ข่าว

ความทรงจำ สตีวีจี-ลิเวอร์พูล

ความทรงจำ สตีวีจี-ลิเวอร์พูล

10 ม.ค. 2558

สปอร์ต คม วีกเอนด์ : ความทรงจำ สตีวีจี-ลิเวอร์พูล

 
                          ถึงตอนนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่า "สตีวีจี" สตีเวน เจอร์ราร์ด กำลังจะย้ายจาก "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ไปร่วมทีม แอลเอ แกแล็กซี ของสหรัฐเมื่อจบฤดูกาลนี้ เป็นการสิ้นสุดเส้นทางการค้าแข้ง 17 ปีของเจอร์ราร์ด กับลิเวอร์พูล ทำให้เรื่องราวของเจอร์ราร์ด กับหงส์แดง กำลังจะกลายเป็นความทรงจำ มาดูว่าที่ผ่านมากองกลางกัปตันทีมรายนี้มีความทรงจำอะไรดีๆ กับถิ่นแอนฟิลด์บ้าง
 
 
ยิงปีศาจแดงนัดแรก (มีนาคม 2001)
 
                          ที่ผ่านมาจนถึงฤดูกาลนี้ สตีเวน เจอร์ราร์ด ยิงประตู "ปีศาจแดง" แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมคู่ศึกแดงเดือดมาแล้ว 9 ประตูด้วยกัน ถือเป็นนักเตะลิเวอร์พูลคนหนึ่งที่ขัดขวางความสำเร็จของยูไนเต็ดยุคนี้ 2 ประตูล่าสุดที่เพิ่งทำได้คือ 2 ประตูที่ยิงจุดโทษช่วยให้ทีมบุกไปชนะที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด 3-0 เมื่อฤดูกาลที่แล้ว
 
                          แต่ประตูแรกที่เจอร์ราร์ด ยิงใส่ปีศาจแดงได้นั้นเกิดขึ้นที่แอนฟิลด์ในเดือนมีนาคมปี 2001 จากการยิงไกลบอลพุ่งผ่านมือ ฟาเบียง บาร์กเตซ นายทวารปีศาจแดงในช่วงนั้นอย่างสุดสวย ส่งผลให้ลิเวอร์พูล เอาชนะไป 2-0 และเป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปีของสโมสรที่เอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ทั้งไปและกลับ ประตูของเจอร์ราร์ด ในเกมดังกล่าวเป็นประตูที่ทำให้ทีมขึ้นนำ และทำให้เกมอยู่ในมือ
 
                          ที่น่าจดจำอีกอย่างในเกมนั้นคือ การฉลองหลังยิงประตูได้ กองกลางรายนี้พุ่งตัวลลงไถลกับพื้นเข้าหาแฟนบอลที่มุมธง และฤดูกาลดังกล่าวแม้ว่าลิเวอร์พูล จะยังไม่ได้แชมป์ลีก แต่ก็ถือว่าเป็นฤดูกาลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จใจยุคนั้น
 
 
แซงโอลิมเปียกอส (ธันวาคม 2004)
 
                          ช่วงเวลานั้น ลิเวอร์พูล กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่อยากลำบากในการลุ้นเข้ารอบยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และเกมตัดสินที่แอนฟิลด์ เมื่อยอดนักเตะอย่าง ริวัลโด ยิงฟรีคิกให้ทีมเยือนออกนำก่อน นั่นหมายความว่าหงส์แดงต้องทำอีกถึง 3 ประตูเพื่อผ่านเข้ารอบ
 
                          ลิเวอร์พูล เริ่มครึ่งหลังได้ดีแค่ 2 นาทีทวงประตูคืนได้จาก ซินามา ปงโกล และจากนั้น นีล เมลเลอร์ มาชาร์จบอลให้ทีมแซงนำนาทีที่ 81 ทำให้ลิเวอร์พูล ต้องการอีก 1 ประตูเพื่อการเข้ารอบ ซึ่งก็เป็น สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่สับไกยิงที่กรอบเขตโทษเสียบมุมขวาของประตูเป็นประตูสุดสวยอีกประตูในชีวิตกองกลางรายนี้
 
                          ประตูนี้เป็นประตูสำคัญที่สุดอีกประตูในชีวิตของ เจอร์ราร์ด เพราะหลังจากที่ทีมผ่านเข้ารอบไปได้ ทีมมีความมั่นใจในถ้วยนี้อย่างมาก และเมื่อจบฤดูกาลพวกเขาคือแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 
 
 
ปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูล (พฤษภาคม 2005) 
 
                          หลังจากที่มีปาฏิหารย์เล็กๆ ด้วยการผ่านโอลิมเปียกอส จากรอบแบ่งกลุ่มมาได้ ลิเวอร์พูล สามารถเดินหน้าจนเข้าไปชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน ยักษ์ใหญ่จากอิตาลี ซึ่งเกมในครึ่งแรกเหมือนว่า ลิเวอร์พูล จะหมดหวังไปแล้วเมื่อถูกยิงประตูรวดเดียวถึง 3-0 จาก เปาโล มัลดินี นาทีแรก, เอร์นัน เครสโป นาทีที่ 39 กับ 44
 
                          มิลาน จบครึ่งแรกด้วยวามรู้ศึกที่เหมือนกับว่าเป็นแชมป์แล้ว แต่คนหนึ่งที่ยังไม่ยอมแพ้ในเกมนี้ง่ายๆ คือกัปตัน สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่โหม่งประตูจากลูกฟรีคิกของ ซาบี อลอนโซ จุดประกายให้ลิเวอร์พูล ไล่ขึ้นมาเป็น 1-3 และแค่ 5 นาทีต่อมา ลิเวอร์พูล มาได้อีก 2 ประตูจาก วลาดิเมียร์ สมิเซอร์ และซาบี อลอนโซ ทำให้เกมจบ 90 นาทีด้วยการเสมอกัน 3-3
 
                          เกมในช่วงต่อเวลา มิลาน โดดเด่นกว่า แต่ลิเวอร์พูล ก็ยันได้จนถึงช่วงยิงจุดโทษ แซร์จินโญ กับ อันเดรีย ปิร์โล 2 คนแรกของมิลาน พลาด ขณะที่ดีทมาร์ ฮามันน์ กับ ฌิบริล ซิสเซ ไม่พลาด จากนั้น ยอห์น อาร์เน ริเซ ของลิเวอร์พูลพลาด ทำให้มิลาน ยังพอมีลุ้นบ้าง แต่สุดท้าย เยอร์ซี ดูเดค เซฟลูกยิง อังเดร เชฟเชนโก ได้ ทำให้ สตีเวน เจอร์ราร์ด มีโอกาสชูถ้วยแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในชีวิตค้าแข้งของตัวเอง
 
 
ฮีโร่เอฟเอ คัพ (พฤษภาคม 2006) 
 
                          12 เดือนหลังจากที่ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่อิสตันบูลได้อย่างเหลือเชื่อ สตีเวน เจอร์ราร์ด มีโอกาสอีกครั้งที่จะประสบความสำเร็จและเขียนหน้าประวัติศาสตร์ของตัวเองกับลิเวอร์พูลในบทต่อไป เมื่อทีมได้เข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ กับ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ที่คาร์ดิฟฟ์ 
 
                          รูปเกมไม่ได้ออกมาอย่างที่หวัง เจมี คาร์ราเกอร์ ทำเข้าประตูตัวเอง และดีน แอชตัน ทำ 1 ประตูให้เวสต์แฮม นำก่อน 2-0 แต่ ฌิบริล ซิสเซ กับ สตีเวน เจอร์ราร์ด ก็ตามตีเสมอให้ทีมได้เมื่อเกมผ่านไป 54 นาที และเป็น พอล คอนเชสกี ที่ยิงให้เวสต์แฮม นำอีกครั้งนาทีที่ 64 ซึ่งเหมือนว่า เวสต์แฮม จะคว้าแชมป์ไปครอง แต่ก็อีกครั้งที่ลูกยิงไกลของเจอร์ราร์ด ช่วยทีมไว้ได้ ตะบันผ่านมือ ชากา ฮิสลอป เป็นประตูตีเสมอในนาทีสุดท้าย
 
                          ลิเวอร์พูล ต้องพึ่งการยิงจุดโทษในการลุ้นแชมป์อีกครั้ง คราวนี้เป็น จูเซปเป เรนา ที่เซฟลูกยิงของ บ็อบบี ซาโมรา, คอนเชสกี และแอนตัน เฟอร์ดินานด์ ไว้ได้ ทำให้ลิเวอร์พูล ชนะ 3-1 และเจอร์ราร์ด ได้รับถ้วยเอฟเอ คัพ ในฐานะกัปตันทีม 
 
 
แฮตทริกดาร์บีแมทช์ (มีนาคม 2012)
 
                          ในปีที่ เดวิด มอยส์ ฉลองครบรอบการนั่งเป็นผู้จัดการทีม "ทอฟฟีสีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน เป็นปีที่ 10 ช่วงเวลาดังกล่าวฟอร์มของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ไม่สู้ดีนัก เมื่อยิงประตูทั้งในทีมสโมสรและทีมชาติอังกฤษไม่ได้มา 7 นัดติดต่อกัน แต่ เคนนี ดัลกลิช ผู้จัดการทีมในช่วงดังกล่าวยังคงมั่นใจให้เป็นผู้นำในเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี แมทช์ ที่แอนฟิลด์
 
                          ผลที่ได้รับคือการกลับมาของเจอร์ราร์ด ที่นำทัพเอาชนะคู่แข่งร่วมเมืองอย่าง เอฟเวอร์ตัน ถึง 3-0 และเป็นการทำแฮตทริกได้ในเกมดาร์บีแมทช์อีกต่างหาก มีทั้งลูกชิพจากกรอบเขตโทษ การยิงอัดเต็มๆ ในกรอบเขตโทษ และปิดท้ายด้วยการยิงอย่างเหนือชั้น