ข่าว

ตื่นก็กินกาแฟ

ตื่นก็กินกาแฟ

14 ม.ค. 2558

ตื่นก็กินกาแฟ : วันเว้นวัน จันทร์ พุธ ศุกร์กับประภัสสร เสวิกุล

              ปัจจุบันกาแฟได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ จนแทบจะกล่าวได้ว่าทุกถนนหนทางจะต้องมีร้านกาแฟอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งร้าน แต่บางย่านที่เป็นย่านธุรกิจ ชุมชน สถานศึกษาหรือสถานบันเทิง อาจจะมีมากไปกว่านั้นหลายเท่า กาแฟได้กลายเป็นเครื่องดื่มของคนหนุ่มสาววัยเรียน และในวัยทำงาน จนถึงวัยกลางคน และแตกสายพันธุ์ รสชาติ สูตรในการชงออกไปมากมาย ทำให้เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ จนมีการเปิดร้านกาแฟกันอย่างมากมาย

              คนไทยดื่มกาแฟกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ยังไม่พบหลักฐานที่ชัดเจน แต่อย่างน้อยๆ ก็น่าจะเริ่มในสมัยต้นรัชกาลที่ 7

              โดยใช้อาคารเก่าภายในวังพญาไท อันเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 6 เปิดเป็นร้านกาแฟนรสิงห์ ซึ่งเป็นสถานที่หรูหราและขึ้นหน้าขึ้นตามากในยุคนั้น ร้านกาแฟเก่าแก่ในกรุงเทพฯ แห่งหนึ่งคือร้านออน ล็อก หยุ่น ข้างโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุง ร้านนี้ขายกาแฟและอาหารเช้าแบบตะวันตกมานานกว่า 70 ปี ถือว่าเป็นสภากาแฟที่เก๋าจัดที่อยู่คู่กับโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุงมาโดยตลอด ในตอนเช้าคนที่มีอายุจะมาจับกลุ่มกินกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ และวิพากษ์วิจารณ์ข่าวสารบ้านเมืองกันอย่างออกรส ตกเย็นก็จะเป็นที่พบปะของเหล่านักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ดังที่ เพชร ชมพูเล่าไว้ในหนังสือ “ชุมทางเฉลิมกรุง” รวมทั้งเป็นที่ชุมนุมของเหล่าดาราประกอบของหนังไทย ประเภท “ยิงภูเขา เผากระท่อม” ที่มารอเจ้าของหนังเรียกไปเข้ากล้อง ซึ่งตามสำนวน 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ใช้คำว่า “ต้นมะขามสแควร์” เนื่องจากบริเวณนั้นปลูกต้นมะขามขึ้นรายเรียง

              สภากาแฟหรือร้านกาแฟยังกระจายตัวออกไปตามหน้าตลาด หรือแหล่งชุมชนทั่วไป กาแฟที่ใช้ในการชง ส่วนหนึ่งมาจากตุงฮูสโตร์ ถนนสีลม ที่ขายอุปกรณ์ในการชงกาแฟ และกาแฟผงบรรจุกระป๋องที่เรียกกันว่ากาแฟตุงฮู ซึ่งผลิตจากเมล็ดกาแฟที่ปลูกในจังหวัดเชียงราย และเมียนมาร์ ซึ่งในเวลานั้นยังใช้ชื่อประเทศว่าพม่า การชงกาแฟในสมัยก่อนจะต้องมีหม้อต้มน้ำร้อนใบใหญ่ หม้อหรือกระบอกใบเล็กสำหรับพักน้ำร้อน กระบวยตักน้ำ กาแฟผง และที่ขาดไม่ได้คือถุงผ้าดิบทรงยาวใส่ผงกาแฟ และตักน้ำร้อนจากหม้อต้ม เทผ่านผงกาแฟในถุงลงไปที่กระบอก จากนั้นก็เทน้ำกาแฟใส่ถ้วยเนื้อหนา ก้นจีบ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของถ้วยกาแฟ - กาแฟที่นิยมดื่มในตอนนั้นมีเพียงไม่กี่อย่าง ได้แก่กาแฟนม ซึ่งผู้ปรุงจะนำนมข้นกับน้ำตาลทรายใส่แก้วไว้ก่อนแล้ว และเทน้ำกาแฟร้อนๆ ลงไปคนให้เข้ากัน จากนั้นก็ราดด้วยนมสด, กาแฟเย็น คือกาแฟนมใส่น้ำแข็ง, โอยัวะ คือกาแฟดำ ไม่ใส่นม, โอเลี้ยงคือกาแฟดำใส่น้ำแข็ง และยกล้อคือกาแฟดำไม่ใส่นมข้น แต่ใส่นมสดแทน นอกจากกาแฟแล้ว ที่รับประทานกับกาแฟในตอนเช้า ก็คือขนมปังปิ้งทาเนย อิ้วจาก๊วยหรือปาท่องโก๋ และไข่ลวก เป็นต้น

              ในเวลาต่อมาได้มีการผลิตกาแฟผงสำเร็จรูปจากต่างประเทศ ซึ่งสามารถชงดื่มเองที่บ้านได้ เพียงแค่เติม น้ำตาลทราย นมข้น นมสด และน้ำร้อนตามชอบ จากนั้นกาแฟไทยรายหนึ่งถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็น เขาช่อง ก็เกิดไอเดียเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักดื่มที่ต้องการความสะดวกยิ่งขึ้น และนำติดตัวไปดื่มที่ไหนด้วยก็ได้ ด้วยการผสมน้ำตาลทราย นมผงหรือครีมไว้ให้เรียบร้อย บรรจุเป็นซองเรียก ทรี อิน วัน เพียงเทจากซองแล้วเติมน้ำร้อนก็ดื่มได้เลย แม้แรกๆ จะไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่ปัจจุบันเป็นความสะดวกที่หลายๆ ยี่ห้อทำตาม แล้วก็มาถึงยุคของร้านกาแฟแฟรนไชส์ยี่ห้อดังจากต่างประเทศที่มาเปิดสาขาในประเทศไทย ก่อนจะมาถึงเวลาของร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ร้านกาแฟเป็นธุรกิจซึ่งมีมูลค่าถึง 25 หมื่นล้านบาทต่อปี  และยังคงมีแนวโน้มในทางที่ดี ดังนั้น จึงมีผู้นิยมเปิดร้านกาแฟกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต่างก็พยายามหาจุดขายที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเรื่องพันธุ์กาแฟทั้งที่ปลูกในเมืองไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งมีกลิ่นและรสชาติโดดเด่น กาแฟโบราณ หรือกาแฟย้อนยุค ที่นำวิธีการชงกาแฟแบบดั้งเดิมกลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น แม้ในปัจจุบันความสำคัญของร้านกาแฟในฐานะของ
              สภากาแฟที่ถกเรื่องการบ้านการเมืองจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ร้านกาแฟก็ยังเป็นสถานที่สำหรับพูดคุยเจรจากันเรื่องธุรกิจ และเป็นที่นัดพบของหนุ่มสาว รวมทั้งที่เล่นอินเทอร์เน็ต วันทั้งวันจึงมีคนเดินเข้าร้านกาแฟกันมากมาย

              และเมื่อเห็นร้านกาแฟทีไร ผมก็มักจะนึกถึงเพลง “กินกาแฟ” ของครูนคร มงคลายน ที่ขึ้นต้นว่า “ตื่นก็กินกาแฟ เที่ยงก็กินกาแฟ ถึงตอนเย็นก็กินกาแฟ” เสมอ