ข่าว

‘ใจเขาใจเรา’แนวคิดเจนฯ3กะทิชาวเกาะ

‘ใจเขาใจเรา’แนวคิดเจนฯ3กะทิชาวเกาะ

18 มี.ค. 2558

คมคิดธุรกิจนิวเจน : ‘ใจเขาใจเรา’ แนวคิดเจนฯ 3 กะทิชาวเกาะ : เรื่อง กรรณิกา ใจจำนงค์ /ภาพ ประเสริฐ เทพศรี

 
             "ซื้อใจกันและกัน เขาได้เราได้ ไม่เอาเปรียบ เราเอาใจเขามาใส่ใจเราไม่ใช่ทำทุกวิธีให้ขายได้โดยไม่สนใจผู้ซื้อเลย"
 
             การจะประสบความสำเร็จกับอะไรสักอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย แม้พื้นฐานของครอบครัวจะวางรากฐานไว้อย่างดี แต่ในยุคสังคมปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าในทุกเรื่องก้าวไปอย่างไม่หยุดนิ่งเพียงคุณช้าสักหนึ่งนาทีเป้าหมายที่คุณตั้งไว้อาจกลายเป็น “ศูนย์” โดยไม่คาดคิด แนวคิดนี้เองที่ทำให้เจเนเรชั่นที่ 3 แห่งธุรกิจเครือเทพผดุงพร ที่รู้จักกันอย่างดีในวงการธุระกิจกับ “กะทิชาวเกาะ” ที่เริ่มต้นจากคุณย่าจรีพร เทพผดุงพร กับการซื้อมาขายไปจนแตกหน่อออกยอดกลายมาเป็นกะทิในกล่องที่คุ้นหูคุ้นตาคนไทยมากว่า 4 ทศวรรษ
 
             “ฝน” นันทินี เทพผดุงพร หญิงสาววัย 31 ปีที่หลังจากจบปริญญาตรีมหาวิทยาลัยมหิดลในหลักสูตรอินเตอร์เนชั่นแนลด้านการบริหาร เธอก็ขอคุณพ่ออภิศักดิ์ไปเรียนภาษาจีนที่เซียงไฮ้ 1 ปี แล้วกลับมาต่อด้านเอ็มบีเอที่มหาวิทยาลัยเอแบค และโดดข้ามไปเรียนปริญญาโทอีกใบด้านการตลาดต่างประเทศ ที่เวสต์มินตัน ประเทศอังกฤษ เริ่มเล่าเรื่องราวของเธอให้ฟังว่า เห็นการทำงานของทุกคนในครอบครัวทั้งคุณย่า คุณพ่อ คุณอา ด้วยบริษัทเราเป็นระบบงานแบบกงสีลูกๆ ทุกคนช่วยกัน แบ่งงานกันตามความถนัด แล้วก็เห็นการทำงานแบบนี้มาตั้งแต่เกิด พอรู้ความก็ตามคุณพ่อไปทำงานมันจึงซึมซับไปเองโดยไม่รู้ตัว
 
             ด้วยมุ่งมั่นทั้งหมดนั้นเจ้าตัวเผยว่า ที่ตั้งใจทั้งหมดนั้นอยากมาช่วยคุณพ่อทำงานจริงๆ เพราะเราเห็นตั้งแต่เด็กแล้วว่าคุณพ่อทำงานหนัก บวกกับการตามคุณพ่อไปพูดคุยกับเรื่องการค้า เห็นแง่มุมต่างๆ มาเสมอ จึงบอกผู้ใหญ่ในบ้านทุกคนว่าอยากมาทำหน้าที่ฝ่ายขายต่างประเทศ ถามว่ายากหรือไม่ ตอบได้เลยว่ายากมากเพราะสังคมเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป นักธุรกิจที่เราติดต่อก็เปลี่ยนไปด้วยวันเวลาเปลี่ยนรุ่นพ่อแม่ที่ทำธุรกิจติดต่อซื้อขายกับคุณพ่อเรานั้นก็เปลี่ยนไป มาที่รุ่นต่อๆ มา หรือเปลี่ยนคนไป ทั้งหมดนั้นคือการเรียนรู้ คือการปรับตัวแต่ก็ยังใช่เทคนิคและวิธีการที่เรียนรู้จากอดีตที่เห็นมา
 
             และก่อนที่พูดคุยกันต่อไปถึงระบบการทำงานในแบบฉบับของเธอนั้น เจ้าตัวได้เล่าให้ฟังถึงธุรกิจในเครือเทพผดุงพรว่า นอกจากกะทิชาวเกาะที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ยังมีเครื่อแกงและน้ำพริกในยี่ห้อ “แม่พลอย” มีน้ำมะพร้าว “ชาวเกาะ” ซึ่งในส่วนของน้ำมะพร้าวนี้ไม่ค่อยได้วางขายในตลาดเมืองไทยมากนัก ส่วนใหญ่ส่งออกไปต่างประเทศและขายดีมากเช่นกัน มีผลิตภัณฑ์ผลไม้กระป๋อง ผักกระป๋องต่างๆ ถือว่าครบไลน์ด้านอาหารพร้อมปรุงก็ว่าได้ พร้อมกันนี้ก็ได้การแตกบริษัทไปแต่ก็เป็นธุรกิจที่เกื้อหนุนกันคือบริษัทอำพล ฟู้ด
 
             “การที่มีการแตกยอดสินค้าไปนั่นมาจากการที่เราส่งกะทิไปขายต่างประเทศ เราจะไปเป็นตู้สินค้าแต่ถ้าลูกค้าสั่งของไม่เต็มตู้ก็จะทำให้เสียประโยชน์ทั้งสองฝ่าย จึงได้มีการผลิตสินค้าใหม่แต่อยู่ในไลน์เดียวกันคือเครื่องแกงและน้ำจิ้มต่างๆ ซึ่งเป็นการต่อยอดให้กับลูกค้าเพราะกะทิกับเครื่องแกงหรือน้ำจิ้มไปด้วยกันอยู่แล้ว ที่นี้่เวลาส่งของก็ไปได้เต็มตู้ และสินค้าเหล่านี้ก็ได้รับการตอบรับที่ดีเพราะกิจการอาหารไทยนั้นรุ่งเรืองมากในต่างประเทศ” สาวเดียวในเจเนเรชั่นใหม่ของกะทิชาวเกาะอธิบาย
 
             การทำงานในบริษัทเทพผดุงพรของครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่ายของรุ่นหลานๆ อย่างเธอ เพราะการแข่งขันในระบบธุรกิจนั้นแตกต่างจากอดีตที่เห็นจากคุณย่า คุณพ่อ คุณอาทำกันมาตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นการปรับตัวให้เข้ากับความรวดเร็วของเวลา ความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร การตัดสินใจที่ีฉับไวและการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วเป็นเรื่องที่คนรุ่นเธอต้องเรียนรู้อยู่เสมอ ก่อนที่จะข้ามปัญหาไปสักเรื่องใช่เพียงการตัดสินของตัวเธอเองที่แม้จะเข้ามาทำหน้าที่ดูแลลูกค้าและเปิดตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศแล้ว ทุกครั้งที่มีปัญหาต้องผ่านการประชุมของทุกคนในครอบครัว
 
             “เมื่อมีปัญหาทุกเรื่องต้องเข้าสู่ที่ประชุม ด้วยทุกอาทิตย์จะมีการประชุมเรื่องงานโดยมีทุกคนที่รับผิดชอบเข้าเสนอ เข้ารับฟังและช่วยแก้ไขกันอยู่ตลอด แต่ใช่ว่าผู้ใหญ่จะไม่ฟังคนทำงานรุ่นใหม่อย่างเราๆ เมื่อมีเหตุและผลก็ได้รับการรับฟัง เทคนิคสำคัญของเราคือไม่ว่าใครจะอายุเท่าไหร่ เราฟังซึ่งกันปและกัน ตัดสินปัญหาร่วมกัน ใช่ความเป็นคนในครอบครัวช่วยกันจัดการ สำคัญรับฟังคนที่รู้จริงและช่วยกันแก้ปัญหาไปด้วยกัน”พนักงานด้านการส่งออกและดูแลลูกค้าต่างประเทศเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
 
             จากการตอบข้างต้นทำให้มองออกได้ว่า “นี่คือความสามัคคีของทุกคนในครอบครัวใช่หรือไม่” เจ้าตัวฟังแล้วอมยิ้มก่อนบอกว่า “ใช่ค่ะ คุณย่าสอนพวกเราเสมอให้เราทำงานร่วมกันอย่างคนในครอบครัว ซึ่งก็ไม่ใช่เพียงพวกเราเท่านั้น พนักงานในบริษัทของเราที่อยู่ในโรงงานย่านพุทธมนฑลสาย 4 ทั้ง 2 โรงงานคือโรงงานกะทิชาวเกาะและโรงงานแม่พลอย รวมถึงพนักงานในออฟฟิศย่านท่าเตียนเราก็บริหารงานกันแบบครอบครัว อยู่กันเหมือนญาติ ช่วยกันทำคนละไม้ละมือตามความถนัดเพื่อความก้าวหน้าของทุกๆ คน”ตอบจบเธอกล่าวต่อทันทีว่านี่คือเคล็ดลับการทำงานที่คุณย่าให้ต่อลุกๆ จนถึงรุ่นหลานและสำคัญทุกคนให้เกียรติซึ่งกันและกัน แบ่งหน้าที่การทำงานกันอย่างชัดเจน ไม่ก้าวก่ายเพียงรับฟังและเสนอแนะ จึงทให้ระบบการในครอบครัวของเราไม่มีปัญหา ไม่มีการแตกบริษัทไปทำแข่งกันเอง
 
             “คุณย่าสอนให้เรารักกัน ซึ่งก็มาจากความรักที่คุณย่ามีต่อพวกเราทุกคน เราจะทำงานกันอย่างรู้หน้าที่ของตัวเอง ไม่ก้าวก่ายกันและกัน แต่เมื่อมีปัญหาเราช่วยกันชี้แนะแต่คนที่สรุปสุดท้าย คนที่ตัดสินใจทำคือคนที่รับผิดชอบในงานนั้นๆ” พนักงานสาวรุ่นใหม่ไฟแรงกล่าว
 
             ก่อนที่พูดคุยกันถึงเรื่องอื่นต่อไป เราถามถึงการทำงานของเธอในตอนนี้ว่าทำอะไรและทำอย่างไร เธอยิ้มก่อนบอกว่าตอนนี้ทำหน้าที่เป็นพนักงานขายและส่งสินค้าไปยังต่างประเทศโดยสานต่อกับลุกค้าเดิมๆ ที่มาจากรุ่นของคุณพ่อพร้อมต่อยอดกับลูกค้าโดยใช่วิธีการออกงานแฟร์ต่างๆ โดยงานแฟร์นั้นไปทุกปีปีละ 3-4 ครั้งโดยเลือกงานแฟร์ที่ในประเทศที่เป็นกลุ่มเป้าหมายอย่างดูไบที่ถือเป็นแหล่งตลาดใหญ่ด้วยคนอิสลามใช้กะทิกันมาก และที่ดูไบเป็นงานแฟร์ที่ใหญ่มาก นักธุรกิจมีหลากหลายทำให้ได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ก็มีที่อินเดีย ยุโรปก็มี หรืออย่างในเอเชียตลาดใหญ่ที่สุดของกะทิชาวเกาะคือประเทศญี่ปุ่น ซื้อสินค้าต่อปีมาก เพราะกะทิเป็นส่วนประกอบในอาหารต่างๆ ทั้งของประเทศญี่ปุ่นเองและอาหารในแถบอาเซียนรวมถึงอาหารไทยที่มีจำหน่ายกันมากมายในประเทศนี้  โดยเธอจะใช้เทคโนโลยีในส่วนที่คุ้นเคยไปประกอบการขายเพื่อต่อยอดให้แตกต่างจากเดิม
 
             “ใช้ความรู้ ความเข้าใจและเทคโนโลยีใหม่ อย่างการสาธิตการทำอาหารในเว็บไซต์ ในโลกโซเชียลต่างๆ รวมถึงการคิดแผน วางโปรโมชั่นให้ลูกค้าอย่างของจะขายช่วงตรุษจีนเราก็จัดโปรโมชั่นไปให้ลูกค้า เอาโปสเตอร์ในช่วงตรุษจีนไปให้ หรือในตลาดที่อเมริกาลูกค้าเป็นร้านอาหารไทย เราก็ต้องศึกษาว่าเราช่วยอะไรได้บ้าง อย่างช่วยลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ไทยที่นั้นเพราะคนไทยอยู่กันเยอะถือว่าซื้อใจกันและกัน เขาได้เราได้ ไม่เอาเปรียบ เราเอาใจเขามาใส่ใจเราไม่ใช่ทำทุกวิธีให้ขายได้โดยไม่สนใจผู้ซื้อเลย สักแต่ขายอย่างเดียวแล้วไม่รับผิดชอบสิ่งที่เกิิดขึ้นหลังการขาย นั่นไม่ใช่การทำงานของเราแน่นอน อย่างลูกค้าในอเมริกาเจอปัญหาเรื่องทอร์นาโด้ ร้านค้าพัง ร้านอาหารต้องปิด เราก็เข้าไปช่วยเหลือสอบถามสารทุกข์สุกดิบ ช่วยเหลือในส่วนที่ทำได้ หรือในช่วงที่สั่งซื้อสินค้าตกลงกันแล้วตอนนั้นตลาดมะพร้าวราคาสูง แต่เมื่อถึงวันส่งสินค้าราคาถูกลงเราก็จะมีลดให้ลูกค้าตามราคาของตลาด ไม่เอาเปรียบใส่ใจกันละกัน แนวทางนี้เราในรุ่นที่สืบสานต่อจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด” สาวรุ่นใหม่ให้คำตอบเรื่องแนวทางการทำงานของเธออย่างชัดเจน
 
             คุยกันอยู่พักใหญ่จนเราอยากรู้ว่าที่ทำมาทั้งหมดนี้ใครเป็นแรงบันดาลใจหรือเป็นไอดอลสำหรับ 1 ใน 4 เจเนเรชั่นรุ่นที่ 3 ของกะทิชาวเกาะ “ฝน” นันทินี ตอบพร้อมกับยิ้มกว้างทันทีว่า “คุณย่าค่ะ..ท่านหนักเอาเบาสู้ ขายเก่งถ้าพี่เจอคุณย่ารับรองได้พี่ต้องซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับไปแน่นอน ท่านพูดจนคนซื้อโน้มน้าวใจเก่ง สอนลูกๆ หลานๆ ด้วยการกระทำที่ท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง พวกเราซึบซับกันมาจากความที่เราผูกพันกับท่านนั่่นเอง คิดอยู่เสมอว่าอยากเก่งเหมือนคุณย่าให้ได้” ลูกสาวคนโตของบ้านบอกด้วยความมุ่งมั่น
 
             และจากทำงานมากอย่างนี้เธอก็ยังจัดสรรเวลาให้กับตัวเองอย่างลงตัว โดยทุกครั้งที่เดินทางไปติดต่อการค้าที่ต่างประเทศ เธอจะถือโอกาสเมื่อเสร็จงานก็จะไปเดินดูบ้านเมืองของประเทศเหล่านั้น พร้อมๆ กับมองหาตลาดใหม่ๆ ไปพร้อมๆ กัน และสิ่งหนึ่งที่ถ้ามีเวลาคือการดูร้านอาหารไทยที่ถือเป็นตลาดสำคัญ ไปลิ้มชิมรสอาหารก่อนจะพูดคุยแล้ววางนามบัตรเป็นการทำงานและการท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์ได้อย่างลงตัวโดยไม่เสียเวลา หรือถ้าอยู่เมืองไทยเธอก็จะควงคุณพ่อสุดเลิฟไปดูหนังบู๊แอคชั่นกันสองคนพ่อลูก โดยที่คุณแม่ขอเป็นแม่บ้านที่ดูแลพวกเราทุกคนหลังเสร็จสิ้นภาระกิจต่างๆ แล้วกลับเข้าบ้าน
 
             "เป้าหมายในวันพรุ่งนี้ของหนูคืออยากให้มีสินค้าของชาวเกาะและแม่พลอยวางขายทั่วโลก ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะเจอคนใช้ชาวเกาะ ใช้เครื่องแกง ใช้น้ำจิ้มแม่พลอย และอยากให้มีสินค้าเหล่านี้วางขายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ ให้ครบด้วยค่ะ"
 
 
อยู่กันแบบครอบครัว
 
             นอกเหนือจากเรื่องธุรกิจการค้า สิ่งหนึ่งที่ “ฝน” นันทินี เทพผดุงพร ได้รับการตอกย้ำจากคุณย่า คุณพ่อ คุณอา คือการคืนสู่สังคมกับโครงการต่างๆ มากมายที่ชาวเกาะและแม่พลอยช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับเกษตรที่ส่งมะพร้าวมาให้อย่างสม่ำเสมอ โดยส่วนใหญ่มะพร้าวที่ได้มาจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้กับมะพร้าวพันธุ์มาลายูสีเหลือง ซึ่งในระหว่างที่เกิดปัญหาความไม่สงบเกิดขึ้นก็ไม่ได้เกิดปัญหาในเรื่องของจำหน่ายมะพร้าวมาให้ยังบริษัทเพราะเราค้าขายกันมานาน รวมถึงเราเอาใจใส่กับเกษตรกรเสมอ ถามสารทุกข์สุกดิบ ให้ความสำคัญกับเกษตรกร ให้ความรู้ในเรื่องของนวัตกรรมใหม่ๆในการปลูกมะพร้าวให้ได้ผลดี มีการจัดเวิร์คช็อปให้เจ้าหน้าทางการเกษตรไปอบรมเรื่องการปลูกมะพร้าวตลอด
 
             รวมไปถึงการคืนสู่สังคมในเรื่องของการศึกษา จะมีการให้ทุนการศึกษากับลูกหลานเกษตรกรอย่างต่อเนื่องทุกปี และไม่ใช่เฉพาะแต่เกษตรกรที่ค้าขายกับเราเท่านั้น การช่วยเหลือและสนับสนุนเป็นไปในวงกว้าง เมื่อได้ก็ต้องคืนกลับ เรามีโครงการต่างๆ เพื่อสังคมหรือที่เรียกกันติดปากว่าซีเอสอาร์หลายโครงการ เกษตรกรหรือคนไทยถือเป็นคนที่มีบุญคุณกับชาวเกาะ มีวันนี้ก็เพราะทุกคน เราก็ต้องตอบแทนทุกคนเฉกเช่นเดียวกัน....