
บอยแจงปปง.ยันซื้อลัมโบกินีโดยสุจริต
21 ม.ค. 2558
"บอย-ปกรณ์"พร้อมทนายความเข้าชี้แจง ป.ป.ง.ยันซื้อลัมโบกินีโดยสุจริต ไม่รู้เห็นการยักยอกทรัพย์ สจล. ลุ้นคณะกรรมการธุรกรรมมีมติยึดหรือถอนการอายัด 11 ก.พ.นี้
วันที่ 21 ม.ค.58 เมื่อเวลา 08.00 น. นายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือ "บอย" ดารานักแสดงชื่อดัง พร้อมทนายความเดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อชี้แจงที่มาของการซื้อรถยนต์หรูลัมโบกินี สีเขียว จากนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ภายหลังชี้แจงข้อมูลนานกว่า 2 ชั่วโมง พ.ต.อ.สีหนาท และนายปกรณ์ร่วมกันแถลงข่าวตอบข้อซักถามของสื่อมวลชน
พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวว่า การเดินทางเข้าพบ ป.ป.ง.ครั้งนี้เป็นไปตามที่ ป.ป.ง.มีมติอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดี สจล. โดยหนึ่งในทรัพย์ที่ ป.ป.ง.อายัดคือรถยนต์ลัมโบกินี ที่นายปกรณ์ซื้อต่อมาจากนายกิตติศักดิ์ ตามกฎหมายฟอกเงินซึ่งเจ้าของทรัพย์ต้องนำหลักฐานเข้ามาชี้แจงพร้อมให้ปากคำ โดยนายปกรณ์ยังไม่ได้นำรถยนต์มาส่งมอบตามคำสั่งอายัดอยู่ระหว่างการตรวจสภาพรถยนต์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ แต่ได้นำเอกสารการซื้อขายรถยนต์ ที่มาของเงินที่นำมาซื้อรถเพื่อให้ ป.ป.ง.นำมาสอบทานกับธุรกรรมต้องสงสัยของนายกิตติศักดิ์ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นเงินที่ได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่ เป็นเงินจากการทำธุรกิจของตัวเองไม่ใช่เงินของนายกิตติศักดิ์ รวมถึงประเด็นที่มีการซื้อขายรถยนต์ในราคาต่ำกว่าปกติ ซึ่งขณะนี้ถือว่าการชี้แจงเสร็จสิ้นแล้ว ยกเว้นมีกรณีเพิ่มเติมก็จะเรียกมาให้การหรือส่งเอกสารเพิ่มเติม ขั้นตอนต่อไป ป.ป.ง.จะรวบรวมเอกสารและข้อมูลทั้งหมดเสนอต่อคณะกรรมการธุรกรรม ป.ป.ง.ที่จะมีการประชุมในวันที่ 11 ก.พ. นี้ เพื่อพิจารณาว่าจะมีคำสั่งยึดรถหรือเพิกถอนการอายัด
พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ว่า ป.ป.ง.จะถอนการอายัดรถยนต์หรือไม่ แต่เบื้องต้นนายปกรณ์ไม่ใช่ผู้ร้ายและไม่ใช่ผู้กระทำผิดกฎหมาย แต่เป็นผู้นำเงินมาซื้อรถยนต์ที่ได้มาจากการยักยอกทรัพย์ สจล. ซึ่งกฎหมายฟอกเงินถือว่ารถยนต์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐานฟอกเงิน แต่ในกรณีที่เจ้าของทรัพย์สามารถพิสูจน์ได้ว่า มีการซื้อขายโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนถูกต้อง ก็ต้องคืนทรัพย์ให้ผู้ซื้อซึ่งเป็นหลักการในการคุ้มครองบุคคลภายนอกที่สุจริต ในชั้นนี้นายปกรณ์ได้นำต้นขั้วแคชเชียร์เช็คมาแสดงว่ามีการซื้อขายรถด้วยเงินของตัวเอง ไม่ใช่เป็นเงินของนายกิตติศักดิ์
อย่างไรก็ตาม ป.ป.ง.ขอแจ้งเตือนไปยังประชาชนว่า มิจฉาชีพได้ฉวยโอกาสที่ตำรวจดำเนินคดียักยอกทรัพย์ จึงยกตัวอย่างการอายัดรถยนต์ของนายปกรณ์แล้วโทรศัพท์ไปหลอกลวงประชาชนให้โอนเงิน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกอายัดทรัพย์เช่นเดียวกับนายปกรณ์ ล่าสุดมีผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้คนร้าย 1.5 ล้านบาท โดยเป็นการโอนเงินถึง 6 ครั้ง ป.ป.ง.จึงขอชี้แจงและยืนยันอีกครั้งว่า กระบวนการดำเนินคดีของ ป.ป.ง.จะไม่ใช้โทรศัพท์ติดต่อ แต่จะทำหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการ
ด้านนายปกรณ์ กล่าวว่า ตนได้นำหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับการซื้อรถยนต์มาแสดงต่อ ป.ป.ง. ประกอบด้วย ข้อมูลการซื้อขาย ยี่ห้อและรุ่น หลักฐานการทำสัญญาซื้อขาย รวมถึงราคาซื้อขายรถยนต์ ซึ่งประเด็นที่มองว่าตนซื้อรถยนต์ในราคาต่ำผิดปกติ ขอชี้แจงว่ารถยนต์คันนี้เป็นรถที่ซื้อจากเกรย์มาเก็ต ราคาป้ายแดง 17.8 ล้านบาท ไม่ใช่มีราคาสูงถึง 20 ล้านบาท รถยนต์จากเกรย์มาร์เก็ตราคาซื้อจะต่ำกว่ารถยนต์ที่ซื้อจากศูนย์บริการ แต่เมื่อขายต่อเป็นรถมือสองราคาจะตกอยู่ที่ประมาณ 13.5 ล้านบาท ตนจึงไม่ได้ซื้อรถต่ำกว่าราคาในท้องตลาด ซึ่งสามารถเปิดเว็บไซต์ตรวจสอบได้ว่า รถลัมโบกินีรุ่นเดียวกับตนมีราคาอย่างไร
“ก่อนที่ผมจะซื้อรถคันนี้ได้หาข้อมูลราคาผ่านเว็บไซต์ต่างๆ พบว่ามีราคาใกล้เคียงกัน จากนั้นพี่นอกวงการบันเทิงที่รู้จักกันได้ให้เบอร์ติดต่อกับ “โอ๊ตภาดา” และคิดว่ารถคันดังกล่าวเป็นของนายโอ๊ต แต่เมื่อติดต่อซื้อขายจึงทราบว่าเป็นรถของนายกิตติศักดิ์ ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกับนายกิตติศักดิ์ ก่อนซื้อขายได้พยายามสอบถามว่าทำอาชีพอะไรแต่ก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไร ก่อนซื้อได้ตรวจสอบอย่างรอบคอบว่ามีการเสียภาษีนำเข้าถูกต้องหรือไม่ และได้ทำสัญญาซื้อขายอย่างรัดกุม แต่กรณีที่นายกิตติศักดิ์ไปยักยอก สจล.เป็นเรื่องเหนือการควบคุมของผม หลังมีคดีความผมก็ไม่เคยติดต่อกับผู้ต้องหาอีกเลย ตอนนี้คงจะงดซื้อรถแพง ส่วนตัวแล้วต้องการได้รถคืนเพราะเป็นรถที่ซื้อได้มาจากการทำงาน เพียงแต่โชคไม่ดีที่เจอกับรถคันนี้ อย่างไรก็ตามผมยินดีให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง หลังจากนี้คงต้องขึ้นอยู่กับป.ป.ง.”นายปกรณ์กล่าว
"ตร."เล็งขอข้อมูล "บอย-ปกรณ์" จาก"ป.ป.ง." มาประกอบสำนวน
ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อเวลา 11.00 น. พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีลักเงินคงคลังสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) จำนวน 1,474 ล้านบาท ว่า หลังจากพนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำ น.ส.จุฑารัตน์ ปัดภัย น้องสาวของนายกิตติศักดิ์ มุทธุจัด ผู้ต้องหารายสำคัญที่ยังหลบหนีการจับกุมอยู่นั้น เบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องกัน รวมถึงการให้การก็ยังไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร ดังนั้น ทางพนักงานสอบสวน จึงได้ปล่อยตัวกลับไปตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่หากเจ้าหน้าที่พบว่า ยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ก็จะเชิญตัวมาให้ข้อมูลพนักงานสอบสวนอีกครั้ง
พ.ต.อ.ณษ กล่าวอีกว่า ในวันนี้ยังได้เรียกผู้ที่เกี่ยวข้อง มาให้ปากคำตามหมายเรียกทั้งหมด 6 รายด้วยกัน โดยหนึ่งในนั้นคือ นายจักรี ปัดภัย สามีของ น.ส.จุฑารัตน์ น้องสาวนายกิตติศักดิ์ เนื่องจากเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา นายจักรี ติดธุระจึงได้ประสานมายังพนักงานสอบสวน เพื่อขอให้ปากคำในวันที่ 21 ม.ค. แทน ส่วนบุคคลอีก 5 ปาก ที่พบว่ามีเงินจากผู้ที่เกี่ยวข้องในคดี โอนผ่านเข้าบัญชี รวมทั้งเจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพานิชย์ ที่จะเข้ามาให้ข้อมูล ก็จะมาให้รายละเอียดเพิ่มเติมในวันนี้ด้วยเช่นกัน หลังจากที่เมื่อวานที่ 20 ม.ค. ไม่ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามที่ได้นัดหมายไว้
พ.ต.อ.ณษ กล่าวอีกว่า ล่าสุดมีการสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนของบัญชีและเงินที่พบ โดยมีการโอนเงินจาก สจล.ผ่านเข้ามาในบัญชีแล้วทั้งสิ้น 7 ปาก โดยจากการตรวจสอบพบว่า ทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับนายกิตติศักดิ์ นายทรงกรด และนายพูนศักดิ์ ทั้งนี้ในส่วนของ "บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์" นักแสดงชื่อดัง ที่เดินทางเข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง.ในวันนี้นั้น ทางพนักงานสอบสวนเตรียมประสานไปยัง ป.ป.ง. เพื่อขอรายละเอียดทั้งหมด มาประกอบสำนวนคดีต่อไป
โฆษก.ตร.เผยขออำนาจศาลออกหมายจับ"กิตติศักดิ์"ผู้ร้ายข้ามแดน
เมื่อเวลา 11.00 น. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการติดตามตัวนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาคนสำคัญในคดียักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ส่งสำนวนฟ้องไปยังอัยการสูงสุด เพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับนายกิตติศักดิ์ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว จากนั้นจะประสานไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อทำเรื่องขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศอังกฤษ ซึ่งคาดว่าเป็นประเทศที่นายกิตติศักดิ์ หลบหนีอยู่ในขณะนี้ และจะปรับเป็นหมายแดงต่อไป เนื่องจากจะครอบคุมด้านกฎหมายระหว่างประเทศ มากกว่าการขอส่งตัวแบบปกติ โดยเชื่อมั่นว่า ทางประเทศอังกฤษจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยกับอังกฤษ มีความสัมพันธ์ต่อกัน ส่วนจะมีการออกหมายจับบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานของทางสถาบันการเงินเป็นหลัก