ข่าว

'ลงทุนหุ้น'เกมการเงินคนรุ่นใหม่มีทั้ง'โอกาส-วิกฤติ'

'ลงทุนหุ้น'เกมการเงินคนรุ่นใหม่มีทั้ง'โอกาส-วิกฤติ'

23 ก.พ. 2558

'ลงทุนหุ้น'เกมการเงินคนรุ่นใหม่ เตือนเป็นดาบสองคมมีทั้ง'โอกาส-วิกฤติ' : คมคิดนิวเจนฯ

             ประโยคที่ว่า คนจนเล่น "หวย" คนรวยเล่น "หุ้น" ดูจะใช้ไม่ได้แล้วในยุคนี้ เพราะปัจจุบันการลงทุนใน "ตลาดหุ้น" เปิดโอกาสให้แก่ทุกคนที่มองเห็นโอกาสนั้น ทำให้ "คนรุ่นใหม่" จำนวนไม่น้อยกล้าที่จะนำเงินที่เก็บออมไว้เข้ามาหยิบฉวยกำไรจากตลาดหุ้น จนกลายเป็นกระแสการลงทุนของผู้คนรุ่นใหม่ เห็นได้จากตัวเลขยอดเติบโตของการเปิดบัญชีลงทุนที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะการเติบโตในส่วนของอินเทอร์เน็ต เทรดดิ้ง

             ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (ตลท.) ณ สิ้นปี 2557 พบว่าจำนวนบัญชีนักลงทุนเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดด้วยยอด 1.10 ล้านบัญชี เติบโตจากปีก่อน 9.1% จำนวนบัญชีที่แอ็กทีฟในเดือนธันวาคม 2557 มี 345,457 บัญชี คิดเป็น 31.4% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อบัญชีอยู่ที่ 3.24 ล้านบาท บัญชีอินเทอร์เน็ต สิ้นเดือนธันวาคมปี 2557 มีจำนวน 246,782 บัญชี เพิ่มขึ้นถึง 77% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตพบว่าเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

             จากกระแสความคึกคักเหล่านี้ "คม ชัด ลึก" ได้พูดคุยกับนักลงทุนหน้าใหม่ที่เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ มาร่วมแชร์ประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งบอกได้เลยว่าแต่ละคนต่างมีสไตล์เป็นของตัวเอง และไม่ธรรมดาเลยจริงๆ


เริ่มต้นหาข้อมูล-วิเคราะห์เทคนิค

             "วิสุทธิ์ ประทีปอมรสุข" พนักงานบริษัทเอกชน เริ่มเข้าลงทุนในตลาดหุ้นอย่างจริงๆ จังๆ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา โดยเปิดบัญชีซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต เริ่มต้นด้วยเงินทุน 1 แสนบาท แถมมีทั้งญาติและผองเพื่อนฝากเงินทุนมาให้ช่วยบริหาร ผ่านมา 2 ปี พอร์ตขยายใหญ่ขึ้นมาแตะระดับหลักล้านบาท

             เขาเล่าว่า ก่อนที่จะเปิดบัญชีได้ใช้เวลาหลังเลิกงานศึกษาหาข้อมูลการลงทุนนานกว่า 4-5 เดือน จากแหล่งต่างๆ รวมทั้งเว็บไซต์ set.or.th ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากนั้นจึงเริ่มเข้ามาลงทุนด้วยเงินทุนที่ไม่มากนัก ราว 1 แสนบาท ช่วงแรกๆ ก็ล้มลุกคลุกคลานพอสมควร แต่ได้ใช้เวลาอ่านและหาข้อมูลไปต่อเนื่อง

             "แนวทางลงทุนของผม การจะเลือกหุ้นตัวหนึ่งจะดูเทคนิคัลก่อน แล้วมาดูพื้นฐานของหุ้นตัวนั้น แต่ก็ยังไม่ใช่นักลงทุนประเภทที่เรียกว่าเน้นคุณค่า หรือ วีไอ คิดว่าตัวเองเป็นนักลงทุนประเภทระยะสั้นถึงระยะกลางมากกว่า แต่ยอมรับว่าในช่วงที่เข้ามาลงทุนนั้น เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นภาวะกระทิง โอกาสที่หุ้นจะลงแรงในอนาคตก็มีความเป็นไปได้ ทำให้คิดว่าจากนี้คงจะต้องใช้ข้อมูลพื้นฐานมากขึ้น ตั้งแต่เศรษฐกิจมหภาค และพื้นฐานของตัวหุ้น เพื่อลดความเสี่ยงลง" วิสุทธิ์ กล่าวและว่า เมื่ออายุมากขึ้น รับความเสี่ยงได้น้อยลงก็คิดว่าคงจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการลงทุนเป็นแบบ วีไอ โดยอ่านหนังสือและติดตามวิธีการลงทุนจากทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์ และ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

             นอกจากนี้ เขายังมีมุมมองต่อคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นด้วยว่า เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งสำหรับเขาแล้ว การเข้ามาในตลาดหุ้นถือเป็นเรื่อง "การลงทุน" ไม่อยากใช้คำว่าเข้ามา "เล่นหุ้น" และจะให้ความสำคัญกับการศึกษาหาข้อมูลก่อน จากนั้นค่อยมาดูที่ตัวเราว่าเราเป็นนักลงทุนประเภทใด และมองว่าการนำเงินเข้ามาซื้อหุ้นเลย แบบไม่ได้หาความรู้มาก่อนเลย ก็เหมือนกับการพนันมากกว่า ไม่ใช่การเข้ามาลงทุน

             ดังนั้น สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่กำลังจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นนั้น ก็อยากแนะนำให้ศึกษาหาความรู้ใส่ตัวก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นนักลงทุนระยะยาวแบบไม่ตั้งใจ

ต้อง"มือถึง-ใจถึง-เงินถึง"

             "ปุณยวีร์ จันทรขจร" ผู้เขียนหนังสือ "โตเกียว เที่ยวนี้รวย" เคยมีประสบการณ์พอร์ตขาดทุนถึง 70% สมัยวิกฤติซับไพรม์ ปี 2551 จนคิดได้ว่า การบริหารเงินเป็นการบ้านที่ต้องตีโจทย์ให้แตก

             เขาเล่าว่า เริ่มสนใจการลงทุนโดยเข้าไปซื้อกองทุนประเภทต่างๆ ตั้งแต่ปี 2550 การได้เห็นตัวเลขจากรายได้ประจำจากเงินเดือน เมื่อนำมาใส่พอร์ต แล้วพบตัวเลขเติบโต จึงคิดว่าการลงทุนสามารถทำเงินได้อย่างน่ามหัศจรรย์ จากนั้นก็ได้เข้าไปหาข้อมูลดูในเว็บไซต์ ดูว่าเขาแนะนำให้ซื้อหุ้นตัวใดบ้าง ก็เข้าไปซื้อตาม ซึ่ง 3-6 เดือนแรกที่เข้าไปลงทุนตลาดเป็นขาขึ้น ก็ยิ่งใส่เงินเข้าไปมากขึ้น ทำให้โดนหนัก เมื่อปี 2551 ในช่วงวิกฤติซับไพรม์ พอร์ตติดลบไป 70% เพราะ "สต็อป ลอสต์" ไม่เป็น

             "พอดีตอนนั้นผมได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศญี่ปุ่น จึงเปลี่ยนหัวข้อทำวิจัย ขอย้ายคณะไปเรียนเรื่องการดูงบการเงิน ดูบัญชี การวิเคราะห์ทางเทคนิค และได้เข้าไปลงทุน ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น เพราะเราได้ศึกษาข้อมูลมาอย่างดีแล้ว จึงพลิกฟื้นขึ้นมาได้ ปัจจุบันผมจะลงทุนเป็นประเภท ไฮบริด คือใช้ทั้งการดูปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิค เพราะการดูงบจะบอกว่าเราควรเลือกซื้อหุ้นตัวไหน ส่วนการดูชาร์ตจะบอกเราว่าควรจะซื้อไปเมื่อไร และผมก็ใช้ทั้งสองศาสตร์นี้ไปด้วยกัน"

             ทั้งนี้ คิดว่าการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจะต้องมี 3 อย่างคือ "มือถึง" หมายถึงต้องแม่น ดูพื้นฐาน ดูกราฟเป็น "ใจถึง" คือต้องกล้าลงทุน เพื่อผลลัพธ์ที่แตกต่าง และ "เงินถึง" หากเงินก้อนแรกยังมีไม่มากก็ต้องพยายามปั่นฐานทุนให้โตก่อน โดยสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ที่มีในการลงทุน และเมื่อครบทั้ง 3 ข้อนี้แล้ว เชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงฐานะของเราได้ด้วยการลงทุนในตลาดหุ้น

             สำหรับกระแสคนรุ่นใหม่ในตลาดหุ้นไทย "ปุณยวีร์" บอกว่า ตลาดทุนเป็นโอกาสในการสร้างฐานะได้อย่างแท้จริง แต่ก็เป็น "ดาบสองคม" เพราะคนส่วนใหญ่ จะไปติดกับคำว่า "รวยเร็ว" ถือถ้าคิดอย่างนี้แล้วมันเป็นการพนันชัดๆ หากออกจากตลาดหุ้นไปก็จะออกไปแบบการพนันคือ "เจ๊ง" ซึ่งอยากบอกว่าภาพของตลาดหุ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หุ้นเล็กขึ้นเร็วและทำกำไรได้ดีมาก แต่ 1 ปีนั้น เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของตลาด เพราะคนเหล่านี้ยังไม่เคยเห็นช่วงที่ตลาดหุ้นตก ว่าเป็นอย่างไร

             "มีคนมาถามผมว่า มีเงิน 3-5 หมื่นบาทจะซื้อหุ้นตัวไหนดี ซึ่งผมก็ตอบไปว่าให้ไปซื้อหนังสือมาอ่านก่อน ทำความเข้าใจ และเข้าอบรมสัมมนา 2-3 เดือนก่อน จากนั้นลองเปิดพอร์ตดูด้วยจำนวนเงินน้อยๆ อย่าเพิ่งเอาเงินเก็บทั้งชีวิตมาลงทั้งหมด เพราะว่าถ้าตลาดหุ้นง่ายจริง ทุกคนก็รวยไปแล้ว สำหรับน้องๆ เพิ่งจบการศึกษานั้น ขอให้เข้าไปเรียนรู้ชีวิตที่แท้จริงก่อนในเรียล เซ็กเตอร์ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต อย่าเพิ่งเข้ามาในมันนี่เกมเร็วนัก เพราะมันนี่เกม เปิดต้อนรับคุณตลอดเวลาอยู่แล้ว" ปุณยวีร์ กล่าว


มีวิธีการที่ดีแล้วต้องอดทน

             "ชานน รุ่งเรืองไพฑูรย์" อีกหนึ่งคนรุ่นใหม่ไฟแรง อายุน้อย แต่ชั่วโมงบินสูง จนปัจจุบันเรียกตัวเองว่าเป็น Full time Trader หรือ "นักลงทุนอาชีพ"

             "เงิน เป็นแรงผลักดันให้ผมสนใจเข้ามาลงทุน" ชานน บอกและเล่าว่า ตนเองทำงานหารายได้มาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ม.6 หลากหลายอาชีพ รวมทั้งการเป็นนักจัดรายการวิทยุ ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็โดนเลย์ออฟ ขาดรายได้จึงต้องหารายได้ทางอื่นเข้ามาทดแทน จึงเริ่มเข้ามาลงทุน

             "ผมว่าแรกๆ ได้ประสบการณ์ดีนะ มีทั้งได้และเสีย เราลงทุนด้วยความที่ไม่รู้เรื่องความเสี่ยงเลย จนไปเสียหนักๆ ตอนจับสินค้าประเภทฟิวเจอร์ เสียหายเกือบหมดตัว จนกินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับ เพราะเราเป็นคนเอาจริง และทุ่มเทมาก เป็นการเฟลครั้งยิ่งใหญ่ก็ว่าได้"

             จากนั้นจึงกลับมาศึกษาถึงจุดผิดพลาดของตัวเอง ปรับปรุง และค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาจนตอนนี้เรียกได้ว่าอยู่รอดแล้ว แต่ยังไม่อยากใช้คำว่ารวย

             เขาเล่าว่า ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในแผนกกองทุนของเมย์แบงก์ กิมเอ็ง ซึ่งบอกได้เลยว่าเป็นความโชคดีที่ได้เข้าไปศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในมุมต่างๆ ซึ่งการลงทุนแรกๆ ยังไม่ได้เทรดประจำ โดยได้ร่วมลงทุนทำร้านอาหารกับเพื่อนๆ แต่พอมีรายได้ระดับหนึ่งแล้ว ก็ผันตัวมาเป็น "นักลงทุนอาชีพ" โดยมีกระแสเงินจากการลงทุนมาเป็นรายได้ ซึ่งจะเรียกว่าเป็น "นักเก็งกำไร" เลยก็ว่าได้

             "เรื่องอิสรภาพทางการเงิน การลงทุนในตลาดหุ้น เป็นมุมมองและความฝันของคนรุ่นใหม่เลยล่ะ ซึ่งการที่ผมทำร้านอาหารมาก่อน แล้วลงทุนในตลาดหุ้น ก็คิดว่ามันสบายกว่าจริง แต่พอเข้ามาจริงๆ แล้วกลับไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะแม้เป็นอาชีพที่จะไม่ได้ใช้ "แรงกาย" เลย แต่ต้องใช้ "แรงใจ" เยอะมาก สุดท้ายแล้วจากที่เคยทำมาหลายอาชีพพบว่า "อาชีพนักลงทุน" นี่แหละที่เหนื่อยใจที่สุด เพราะใจจะผันผวนตลอดเวลา"

             ทั้งนี้ มองว่า "อิสรภาพทางการเงิน" มี 3 สเตจ คือ "รอด" "รวย" และ "มั่งคั่ง" ซึ่งกว่าจะผ่านขั้นตอนรอด และรวยมาได้ นับว่ายากมาก ต้องใช้เวลานานกว่าที่คิด แต่ก็ยังไม่ใช่ความมั่งคั่งอยู่ดี เพราะหากคุณหยุดกระแสเงินก็หยุดด้วย ขณะที่ความมั่งคั่งจะมีรายได้อย่างสม่ำเสมอ แต่กว่าจะไปถึงจุดนี้ได้ก็ต้องใช้เวลานานเช่นกัน ซึ่งการจะไปสู่เป้าหมายที่ว่านี้ได้จะต้องมีการขยายฐานทุน ด้วยวิธีการที่ดี บวกด้วยเวลา สำหรับตนแล้วเชื่อว่ามีวิธีการที่ดีแล้ว แต่ยังต้องรอเวลาเท่านั้น

             สำหรับคนรุ่นใหม่ ในเรื่องการหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนนั้นไม่ห่วง แต่ที่พวกเขาไม่มีคือ ความอดทน ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังบอกตัวเองเสมอให้ "อดทน" และต้อง "รอ" ให้เป็น เพราะทุกวันนี้ทุกอย่างรวดเร็วไปหมด จนเราอยากได้อะไรเร็วๆ จึงต้องบอกตัวเองให้ได้ว่าทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดหรอกนะ อย่างที่ผมเคยคิดว่าทุกอย่างจะเร็วกว่านี้ แต่ก็ได้เรียนรู้แล้วว่าไม่ใช่อย่างที่คิด ซึ่งกว่าที่ผมจะไปถึงเป้าหมายได้ผมยังต้องใช้เวลาอีก 10-15 ปี จนถึงตอนนั้นผมอายุ 45 ปีแล้ว

คิดให้รอบคอบ-ไม่ประมาท

             ปิดท้ายที่สาวนักกิจกรรม "นิจจรีย์ นิธินวกร" เจ้าของหนังสือ "สร้างเงินล้านก่อนเรียนจบ" ล่าสุดเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ในโครงการ I’m Online Investor ของตลาดหลักทรัพย์

             เธอเล่าว่า ซึมซับการลงทุนในตลาดหุ้นมาจากผู้ปกครองตั้งแต่เด็ก และได้ลองเล่นเกม click2win ของตลาดหลักทรัพย์ที่เปิดให้มือใหม่ลองเทรด หรือลงทุนในหุ้นโดยใช้เงินปลอม จากนั้นเริ่มลงทุนจริงตอนอายุ 17 ปี แรกๆ ก็ขาดทุนบ้างแบบแค่เจ็บๆ เป็นแผลถลอกๆ ซึ่งต้องบอกว่าโชคดีด้วยที่เข้ามาในตลาดช่วงที่เป็นขาขึ้นในภาพใหญ่มาตลอด และถึงตอนนี้ยังไม่เคยเจอวิกฤติหนักๆ ทำให้มองว่ายังห่างไกลความสำเร็จ เพราะการจะเป็นนักลงทุนตัวจริงได้ก็ต่อเมื่อสามารถรอดชีวิตจากวิกฤติได้

             สำหรับการลงทุนตอนนี้เปลี่ยนไปจากตอนเริ่มแรกมาก เราะมีรุ่นพี่เก่งๆ คอยแนะนำ จึงนำมาปรับใช้กับตัวเอง โดยมองว่าเสน่ห์อย่างหนึ่งของการลงทุน คือการที่ไม่มีสูตรตายตัว แถมการลงทุนยังค่อยๆ เปลี่ยนไปตามกาลเวลา มีเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ อยู่เสมอๆ ระบบเศรษฐกิจโลกก็เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายใหม่ๆ สรุปคือเกมการเงินนี่เล่นได้ไม่มีเบื่อ ทำให้นักลงทุนต้องคอยปรับตัวและลับมีดให้คมอยู่ตลอดเวลา

             "การที่มีกระแสคนรุ่นใหม่สนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นกันมากขึ้น มองว่าเป็นเทรนด์ที่ดี เพราะการบริหารเงินและการลงทุนยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งดี จะได้เจ็บตัวตั้งแต่ยังไม่ค่อยมีเงิน แถมยิ่งเมื่อมีเวลามากก็ยิ่งสามารถทำให้พอร์ตเติบโตได้มากกว่าคนที่มาลงทุนตอนแก่ ซึ่งมองว่าถ้าคนรุ่นใหม่ทุ่มเทกับการศึกษาเรื่องการลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ต่อไปก็จะสามารถเกษียณได้อย่างสบายๆ หรือถ้าทำได้ดีก็อาจจะมีอิสรภาพทางการเงินก่อนวันเกษียณ" นิจจรีย์ กล่าวและว่า

             มีข้อแนะนำสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ 2 เรื่องคือ 1.ทุกอย่างเป็นดาบสองคม การจะทำอะไรต้องอยู่ในความพอดี คิดให้รอบคอบ และหลายคนที่กำลังแสวงหาความมั่งคั่งนั้น ไม่อยากให้หมกมุ่นแต่กับเรื่องเงิน เพราะการจะมั่งคั่งได้จริงๆ ควรจะมั่งคั่งทั้งเงินทอง ความรักและญาติมิตร อีกทั้ง มั่งคั่งด้วยเวลา และสุขภาพ และ 2.การลงทุนเหมือนชีวิตที่ไม่ควรปล่อยให้ตั้งอยู่ในความประมาทเป็นอันขาด เมื่อไหร่ก็ตามที่เผลอคิดว่าตัวเองเก่ง รู้หมดทุกอย่าง นั่นคือช่วงเวลาที่เราอ่อนแอและถูกโจมตีได้ง่ายที่สุด

             "เกมการเงินนี้สนุก ดังนั้น ควรรักษาตัวรักษาพอร์ตให้ดีถ้าอยากอยู่เล่นในตลาดได้ยาวๆ ค่ะ" นิจจรีย์ กล่าวทิ้งท้าย