
เด็กเอ๋ยเด็กดี
18 มี.ค. 2558
เด็กเอ๋ยเด็กดี : คอลัมน์ วันเว้นวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ โดย... ประภัสสร เสวิกุล
ผมเชื่อว่า ผู้อ่านแทบทุกคนคงเคยได้ยินเพลง “เด็กเอ๋ยเด็กดี” ซึ่งบอกถึงหน้าที่ของเด็กที่ดี 10 ประการด้วยกัน
ประการแรกคือ นับถือศาสนา 2.รักษาธรรมเนียม 3.เชื่อฟังพ่อแม่ครูอาจารย์ 4.มีวาจาสุภาพอ่อนหวาน 5.มีความกตัญญู 6.เป็นผู้รู้รักการงาน 7.ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ 8.ประหยัด 9.ซื่อสัตย์ตลอดกาล และ 10.ทำตนให้เป็นประโยชน์ รู้จักบาปบุญคุณโทษ รักษาทรัพย์สมบัติของชาติ หากใครจำทำนองได้จะร้องตามไปด้วยก็ได้นะครับ - เพลงนี้ประพันธ์เนื้อร้องโดย ชอุ่ม ปัญจพรรค์ ทำนองโดย เอื้อ สุนทรสนาน เพื่อใช้ในวันเด็ก ตามนโยบายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ประมาณ 60 ปี
มาแล้ว
หากถามว่า ภายในเวลา 60 ปี ค่านิยมของคนไทยต่อการเป็นเด็กที่ดีนั้น เปลี่ยนแปลงไปเพียงไร เมื่อพิจารณาจากเพลง “เด็กเอ๋ยเด็กดี” ข้างต้น จะเห็นว่าในข้อ 1 เด็กไทยทุกวันนี้ แม้จะได้ชื่อว่านับถือพุทธศาสนา แต่ในความเป็นจริงก็มีความรู้เรื่องศาสนาน้อยมาก ไม่ว่าจะในเรื่องพุทธประวัติ ธรรมะ หรือศีลธรรม อันเป็นผลมาจากการที่มีการตัดหลักสูตรศีลธรรมออกจากหลักสูตรมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ในข้อ 2 ขนบธรรมเนียมอันดีงามของไทยได้กลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัย คร่ำครึ การทำอะไรตามแบบต่างประเทศ หรือแหกธรรมเนียมได้ กลายเป็นเรื่องที่โก้เก๋ ข้อ 3 เวลานี้หาเด็กที่เชื่อฟังพ่อแม่ครูอาจารย์ได้น้อยมาก พ่อแม่เป็นเพียงตู้เอทีเอ็ม ไว้กดเงิน ครูอาจารย์อยู่ในฐานะลูกจ้าง ที่ไม่มีสิทธิจะเสนอหน้ามาสั่งสอน ข้อ 5 ขาดความกตัญญู เพราะเด็กเติบโตมาในครอบครัวเดี่ยว ที่ไม่มีการแสดงความกตัญญูระหว่างคนแต่ละรุ่น เช่น พ่อแม่ดูแลเอาใจใส่ปู่ย่าตายาย และเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว และเห็นชีวิตที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน มิใช่การเอื้อเฟื้อแบ่งปันเช่นในอดีต
ข้อ 6 มีคำพูดที่มักได้ยินเสมอก็คือ เด็กสมัยนี้จับจด เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่สู้งาน และเปลี่ยนงานใหม่เป็นว่าเล่น สิ่งเหล่านี้เกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่โอ๋ลูกเกินไป ไม่สอนให้ลูกรู้จักอดทน อดกลั้น รักงานและอุทิศตัวให้แก่งานอย่างเต็มที่ มีคนคุยให้ผมฟังว่า นายจ้างญี่ปุ่นมักจะปวดหัวกับพนักงานที่เป็นคนไทย เพราะคนญี่ปุ่นจะมาทำงานก่อนเวลา ถ้างานยังไม่เสร็จก็จะไม่กลับบ้าน และทำกิจกรรมส่วนตัวในเวลางานน้อยมาก ซึ่งตรงข้ามกับคนไทยโดนสิ้นเชิง ข้อ 7 ข้อนี้เห็นได้ชัดเจนว่า เด็กไทยทุกวันนี้ไม่ได้เรียนเอาความรู้ แต่เรียนเพื่อสอบผ่านๆ ไป หรือเรียนเพื่อเอาใบปริญญาเท่านั้น โดยไม่คำนึงว่าตนจะมีความรู้ถึงระดับนั้นหรือไม่
ข้อ 9 นี่ น่าจะหายไปจากสังคมไทยนานเต็มทีแล้ว เพราะแทบทุกวงการของเมืองไทยเหมือนจะเต็มไปด้วยเรื่องทุจริต คดโกง ขาดความซื่อสัตย์ คนทุกวันนี้ทำทุกวิถีทางเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวยใส่ตน โดยไม่กังวลว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกทำนองคลองธรรมหรือไม่ และคนไทยส่วนหนึ่งก็ยังยกย่องคนมีเงิน ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าเงินเหล่านั้นมาจากการฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือทุจริตเต็มๆ
ข้อสุดท้าย คือข้อ 10 ก็คงจะหวังอะไรจากเด็กไทยในเวลานี้ไม่ได้หรอกครับ เพราะส่วนใหญ่แล้วก็ยังรักความสนุกสนาน สะดวกสบาย ลำพังแค่การทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองก็ยังไม่ค่อยจะทำกัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือความขยันหมั่นเพียร
ครับ “เด็กเอ๋ยเด็กไทย” ทุกวันนี้ จึงค่อนข้างจะมีชีวิตที่เท้งเต้ง ไร้จุดหมาย ไร้แก่นสาร ล่องลอยตามน้ำไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับแพสวะ - เรื่องนี้จะโทษเด็กหรือโทษผู้ใหญ่ดีครับ?