
น้ำเค็มรุกเมืองสามน้ำปอกเปลือกบริหารจัดการ
น้ำเค็มรุกเมืองสามน้ำ ปอกเปลือกบริหารจัดการ : ทีมข่าวภูมิภาครายงาน
ถึงจะได้รับการกล่าวขานกันว่าเป็นชาว "เมืองสามน้ำ" ที่ย่อมจะต้องคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับสภาพน้ำเค็มหนุนสูง แต่อะไรที่มากเกินพอดี ย่อมนำมาซึ่งความเดือดร้อน เหมือนกับที่ชาว ต.ดอนมะโนรา อ.บางคนที จ.สมุทรสงครามกำลังเป็นทุกข์อยู่กับภาวะน้ำทะเลหนุนสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน และกำลังส่งผลกระทบกับพืชพันธุ์ต่างๆ ในสวนของพวกเขา
ดินแดนสามน้ำ คือบทสรุปรวบยอดของระบบนิเวศที่พอเหมาะพอดี ระหว่างพื้นที่น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม เช่น ที่ชาวดอนมะโนราเรียนรู้สืบต่อกันมานับชั่วอายุคน นำมาสู่การบริหารจัดการคุณภาพน้ำทั้งสามเพื่อทำการเกษตรกรรมและเลือกสรรพันธุ์ไม้ได้อย่างลงตัว
หากแต่การเกิดขึ้นของเขื่อนขนาดใหญ่และเขื่อนชลประทานที่ จ.กาญจนบุรี ที่เป็นต้นธารของลุ่มน้ำแม่กลอง ย่อมนำมาซึ่งการบริหารจัดการน้ำในรูปแบบใหม่เพื่อการใช้สอยประโยชน์สูงสุดในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะในปีที่แล้งรุนแรงอย่างเช่นปี พ.ศ.2558 นี้ การบริหารจัดการน้ำของเขื่อนต่างๆ ย่อมตกเป็นจำเลยไปโดยปริยาย
ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม คือ ผู้บริหารสูงสุดที่ชาวบ้านเชื่อว่า จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของพวกเขาได้ ซึ่งพ่อเมืองสามน้ำ ปัญญา งานเลิศ รับว่า การรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้านี้ จังหวัดจะจัดหางบประมาณ เพื่อขุดลอกคลองให้น้ำไหลเวียนดีขึ้น และจะให้ปิด-เปิดประตูกั้นน้ำเค็ม ให้เหมาะสมในช่วงเวลาน้ำขึ้นน้ำลงด้วย
ต.ดอนมะโนรา อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม มีทั้งหมด 8 หมู่บ้าน พื้นที่รวม 8,600 ไร่ เป็นพื้นที่เกษตรทำสวน 6,178 ไร่ อย่างเช่น มะพร้าว ผลไม้ และพืชผักต่างๆ ที่อ่อนไหวกับน้ำเค็ม
ในทุกๆ หน้าแล้งช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ มวลน้ำเค็มจากอ่าวไทย จะเข้ามาทางปากแม่น้ำแม่กลอง เข้าสู่คลองลาดเป้ง หรือคลองสุนัขหอนในพื้นที่ อ.เมือง ผ่านคลองท่าคา อ.อัมพวา แล้วเข้าสู่ ต.ดอนมะโนรา อ.บางคนที กินระยะทาง 10 กิโลเมตรเศษ
แต่ในปีนี้ ภาวะน้ำเค็มหนุนสูงมาเร็วตั้งแต่ธันวาคม และกินเวลาล่วงเลยมาถึงปลายเดือนมีนาคม การแก้ไขปัญหาด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นคือ สูบน้ำจืดเก็บกักไว้ในร่องสวนกำลังกลายเป็นการตั้งรับปัญหากับสภาพ "เอาไม่อยู่" เสียแล้ว เพราะระยะเวลาที่เนิ่นนานเกินไปนั่นเอง ซึ่งถ้าหากความแห้งแล้งและภาวะน้ำเค็มหนุนสูงยังดำเนินต่อไปอีก 2 เดือนข้างหน้าเชื่อว่า พื้นที่เกษตรกรรมเมืองสามน้ำจะได้รับความเสียหายในระดับร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
"ผลกระทบที่เห็นได้ชัดคือ ไม่สามารถปลูกพืชผักขายได้ ส่วนไม้ยืนต้นก็ไม่ให้ผลผลิต ขณะนี้มีเกษตรกรบางรายทนความเดือดร้อนไม่ไหว ได้ทุบท่อประปาหมู่บ้านที่วางผ่านสวนของตัวเองให้แตก เพราะต้องการให้น้ำประปาซึ่งใช้ต้นทุนน้ำจากน้ำบาดาล ไหลลงร่องสวนซึ่งผลที่ตามมาคือทำให้ผู้ที่อยู่ปลายท่อไม่มีน้ำประปาใช้ และเครื่องสูบน้ำของระบบประปาต้องทำงานหนัก ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการผลิตน้ำประปา ที่สุดก็จะทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนกันทั้งตำบล ปีนี้น้ำเค็มเกิดขึ้นกินเวลานานมาก จนชาวบ้านไม่สามารถสูบน้ำเข้าสวนได้" ณัฐวุฒิ ศรีเจริญจิระ กำนันตำบลดอนมะโนรา เล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
เขาบอกถึงข้อเรียกร้องของชาวสวนว่า ต้องการให้กรมชลประทานระบายน้ำจากเขื่อนแม่กลอง จ.กาญจนบุรี เพื่อผลักดันน้ำเค็ม และให้เกษตรกร สามารถสูบน้ำจืดเข้าร่องส่วนเพื่อเก็บไว้ใช้ "ปัญหาน้ำเค็มชาวบ้านอยู่ในสภาพที่ทำใจได้ แต่กรมชลประทานควรผลักดันน้ำเค็มมาเป็นระยะๆ เพื่อให้มีน้ำจืดให้ไว้ใช้ โดยกรมชลประทานควรแจ้งให้ชาวบ้านทราบว่าจะปล่อยน้ำจืดวันไหน เพื่อให้มีเวลาในการเตรียมสูบน้ำจืดเข้าสวน"
นภดล ธนิกุล ชาวสวนหนุ่มใหญ่แห่งบ้านอาม้าพัฒนา ต.ดอนมะโนรา กล่าวว่า ปลูกมะนาว 12 ไร่ เริ่มได้รับผลกระทบจากน้ำเค็มคือโรคใบไหม้ ลำต้นไม่เจริญเติบโต ที่ผ่านมาเดือดร้อนจากน้ำทะเลหนุนทุกปี แต่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ ในฤดูแล้ง เฉลี่ยปีละ 2 เดือน ที่ผ่านมาแก้ปัญหาโดยการเก็บกักน้ำจืดไว้ในร่องสวน แต่ปีนี้ไม่มีน้ำจืดให้สูบ และน้ำจืดต้นทุนในสวนก็กำลังจะหมดลง
"สาเหตุที่ปีนี้น้ำเค็มหนุนนาน และหนุนมากกว่า เกิดจากต้นทุนน้ำของเขื่อนมีน้อย เพราะมีฝนตกเหนือเขื่อนน้อย และกรมชลประทานปล่อยน้ำออกท้ายเขื่อนไม่พอผลักดันน้ำเค็ม แต่จะให้กรมชลประทานปล่อยน้ำมาผลักดันน้ำเค็มตลอดเวลาคงไม่ได้ เพราะน้ำในเขื่อนคงไม่พอ แต่ทางเลือกที่ทำได้คือ ปล่อยออกมาเป็นระยะ เพื่อให้ในพื้นที่มีช่วงน้ำจืดให้ใช้กับการเกษตร" นภดลย้ำว่า ถ้าหากน้ำเค็มยังหนุนสูงและไม่มีน้ำจืดผลักดันมากเพียงพอ สวนของเขาจะเสียหายทั้งหมดในอีก 1 เดือนข้างหน้า
เช่นเดียวกับ สมศักดิ์ ทองแต้ม ซึ่งปลูกผักอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันอาม้าพัฒนาต้องทำใจกับความเสียหายที่พืชผักหลากหลายชนิดซึ่งเป็นรายได้หลักของเขาต้องตายลงเพราะน้ำเค็มที่หนุนสูงนานเกินและน้ำจืดต้นทุนหมดลง
"กรมชลประทานต้องสำรวจว่าปล่อยน้ำมาถึงไหน ไม่ใช่สำรวจแค่กลางทาง หรือสำรวจแค่ตัวแม่น้ำไม่ได้สำรวจในคลองต่างๆ ว่าน้ำจืดเข้าคลองหรือไม่ นอกจากนี้อยากให้ทางจังหวัดประกาศพื้นที่ ต.ดอนมะโนรา เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติน้ำเค็มหนุนทั้งตำบล เพื่อที่จะได้จัดหางบประมาณมาช่วยเหลือเกษตรกรที่เดือดร้อนต่อไป"
นอกจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดังกล่าวมา ปัญญา งานเลิศ ผู้ว่าราชการยืนยันว่า จะประสานกรมชลประทานให้เพิ่มปริมาณน้ำที่ปล่อยลงมา จากเขื่อนแม่กลอง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับภาคเกษตรกรรมในพื้นที่
“ผมคิดว่ากรมชลประทานควรที่จะรับฟัง จะอ้างว่าต้นทุนน้ำในเขื่อนมีน้อยคงไม่ได้ เพราะไม่ได้ขอให้ปล่อยน้ำตลอดเวลา เพียงแต่ให้กักน้ำไว้ และปล่อยมาเป็นบางครั้ง หากกรมชลประทานบริหารจัดการน้ำ รักษาระบบนิเวศดีๆ ก็น่าที่จะเป็นการรักษาพื้นที่เกษตรเอาไว้ได้ แทนที่จะเสียหายไปทั้งหมด" ปัญญาเรียกร้องแทนชาวบ้านดอนมะโนรา
ทั้งหมดคือภาพความเดือดร้อนในพื้นที่ดอนมะโนรา ตำบลเล็กๆในจังหวัดที่เล็กที่สุด หากแต่สภาพปัญหาคือ เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งในระดับชาติ อันว่าด้วย การบริหารจัดการน้ำเพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกฝ่ายยังหาจุดลงตัวไม่เจอ