ข่าว

"กษิต-พธม.":ก่อการร้าย!ปชป.กรุ้มกริ่มก่อการ...เรา

"กษิต-พธม.":ก่อการร้าย!ปชป.กรุ้มกริ่มก่อการ...เรา

10 ก.ค. 2552

โดนกงเล็บของกฎหมายไล่ตะครุบ จนเลือดสาด แต่ กษิตภิรมย์ รมว.ต่างประเทศก็ยังดิ้นอย่างทุรนทุราย เหนี่ยวรั้งเก้าอี้เสนาบดี ให้อยู่ใต้ก้นต่อไปจนกว่าศาลจะประกาศิตสั่งชี้ชะตากรรม

ทำเอาชาวบ้านร้านตลาดมึนงงกับมาตรฐานการบังคับใช้ กฎเหล็ก ของนายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะ ข้อ 9 ที่บอกว่ารัฐมนตรีทุกคนไม่มีสิทธิเหนือประชาชนคนอื่นในแง่ของการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ความรับผิดชอบทางการเมืองนั้น จะต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย

สุดท้ายเป็นกฎเหล็ก หรือ เศษกระดาษ ที่ใครจะทำตามหรือไม่ก็ได้...??

ขณะที่กระแสเสียงโหมโรงรุกไล่จากฝ่ายตรงข้าม ยังดังสนั่นลั่นเมือง เพราะเห็นจังหวะเพลี่ยงพล้ำนี้เป็น บ่อน้ำมัน ตักตวงเอาดีใส่ตัวโยนชั่วให้ กษิต ก็เดินหน้าทิ่มแทง หวังจะปลุกสังคมให้ลุกขึ้นมาโห่ไล่ช่วยกันอีกแรง

มั่นอกมั่นใจในประเด็นนี้ถึงขั้นยกพวกกันไปบี้ อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ ถึงปลายจมูกทำเนียบรัฐบาลกันเลยทีเดียว

ส่วนรมว.สีเหลือง ก็ไม่ถอยเปิดฉาก สู้ฟัดทุกรูปแบบ ว้ากกลับขบวนการโค่นอำนาจ อย่างเกรี้ยวกราด

สรุปความว่าทั้งหลายทั้งปวงที่มะรุมมะตุ้มชีวิตทูตใหญ่อยู่นี้ต้นตอมาจากพวกอั้งยี่

คำว่าอั้งยี่ ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายถึง สมาคมลับของคนจีนชื่อความผิดอาญาฐานเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย เรียกว่า ความผิดฐานอั้งยี่

ภาษาวัยรุ่นบอกว่าสุ้มเสียงแบบนี้ยังแรงได้อีก ...!!!

ขณะที่กษิต เปิดแนวรบอยู่กับพลพรรคทักษิณ ที่ล้อมวงเขย่าขวัญอยู่วงนอกแต่หันกลับมาในบ้านประชาธิปัตย์ กลับไม่อบอุ่นอย่างเคย

สายตาและท่าทีของลูกแม่พระธรณีบีบมวยผมบางคน เปลี่ยนไปไม่ต้อนรับ รัฐมนตรี ในอ้อมกอดพันธมิตร เหมือนวันแรกที่เหยียบย่างมาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล

อาจจะเป็นเพราะวันนั้นต้องสมนาคุณ กองทัพสีเหลือง ที่ลงทุนลงแรง เสี่ยงเป็น เสี่ยงตาย ปักหลัก ชุมนุม 193 วันจนสามารถจะ งัด เอาองค์อำนาจที่เคยเล่นบทเสือซุ่ม บงการการเมืองอยู่ข้างหลังมาตลอด

ต้องก้าวมาออกแรงดูดดึง ทิ้ง เพื่อนเนวิน ให้สลัดจากนายใหญ่มาเป็น นั่งร้าน ค้ำบัลลังก์อำนาจให้ประชาธิปัตย์ สถาปนารัฐบาล ได้สำเร็จ

แต่วันนี้พันธมิตร นั้นเปลี่ยนไปแล้วไม่ใช่ กองทัพมวลชน เพียวๆแต่ได้แปรขบวนเป็น พรรคการเมืองใหม่ และมีแนวโน้มจะกลับมาเป็นศัตรู เบอร์ต้นๆทั้งในสนามกทม.และภาคใต้

ดังนั้นประชาธิปัตย์ ก็ไม่จำเป็นต้องตอบแทน อะไรกันอีกระยะหลังเยื่อใยอันดีระหว่าง พันธมิตรฯ กับประชาธิปัตย์ เปรียบได้กับทางรถไฟ ที่เป็นเส้นขนานยากจะปรับจูนเข้าหากัน

โดยเฉพาะสุเทพเทือกสุบรรณ ผู้กุมบังเหียนรัฐนาวา เบนเข็มทิ้งระยะสีเหลือง ไปหลายช่วงตัวแล้วหันไปพึ่งเสื้อน้ำเงิน เป็นฐานสำคัญเสริมความแกร่งของรัฐบาล

ข้อหาก่อการร้าย ที่ตำรวจชงจับกษิต จึงผ่านหูสุเทพ ไปโดยไม่มีคำทักท้วงแม้แต่คำเดียว

คดีลอบยิงสนธิลิ้มทองกุล ที่อยู่ในมือรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงก็ไม่คำอธิบาย ทั้งที่คดีนี้สะเทือนขวัญระดับชาติ เพราะล้อมยิงด้วยอาวุธสงครามกว่าร้อยนัด ใจกลางกรุงเทพฯ ในช่วงที่รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน

แต่มีความคืบหน้ารายงานจากรัฐบาลน้อยกว่าความเคลื่อนไหวของ หมวยแพนด้า หลายเท่า..!!!

หรือภารกิจประวัติศาสตร์กับเขมร กรณีปราสาทพระวิหาร กลับกลายเป็น สุเทพ ที่เหินฟ้าข้ามหัว ข้ามห้วย ไปเจรจา แทนที่จะเป็น รมว.ต่างประเทศ

ลักษณะความสัมพันธ์แบบกึ๊กๆกั๊กๆ ไม่เหนียวแน่นเหมือนก่อนระหว่าง พันธมิตร กับประชาธิปัตย์ ถูกสะท้อนมาโดยตรงจากท่าทีของพรรคที่มีต่อ กษิต

วันก่อนแกนนำสีเหลือง ตั้งวงวิเคราะห์ชะตากรรมของรัฐมนตรีสีเหลืองในร่มเงาสีฟ้า แล้วส่ายหัว ดูหนทางแล้ว ไปไม่รอด เพราะไปขัดผลประโยชน์ในกรณีปราสาทพระวิหาร และอีกประการหนึ่งคือคนในประชาธิปัตย์เองหวังจะล้างภาพพรรคพันธมิตร

ในที่สุดข้อความ จากบ้านพระอาทิตย์ก็ถูกลำเลียงผ่านปาก คำนูณสิทธิสมาน กุนซือสมองเพชรของสนธิลิ้มทองกุล กระตุกให้กษิต ล่าถอยจากวงอำนาจก่อนจะ เจ็บตัว มากกว่านี้

ปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า กษิต และพันธมิตร ไม่ได้อยู่ในสมการอำนาจ ของประชาธิปัตย์ต่อไปอีกแล้ว

และงานนี้คนที่โล่งใจมากที่สุดคือสุเทพเทือกสุบรรณ ไม่ใช่ใครอื่น..!!!

 

เสถียรวิริยะพรรณพงศา