอยู่ที่ จ.ตราด โดยคุณพ่อและคุณแม่เป็นครูสอนในโรงเรียนประถม ซึ่งมารู้ภายหลังว่า ทั้งสองต้องทำงานหนักมาก ตอนเช้าก่อนไปสอนหนังสือต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ไปส่งไส้ไก่ตามบ่อเลี้ยงปลา กลับมาก็ต้องจัดแผงหนังสือ จากนั้นต้องขับรถไปตระเวนรับเด็กนักเรียนตามบ้าน พอสอนหนังสือเสร็จก็ยังต้องรับสอนพิเศษช่วงเย็น กว่าจะได้นอนก็ร่วมเที่ยงคืน
ครั้งยังเด็กที่ไม่ประสีประสา ไทด์บอกว่าตัวเองเป็นเด็กสมาธิสั้น เรียนหนังสือไม่เก่งสอบตกบ่อยๆ แถมช่วงเรียนมัธยมต้น เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ย่านปทุมธานี ยังติดเพื่อนติดเกมหนีเรียนไปเล่นเกมจนลืมเวลากลับบ้าน แต่พ่อแม่ก็ไม่ทำโทษจึงคิดได้ว่าตัวเองทำให้แม่เสียใจ และช่วงนั้นคุณพ่อของไทด์ได้พาเขาไปฟังธรรมที่วัดและได้กราบไหว้รูปหล่อพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ) และได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์ทำให้เกิดแรงบันดาลใจว่าจะปรับปรุงชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น
ประกอบกับช่วงนั้นหลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ลาออกจากอาชีพครูเพราะเห็นว่ารายได้ไม่พอเลี้ยงลูก จึงไปตระเวนทำงานตามต่างจังหวัด และลงทุนทำกิจการเล็กๆ น้อยๆ หลายอย่าง เช่น ขายเสื้อผ้า รับเหมา ซึ่งลงทุนกับเพื่อนหรือคนรู้จักและโดนโกงเสียเงินไปนับล้าน เพียงเพราะว่าไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย ทำให้เขาตั้งปณิธานว่าจะเรียนทางด้านกฎหมาย เพื่อนำมาป้องกันตัว หากจะทำธุรกิจในอนาคตก็อยากจะทำธุรกิจแบบมีคุณธรรมไม่เอาเปรียบหรือคดโกงใครและไม่ต้องการให้ใครมาโกง
ดังนั้น ในช่วงที่ไทด์เรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยรังสิต จึงได้ลงทะเบียนเรียนปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ควบคู่ไปด้วยในระบบ Pre-Degree และใช้เวลาเพียงไม่นานหรืออายุ 19 ปีก็เรียนจบปริญญาตรี พร้อมกับจบชั้นมัธยมปีที่ 6 และใช้เวลาอีก 1 ปีเรียนจบปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจมหาบัณทิต (เอ็มบีเอ) ซึ่งเป็นการเรียนทางด้านตลาดอย่างที่ใจชอบ เพราะอยากจะทำธุรกิจของตัวเองและหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ตามที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำให้พ่อแม่อยู่สุขสบาย ไม่ได้ต้องการทำเพื่อตัวเองหรือหวังร่ำรวยอะไร หลังเรียนจบและมีอายุเพียง 20 ปี ไทด์จึงเริ่มลุยกับธุรกิจตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ทันที
ไทด์ใช้เวลา 4 ปีในการปลุกปั้นธุรกิจ จนถึงวันนี้มีโรงงานและบริษัทที่มียอดขายระดับ 100 ล้านบาทอย่างที่ฝันเอาไว้ และจัดเป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ที่มีอายุน้อยที่สุดที่เคยได้รับรางวัล PM Award จากนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นรางวัลที่รัฐบาลมอบให้แก่ผู้ส่งออกสินค้าดีเด่นเมื่อต้นปีก่อน และเป็นบริษัทเดียวในประเทศที่ได้รับรางวัลนี้ในประเภท Best Business Rising Star