ข่าว

แกะรอยจากพระเครื่อง จับมือฆ่า 5 ศพครอบครัว 'บุญทวี' (ตอน 1)

แกะรอยจากพระเครื่อง จับมือฆ่า 5 ศพครอบครัว 'บุญทวี' (ตอน 1)

01 มี.ค. 2558

แกะรอยจากพระเครื่อง จับมือฆ่า 5 ศพครอบครัว 'บุญทวี' (ตอน 1) : คลี่ปมปริศนา CSI THAILAND : โดย...ทีมข่าวอาชญากรรม

 
                         "ร่องรอยบาดแผลและลักษณะการก่อเหตุของคนร้ายบ่งบอกถึงพฤติการณ์โหดเหี้ยม การกระทำกับผู้เสียชีวิตราวกับแค้นเคืองมานาน หรือไม่ก็เจ็บช้ำน้ำใจจากการกระทำของครอบครัวผู้ตายมาอย่างหนัก ตำรวจจึงให้น้ำหนักมูลเหตุจูงใจการก่อคดีฆ่าล้างครัวครั้งนี้ อาจมาจากความขัดแย้ง ซึ่งเป็นไปได้ทั้งเรื่องพนัน ชู้สาว ปัญหาความขัดแย้งกับญาติพี่น้อง โดยเฉพาะเรื่องมรดกที่ดิน แต่แม้ตำรวจจะพยายามแกะรอยเงื่อนปมเหล่านี้อย่างละเอียด กลับไม่พบปมสาเหตุที่นำไปสู่การฆ่าอย่างทารุณในครั้งนี้ต่อไป"
 
 
                         ย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อบ่ายวันที่ 26 เมษายน 2540 เพื่อนร่วมงานของ “ประภาส บุญทวี” วัย 43 ปี หัวหน้าสถานีอนามัยบ้านระวะ ต.ระวะ อ.ระโนด จ.สงขลา สังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนร่วมงาน เพราะเขาไม่เคยขาดงานโดยไม่บอกกล่าว ต่างจากวันนั้น ที่แม้เวลาบ่ายแล้วแต่กลับไม่เห็นแม้เงาของหัวหน้าสถานีอนามัยคนขยันคนนี้
 
                         เพื่อนร่วมงานจึงเดินทางไปยังที่บ้านพักเลขที่ 162 หมู่ 8 ต.ชิงโค อ.สิงหนคร จ.สงขลา ก็พบกับภาพที่ชวนตะลึง เมื่อเพื่อนร่วมงานถูกฆ่าตายอยู่ภายในบ้านพร้อมภรรยาและลูกชาย รวม5 ศพ
 
                         ร่างไร้วิญญาณของ “ประภาส” พร้อมลูกชายวัย 13, 11 และ 9 ขวบ ถูกมัดมือมัดเท้าแขวนคอไว้กับบันไดบ้าน ส่วนภรรยาของเขาถูกมัดมือมัดเท้า ที่ศีรษะและใบหน้าถูกทุบตีด้วยของแข็ง เสียชีวิตอยู่บนเตียงนอนภายในบ้านหลังเดียวกัน
 
                         พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รองอธิบดีกรมตำรวจ ในสมัยนั้น มอบหมายให้ พล.ต.ต.วรรณรัตน์ คชรักษ์ รอง ผบช.ก. เป็นหัวหน้าชุดนำทีมสืบสวนคู่ใจจากกองปราบปราม คือ พ.ต.อ.ประมวลศักดิ์ ศรีสมบุญ รองผบก.ป. พ.ต.ท.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์ รองผกก.2 บก.ป. (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) พร้อมทีมงานอีกจำนวนหนึ่ง ไปประสานงานกับทีมสืบสวนของ บก.ภ.จว.สงขลา ซึ่งขณะนั้นมี พล.ต.ต.ปรีชา แสงวรรณ ทำหน้าที่ ผบก.ภ.จว.สงขลา 
 
                         ขณะที่พนักงานสอบสวน สภ.อ.สิงหนคร ปัจจุบันคือ สภ.สิงหนคร ขณะนั้นได้ประสานตำรวจพิสูจน์หลักฐานและแพทย์นิติเวช เข้าชันสูตรพลิกศพ พร้อมทั้งเก็บรวบรวมวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ โดยสามารถเก็บลายมือแฝงของบุคคลที่คาดว่าจะเป็นของคนร้ายได้จำนวนหนึ่ง ขณะที่แพทย์ผู้ชันสูตรศพ ยืนยัน ผู้ตายทั้ง 5 คน น่าจะเสียชีวิตมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่า คนร้ายน่าจะลงมือสังหารผู้ตายทั้งหมดตั้งแต่ช่วงใกล้ค่ำของวันที่ 25 เมษายน 2540
 
                         ร่องรอยบาดแผลและลักษณะการก่อเหตุของคนร้ายบ่งบอกถึงพฤติการณ์โหดเหี้ยม การกระทำกับผู้เสียชีวิตราวกับแค้นเคืองมานาน หรือไม่ก็เจ็บช้ำน้ำใจจากการกระทำของครอบครัวผู้ตายมาอย่างหนัก ตำรวจจึงให้น้ำหนักมูลเหตุจูงใจการก่อคดีฆ่าล้างครัวครั้งนี้ อาจมาจากความขัดแย้ง ซึ่งเป็นไปได้ทั้งเรื่องพนัน ชู้สาว ปัญหาความขัดแย้งกับญาติพี่น้อง โดยเฉพาะเรื่องมรดกที่ดิน แต่แม้ตำรวจจะพยายามแกะรอยเงื่อนปมเหล่านี้อย่างละเอียด กลับไม่พบปมสาเหตุที่นำไปสู่การฆ่าอย่างทารุณครั้งนี้แต่อย่างใด 
 
                         ผ่านพ้นไปราว 1 สัปดาห์ มีผู้นำท้องถิ่นรายหนึ่งเข้าพบชุดสืบสวน พร้อมให้เบาะแส อ้างว่า ในห้วงเวลาเกิดเหตุพบเห็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นรายหนึ่ง ซึ่งคนในย่านนั้นรู้จักดี ในชื่อ “ไอ้แหวง” ตำรวจกระจายกำลังออกติดตามและเชิญตัวผู้ต้องสงสัยรายนี้มาสอบสวน ซึ่งเขายืนยันว่า ในวันเกิดเหตุเข้าไปใกล้ละแวกบ้านผู้ตายจริง แต่ไม่ได้ไปที่บ้านผู้ตาย เพราะมีนัดตั้งวงก๊งเหล้ากับกลุ่มคนรู้จักที่ริมทะเล ซึ่งอยู่ถัดออกไปจากบ้านเกิดเหตุไม่มากนัก
 
                         ตำรวจพยายามตรวจสอบคำให้การของ “ไอ้แหวง” อย่างละเอียด พบพยานยืนยันตรงกันหลายปากว่า สิ่งที่ผู้กว้างขวางในพื้นที่รายนี้บอกตำรวจเป็นเรื่องจริง เขาจึงรอดพ้นจากการตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าล้างครัวครอบครัว “บุญทวี” แต่เนื่องจากเคยก่อคดีฆ่าน้าเขยตัวเองมาเมื่อปี 2539 จึงถูกแจ้งข้อหาฆ่าคนตายในคดีค้างเก่าไปในที่สุด
 
                         ตำรวจชุดสืบสวนกองปราบปรามลงพื้นที่ปูพรมแกะรอยคนร้ายในละแวกบ้านหลังเกิดเหตุอีกครั้ง และพบชายวัย 70 ปี รายหนึ่ง ซึ่งมีบ้านพักอยู่ใกล้กับบ้านหลังเกิดเหตุ ซึ่งชายรายนี้กลายเป็นพยานปากสำคัญทางคดี
 
                         “ตอนเย็นวันนั้นผมจะเข้าไปคุยที่บ้านหมอ เห็นคนร้าย 2 คน จับเด็กๆ มัดมือมัดเท้า แต่ยังไม่แขวนคอ ตอนนั้นหมอยังไม่กลับบ้าน ผมกลัวมาก จึงเดินเลี่ยงกลับบ้าน โดยไม่กล้าบอกใคร” ชายวัย 70 ปี ให้ข้อมูลต่อตำรวจ
 
                         “คนร้ายเป็นชายวัยรุ่น มีด้วยกัน 2 คน คนหนึ่งผิวคล้ำ สูงประมาณ 168 เซนติเมตร อีกคนสูงราว 170 เซนติเมตร ซึ่งคนผิวคล้ำหันมาเห็นผมเขายังยิ้มให้ผมด้วย ผมไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน เชื่อว่าไม่ใช่คนในละแวกนี้” นี่คือเบาะแสสำคัญที่ชุดคลี่คลายคดีได้จากชายวัย 70 ปี พยานปากสำคัญ
 
                         เบาะแสที่ได้ผนวกกับร่องรอยการรื้อค้นข้าวของภายในบ้านที่กระจัดกระจายไปทั่ว ทำให้ตำรวจชุดคลี่คลายคดีฉุกคิดให้น้ำหนักมาในเรื่องฆ่าชิงทรัพย์ จึงพยายามสอบถามจากคนรอบข้าง กระทั่งได้ข้อมูลจากญาติและเพื่อนสนิท จนทราบว่า สร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง พร้อมจี้เล็กๆ ของภรรยานายประภาส หายไป ที่สำคัญคือ พระเครื่องจำนวนหลายร้อยองค์ที่ “ประภาส” จัดสร้างร่วมกับเจ้าอาวาสวัดป่าขาด ใน อ.สทิงพระ จ.สงขลา ซึ่งผู้ตายมักนำออกแจกจ่ายให้ประชาชนคนรู้จักเป็นประจำ สูญหายไปไม่เหลือแม้แต่องค์เดียว
 
                         พ.ต.ท.วีระศักดิ์ พร้อมลูกน้องรู้ใจ จึงเดินทางไปนมัสการเจ้าอาวาสวัดป่าขาด ซึ่งได้เบาะแสมาว่า เจ้าอาวาสได้มอบพระเครื่องแก่หมอประภาสมาเกือบ 400 องค์ ซึ่ง พ.ต.ท.วีระศักดิ์ได้เช่าพระเครื่องรุ่นนี้มาแจกจ่ายให้ผู้นำท้องถิ่นและตำรวจใน จ.สงขลา และใกล้เคียง โดยหวังให้พระรุ่นนี้เป็นที่ต้องการของตลาดค้าพระในพื้นที่ คนร้ายจะได้นำพระเครื่องที่เอาไปจากบ้านหลังเกิดเหตุนำพระออกมาจำหน่าย
 
                         และแล้ว “ปลาก็ตะครุบเหยื่อ” เมื่อทีมสืบสวนได้รับแจ้งจากสารวัตรงานป้องกันและปราบปราม สภ.เมืองยะลา ว่า มีวัยรุ่น 2 คน นำพระเครื่องรุ่นที่ว่าไปขายให้ผู้ใหญ่บ้านรายหนึ่งใน อ.ธารโต จ.ยะลา 
 
                         พ.ต.ท.วีระศักดิ์ จึงเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาใน อ.ธารโต เพื่อไปพบกับผู้ใหญ่บ้านรายนี้ทันที แต่คลาดกันหวุดหวิด เมื่อผู้ใหญ่บ้านเดินทางไปทำธุระส่วนตัวที่กรุงเทพมหานคร 
 
                         แต่การเดินทางไป อ.ธารโต ไม่เสียเปล่า เพราะตำรวจมีโอกาสพบปะกับหลานชายของผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งตำรวจได้นำพระเครื่องรุ่นที่เช่ามาจากเจ้าอาวาสวัดป่าขาดออกมาให้หลานชายผู้ใหญ่บ้านดู ซึ่งเขายืนยันว่า เพิ่งมีคนนำมามอบให้ผู้ใหญ่ไม่กี่วันที่ผ่านมา
 
                         “ศักดิ์ ปากรอ" มากับเพื่อนคนหนึ่ง มาหาน้าผู้ใหญ่แต่ไม่พบ จึงฝากพระรุ่นนี้ไว้ให้ 20 กว่าองค์ หลานของผู้ใหญ่บ้านให้เบาะแสสำคัญ
 
                         ตำรวจขยายผลกระทั่งทราบว่า “ศักดิ์ ปากรอ” เป็นฉายาของ นายเรืองศักดิ์ ทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของผู้ใหญ่บ้านใน อ.ธารโต จ.ยะลา รายนี้ ต่อมาตำรวจได้เบาะแสว่า “ศักดิ์ ปากรอ” ไปพักอยู่กับน้าสาวในตัวเมืองสงขลา 
 
                         ตำรวจชุดสืบสวนจึงตามไปยังบ้านหลังนี้ แต่คลาดกันหวุดหวิด เมื่อ “ศักดิ์” เดินทางออกจากบ้านหลังนี้ก่อนที่ตำรวจจะไปถึงประมาณ 6 ชั่วโมง  
 
                         “มันไปเมืองกาญจน์ เห็นว่าจะไปขออยู่กับน้าอีกคนที่นั่น” น้าสาวของศักดิ์ ให้เบาะแสตำรวจ 
 
                         ประโยคเด็ดที่หลุดจากปากของน้าสาว “ศักดิ์ ปากรอ” ที่ตำรวจได้ยิน กลายเป็นเบาะแสสำคัญที่นำมาสู่การติดตามจับกุมมือสังหาร 5 ศพครอบครัว “บุญทวี” มือสังหารจะจนมุมตำรวจได้อย่างไรติดตามต่อตอนหน้า
 
 
 
 
 
--------------------
 
(แกะรอยจากพระเครื่อง จับมือฆ่า 5 ศพครอบครัว 'บุญทวี' (ตอน1) : คลี่ปมปริศนา CSI THAILAND : โดย...ทีมข่าวอาชญากรรม)