ข่าว

'โกกั้ง'บทเรียนของพม่าถึงไทย

'โกกั้ง'บทเรียนของพม่าถึงไทย

23 ก.พ. 2558

'โกกั้ง'บทเรียนของพม่าถึงไทย : มองมุมยุทธศาสตร์ โดยเรือรบเมืองมั่น

               กลับมาทวงแค้นอย่างน่ากลัวของกองกำลังแบ่งแยกดินแดนโกกั้ง สังหารทหารพม่าไม่ต่ำกว่าครึ่งร้อย ทำให้พม่าต้องส่งเครื่องบินไล่ถล่มจุดยุทธศาสตร์ของโกกั้ง ส่งผลให้มีผู้อพยพหลายหมื่นคนทะลักเข้าจีน เป็นปัญหากลุ้มกันทุกฝ่าย รวมทั้งไทยเองที่ต้องมองเรื่องของเสถียรภาพโดยรวมของประเทศเพื่อนบ้านและยาบ้าจากพื้นที่นั้น แม้ว่าจะไกลกันมาก

               ชาวโกกั้งนั้นเป็นชนกลุ่มน้อยที่ต่างออกไปจากกลุ่มอื่น เพราะไม่มีอะไรเอ่ยอ้างได้ว่าเป็นชนพื้นเมืองแบบคนเผ่าอื่น แต่พวกเขาเป็นชาวจีนฮั่นแท้ๆ ที่อพยพมายึดดินแดนบริเวณชายแดนระหว่างรัฐฉานกับจีนตั้งแต่ปี 2282 ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาแตกเสียอีก โดยขุนศึกตระกูลหยาง (คนละตระกูลกับที่มีชื่อเสียงโด่งดังสมัยซ้อง) ที่ภักดีราชวงศ์หมิงร่นถอยหนีราชวงศ์ชิงเข้ามายึดพื้นที่แถบนั้นตั้งเป็นรัฐอิสระ บางครั้งก็รบกับเจ้าถิ่นไทยใหญ่บ้าง รบกับพม่าบ้างไปเรื่อย เมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองพม่า ก็เข้าทางฝรั่งจักรวรรดินิยมที่ชอบแบ่งแยกแล้วปกครองเลยให้ยศเจ้าฟ้า อยู่สบายมีความมั่นคงในพื้นที่ แต่ต่อมาในยุคหลังเพราะความที่ใกล้จีน อิทธิพลถึงก็กลายเป็นคอมมิวนิสต์ไป ทายาทตระกูลหยางเป็นผู้ปกครองแต่ในนาม แต่หลังสิ้นสุดยุคคอมมิวนิสต์อำนาจไปอยู่ในมือพวกค้ายาเสพติดรายได้ดีที่ก่อตั้งกองกำลังชื่อเอ็มเอ็นดีเอเอ 

               แม้ว่าโกกั้งเป็นพวกแรกที่ยอมลงนามหยุดยิงกับรัฐบาลเมื่อปี 2523 แต่ผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใครและยาบ้าทำลายคนเหลือเกิน รัฐบาลพม่าจึงไม่เกรงใจใช้กำลังเข้าถล่มแคว้นอิสระนี้ซะเมื่อ 5 ปีก่อนนี่เอง ที่ไม่เกรงใจต่างจากว้าหรือคะฉิ่นที่เจรจากันหลายรอบ ก็เพราะเห็นว่าโกกั้งมีกำลังทหารน้อยและไม่ใช่ชนพื้นเมืองแท้เหมือนแค่ผงในตา รอบนั้นชนะจริง แต่รอบนี้พวกเขากลับมาแล้วพร้อมอาวุธที่ทันสมัยกว่าเดิมเยอะ เรื่องอาวุธทันสมัยนี่ไม่รู้เหมือนกันว่า พวกที่เกาะเกี่ยวกับจีนอย่างเช่นโกกั้ง หรือเช่นพวกกบฏเหมาในอินเดียถึงมีกันได้ จีนปฏิเสธไม่ให้การสนับสนุน แต่บางฝ่ายอดคิดไม่ได้ เพราะพวกที่ได้อาวุธไปเชื้อชาติเดียวกันมั่ง นิยมลัทธิเดียวกันมั่ง

               ลำพังทหาร 3,000 คน ของโกกั้ง อาจทำอะไรพม่าไม่ได้มากนักนอกจากความสูญเสียในพื้นที่จำกัด แต่พอโกกั้งลุกฮือ กองกำลังติดอาวุธอีกหลายกลุ่มแถวรัฐฉานตอนเหนือและที่อื่นๆ ก็ผสานเสียงเอามั่ง พม่าจึงต้องทวีความเครียด เพราะไหนจะคะฉิ่นไม่ยอมแพ้สักที ว้าก็ไม่น่าไว้วางใจ ชาวมุสลิมและโรฮิงญาก็ยังไม่มีบทสรุปสุดท้ายในการแก้ปัญหา หากปัญหาชนกลุ่มน้อยกลับมารื้อฟื้นแรงๆ ขึ้นเอง เศรษฐกิจพม่าที่กำลังไปได้ดีขนานพุ่งทะยานอาจจะมีสะดุด

               กับไทยนั้นยังไม่ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะห่างไกลกันมาก แต่เรื่องนี้เป็นบทเรียนให้คิดต่อไปหลายอย่าง เช่น ถ้าโกกั้งครองพื้นที่ยาวนาน ธุรกิจยาบ้าโดยรวมจะเฟื่องฟูไหม หากปัญหาสู้รบไม่ยอมลงให้รัฐบาลพม่ายืดเยื้อจะเป็นตัวอย่างให้ชนกลุ่มน้อยใกล้แดนไทยมีปฏิกิริยาปึงปังอะไรไหม นอกจากนี้ลองคิดเล่นๆ ว่า การเกิดรัฐอิสระโกกั้งนั้น มาจากชนเชื้อสายจีนฮั่นที่เข้าไปอาศัยเพาะกำลังและอาวุธกล้าแข็ง เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดกับลาวและไทยบ้างหรือไม่ ถ้าพวกที่มากับการย้ายถิ่นทางเศรษฐกิจที่เพิ่งเกิดหรือกำลังจะเกิดจากการลงทุนขนานใหญ่ในอนาคตไม่ยอมกลับและแข็งเมืองล่ะ


'ยิ่งลักษณ์'เป้าหมายที่เปราะบาง : ขยายปมร้อน โดยจิรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง


               ในรอบสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นร้อนๆ เปรียบดั่งเป็น “สึนามิ” 3 ระลอกใหญ่ที่ซัดเข้าฝั่งรัฐบาลและคสช. ทำเอาปั่นป่วนไปพอสมควร จนต้องออกมาแถลงชี้แจงรายวันต่อกรณีที่ซัดต่อเนื่องกัน คือ เริ่มจากระลอกแรกกับการที่ นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เดินทางมาประเทศไทย และมาเรียกร้องให้เลิกกฎอัยการศึกและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ก็มีการตอบโต้จากฝ่ายรัฐบาลจนกระแสข่าวเงียบท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยกับท่าทีของสหรัฐอเมริกา

               ต่อด้วยระลอกสอง ที่อดีตนายกฯ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ขออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งคำขอดังกล่าวก็ถูกปฏิเสธโดยคสช. และจากนั้นระลอกสามตามมาติดๆ ที่อดีตนายกฯ หญิงต้องเบนเส้นทางการบิน ในเมื่อไม่ได้ไปเมืองนอกแล้ว ก็บินขึ้นไปพักผ่อนที่ จ.เชียงใหม่ บ้านเกิด ทว่า กลับมีข่าวและภาพข่าวปรากฏว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารของกองทัพภาคที่ 3 ตั้งด่านตรวจและมีรถตู้ส่วนตัวของคุณยิ่งลักษณ์ถูกตรวจที่ด่านตรวจดังกล่าว ทำเอาฝ่ายสนับสนุนพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงนำมาขยายความว่า เป็นการ “คุกคาม ไล่ล่า ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ”

               ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลและ คสช.ก็พร้อมใจกันออกมายืนยันเสียงแข็งว่า ไม่ใช่การไล่ล่า หรือคุกคาม แต่เป็นการดูแลบุคคลวีไอพีตามปกติ และยืนยันว่าไม่มีการตรวจค้นรถ ข่าวนี้ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องตอบคำถามนักข่าวดุเดือดรายวันเช่นกัน แล้วจากนั้นกระแสข่าวก็เริ่มซาลง

               แต่สิ่งที่อยากจะชวนมาโฟกัสเป็นพิเศษ คือ กรณีที่เกิดขึ้นกับอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ผมมีโอกาสไปนั่งสนทนากับบุคคลระดับสูงที่ดูแลงานด้านความมั่นคงในรัฐบาล ก็ได้สอบถามถึงความจำเป็นที่รัฐบาลและ คสช.ต้องมีมาตรการตามติดคุณยิ่งลักษณ์อย่างใกล้ชิด ก็ได้รับคำชี้แจงที่เป็นคำอธิบายง่ายๆ สั้นๆ ว่า “เพราะว่าคุณยิ่งลักษณ์คือเป้าหมายที่เปราะบางมากในลำดับต้นๆ”

               ทั้งนี้คำว่า “เปราะบางมาก” ก็ได้รับการอธิบายขยายรายละเอียดว่า เพราะทุกความเคลื่อนไหวของคุณยิ่งลักษณ์ที่ตอนนี้เป็นเบอร์ 1 ของพรรคเพื่อไทยที่อยู่ในประเทศไทย ย่อมมีผลกระทบและความอ่อนไหวต่อรัฐบาลและ คสช.ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะปล่อยให้เคลื่อนไหวอิสระหรือมีมาตรการตามติดก็ตาม

               พร้อมกับสมมุติให้เห็นภาพว่า ถ้าสมมุติรัฐบาลหรือคสช.ไม่ตามติด และสมมุติว่า คสช.อนุญาตให้คุณยิ่งลักษณ์เดินทางไปต่างประเทศตามที่ขออนุญาตมา แล้วไม่เดินทางกลับประเทศไทยจริงๆ ดังที่รับปากไว้ ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้วจากอดีตนายกฯ ผู้พี่ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ก็จะทำให้คดีความต่างๆ โดยเฉพาะคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่มีความเสียหายมหาศาลหลายแสนล้านบาท ที่คดีกำลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลจะทำอย่างไรหากไม่มีจำเลยมาขึ้นศาลนัดแรก

               นั่นเท่ากับว่า เสียงด่า แรงกดดัน แรงกระเพื่อมก็จะถาโถมตกมาที่รัฐบาลและคสช. ก็จะย้อนมาถาม คสช.และรัฐบาลว่า “ปล่อยให้หนีไปได้ยังไง”

               ดังนั้นรัฐบาลและคสช.ได้ประเมินสถานการณ์และชั่งน้ำหนักความจำเป็นดูแล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง หากไม่มีการติดตามอดีตนายกฯ หญิงอย่างใกล้ชิดแบบนี้ แต่ยืนยันว่า เป็นความจำเป็น ที่ไม่ใช่การไล่ล่าคุกคามและลิดรอนเสรีภาพ เพราะอย่างไรเสีย ถ้าอดีตนายกฯ มั่นใจในความบริสุทธิ์จริง ก็ต้องพร้อมต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเรื่องการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมต้องย้อนไปอ่านวิธีคิดของ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ว่า “ผมขอประกาศไว้เลยว่า ใครทำให้บ้านเมืองเสียหายเดือดร้อน จากนี้ไปต้องรับผิดชอบ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ค่อยรับผิดชอบกันอยู่แล้ว ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมาย ตามระเบียบวินัย ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ทุกคน ทุกพรรค เจตนาดีหรือไม่ก็ไปพิสูจน์กันในศาล”