ข่าว

ปีทองบอลไทยแชมป์ที่มาพร้อมภาพ'ประวัติศาสตร์'

ปีทองบอลไทยแชมป์ที่มาพร้อมภาพ'ประวัติศาสตร์'

01 ม.ค. 2558

ปีทองบอลไทยแชมป์ที่มาพร้อมภาพ'ประวัติศาสตร์'

                   ข่าวใหญ่ที่สุดของปี 2557 ในวงการกีฬาไทย คงหนีไม่พ้นภาพที่ผู้คนทั่วกรุงเทพฯ แห่ล้อมรถบัสเปิดประทุนเพื่อร่วมฉลองแชมป์อาเซียน "เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014" ของบรรดาทัพนักเตะทีมชาติไทย
    
                   ประชาชนออกมาโดยมิได้นัดหมายและไม่ได้ถูกเกณฑ์จากแกนนำคนใด ทำให้เกิดภาพที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและรอยยิ้มของประชาชนที่ได้ร่วมฉลองความสำเร็จครั้งนี้
    
                   ศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน หรือเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 โดยสิงคโปร์ และเวียดนาม รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ ซึ่งถือเป็นทัวร์นาเมนต์สุดท้ายของปี และ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องคว้าแชมป์มาครองให้ได้
    
                   "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เคยได้แชมป์รายการนี้มาแล้วสมัยเป็นนักเตะ แต่ครั้งนี้ "ซิโก้" เข้าร่วมการแข่งขันอีกครั้งในฐานะ "เฮดโค้ชทีมชาติไทย"
    
                   "ซิโก้" ระดมแข้งวัยรุ่นอายุเฉลี่ยเพียง 23 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์ระดับซีเกมส์ และเอเชี่ยนเกมส์ เท่านั้น แต่สำหรับ "ชุดใหญ่" หลายคนเพิ่งสัมผัสเป็นครั้งแรก
    
                   ทีมชาติไทยจับสลากอยู่สาย บี ร่วมกับ "เจ้าภาพ" สิงคโปร์, มาเลเซีย และพม่า ซึ่งแน่นอนว่าเป็นงานที่หนัก เพราะแต่ละทีมขนตัวหลักมาครบครัน โดยที่ "ซิโก้" ออกโรงถ่อมตัวตั้งแต่ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ ด้วยการบอกว่า "ทีมชุดนี้ยังเด็ก ดังนั้นหากไม่ประสบความสำเร็จแฟนบอลต้องรับให้ได้"
    
                   เกมแรก ไทย เจอ "เจ้าภาพ" ต่อหน้าแฟนบอลชาวสิงคโปร์กว่า 3 หมื่นคน ที่สนามกีฬาแห่งชาติ "สปอร์ต ฮับ" แต่เมื่อจบ 90 นาที ไทยเป็นฝ่ายเฉือนชนะ 2-1 ประเดิมสนามได้อย่างสวยงาม ก่อนที่นัด 2 ไทย ต้องเจอกับ "เสือเหลือง" มาเลเซีย คู่ปรับตลอดกาลที่เกมแรกเสมอ พม่า 0-0 ทำให้มาเลเซียจำเป็นต้องชนะไทยเพื่อโอกาสเข้ารอบ ส่วนไทยหากเก็บ 3 แต้มได้ก็จะเข้ารอบทันที ซึ่งปรากฏว่าแข้งไทยรักษามาตรฐานไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม และชนะไป 3-2 เก็บ 6 แต้มจาก 2 นัด ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศทันที ปล่อยให้มาเลเซียไปลุ้นนัดสุดท้ายกับสิงคโปร์ และนัดสุดท้ายของรอบแรก ไทยขนตัวสำรองลงสนามพบพม่าที่ยังแอบหวังเข้ารอบอยู่ แต่ตัวสำรองของไทย โชว์ฟอร์มไม่แพ้ชุดตัวจริง เมื่อไล่สอนบอลพม่า 2-0 จาก เก็บ 9 คะแนนเต็มจาก 3 นัด เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ขณะที่ มาเลเซีย พลิกชนะ สิงคโปร์ 3-1 เข้ารอบตาม ไทย มาเป็นอันดับ 2
    
                   รอบรองชนะเลิศ แข่งขันแบบเหย้า-เยือน ซึ่งไทยต้องเจอกับฟิลิปปินส์ เบอร์ 1 อาเซียน ในเกมแรก ไทย ต้องบุกไปถิ่น "ตากาล็อก" ก่อน ซึ่งไทยต้องเล่น 10 คนตั้งแต่นาที 70 เมื่อ อดิศักดิ์ ไกรษร โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม แต่สุดท้ายไม่มีประตูเกิดขึ้น เสมอ 0-0
    
                   นัดสอง ไทยกลับมาเล่นในบ้านซึ่งเป็นครั้งแรก และได้เล่นต่อหน้าแฟนบอลตัวเองที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน โดยแฟนบอลแห่เข้ามาชมเกมในสนามร่วม 5 หมื่นคนทีเดียว พร้อมกับส่งเสียงเชียร์ช่วยให้แข้งไทยมีกำลังใจก่อนไล่ถล่ม ฟิลิปปินส์ ขาดลอย 3-0 จาก ชนาธิป สรงกระสินธ์ นาที 6 และเกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ คนเดียว 2 ประตู นาที 57 กับ 86 ตีตั๋วเข้ารอบชิงชนะเลิศสำเร็จ โดยไปพบกับมาเลเซีย ที่ผ่าน เวียดนาม มาแบบ "โกงความตาย" 5-4    
    
                   รอบชิงชนะเลิศ นัดแรก ไทยได้สิทธิ์เตะในบ้านก่อน ซึ่งมีประวัติการณ์เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อแฟนบอลแห่ซื้อตั๋วล่วงหน้ากว่า 4 หมื่นใบ และหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง แม้เมื่อถึงเวลาแข่งขันจะมีแฟนบอลไม่เต็มตามจำนวนเพราะมีคนซื้อไปขายเกินราคา แต่ภาพที่ปรากฏออกมาคือแฟนบอลเข้ามาชมเกมในสนามนัดนี้มากที่สุดนับตั้งแต่เอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 เมื่อ 16 ปีที่แล้ว
    
                   แน่นอนว่า ไทยจำเป็นต้องเอาชนะให้ได้ เพื่อกุมความได้เปรียบในนัดแรกก่อนออกไปเยือนนัดที่ 2 ซึ่งครึ่งแรกค่อนข้างอึดอัด เพราะมาเลเซียมาเปิดเกมรุกใส่ไทย ทว่าครึ่งหลังนาที 72 อดิศักดิ์ ไกรษร ถูกกองหลังมาเลเซียหวดในเขตโทษ ผู้ตัดสินให้ลูกจุดโทษกับไทย และเป็น ชาริล ชัปปุยส์ ที่สังหารตุงตาข่าย ไทยนำ 1-0 จากนั้นนาที 86 เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ยิงประตูปิดกล่องให้ ไทย ชนะ มาเลเซีย 2-0 ก่อนเดินออกจากสนามอย่างสบายใจ
    
                   อย่างไรก็ตาม 3 วันถัดมา เกมชิงชนะเลิศ นัด 2 ที่สนามบูกิต จาลิล กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย คลาคล่ำไปด้วยแฟนบอลเจ้าถิ่นเกือบ 1 แสนคนที่แห่เข้ามาให้กำลังใจชาติของตัวเองและหวังกดดันนักเตะไทย ซึ่งได้ผลมากๆ เพราะแค่ 6 นาที เสียงเชียร์ของแฟนบอลกดดันให้ผู้ตัดสินเป่าลูกจุดโทษให้มาเลเซีย ก่อนที่ ซาฟิก ราฮิม จะซัดเข้าไป 1-0 แต่ไทยยังได้เปรียบสกอร์รวม
    
                   ทว่าช่วงทดเวลาของครึ่งแรกเกมรับ ไทยพลาดปล่อยให้ ปุตรา อินดรา โขกประตูที่ 2 ให้มาเลเซีย นำ 2-0 และสกอร์รวมกลับมาเท่ากันแล้วที่ 2-2
    
                   ครึ่งหลัง ไทยยังไม่ดีขึ้น และนาที 58 ซาฟิก ราฮิม ยิงฟรีคิกสุดสวยให้มาเลเซีย นำ 3-0 พร้อมสกอร์รวมแซงนำ ไทยไปแล้ว 3-2
    
                   ถึงตอนนั้นหลายคนทำใจรับกับผลการแข่งขัน เพราะเป็นเรื่องยากที่จะยิง มาเลเซีย เนื่องจากเจ้าถิ่นถอยลงไปตั้งรับทั้งทีม แต่นาที 82 สนามบูกิต จาลิล เงียบเป็นป่าช้า เมื่อ สารัช อยู่เย็น ยิงฟรีคิกถูก ฟาริซัล นายทวารเจ้าถิ่นปัดออกมา แต่ ชาริล ชัปปุยส์ ปรี่เข้ายิงซ้ำไม่เหลือซาก ให้ ไทย ไล่มา 1-3 สกอร์รวม 3-3 แต่ไทยได้เปรียบตามกฎ "ประตูทีมเยือน"
    
                   กระทั่งนาที 87 เกมนี้ถูกรูดม่านปิดฉยากอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ยิงไกลเสียบสามเหลี่ยมให้ไทย ตาม 2-3 แต่สกอร์รวมแซงนำ 4-3 และจบเกมในที่สุด พร้อมประกาศศักดาคว้าแชมป์อาเซียนมาครองเป็นสมัยที่ 4 มากที่สุดเทียบเท่า สิงคโปร์
    
                   "นี่คือแชมป์ที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะเรารอคอยมานาน" ซิโก้ กล่าว
    
                   "ยอมรับว่าก่อนที่ทัวร์นาเมนต์จะเริ่ม ผมไม่มีความมั่นใจเลยว่าทีมชุดนี้จะดีพอถึงแชมป์ เพราะอายุและประสบการณ์ของพวกเขาเป็นรองทุกชาติในอาเซียน แต่หลังผ่านรอบแรกมาได้ ผมเปลี่ยนความคิดทันทีและคิดว่าทีมชุดนี้มีดีพอที่จะคว้าแชมป์ได้"
    
                   นี่คือ "แชมป์" ที่ยิ่งใหญ่ของทีมชาติไทย แม้จะเคยสัมผัสมาแล้วถึง 3 สมัย แต่ครั้งสุดท้ายต้องย้อนไปเมื่อปี 2002 นั่นหมายความว่า 12 ปีเต็มที่ "ช้างศึก" รอคอยการกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
    
                   และเมื่อได้แชมป์ที่ต้องการ ทันทีที่ทัพนักเตะไทย ยกทัพกลับมาถึงมาตุภูมิ ได้เกิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการกีฬาไทย เมื่อประชาชนจากทั่วสารทิศแห่มารับนักเตะที่สนามบินดอนเมืองพร้อมร่วมฉลองแชมป์ตามท้องถนนอย่างสนุกสนาน
    
                   แน่นอนว่าฉากสุดท้ายของปี 2014 เป็นภาพที่ทุกคนประทับใจและอิ่มเอมกับความสำเร็จของ "ช้างศึก" ที่แม้ว่าจะเป็นตำแหน่งแชมป์ที่เคยสัมผัสมาแล้ว แต่อย่างน้อยก็มีภาพแห่งประวัติศาสตร์เกิดขึ้น
    
                   ที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เห็นอีกเมื่อไหร่?


รายชื่อนักเตะและทีมงาน
    
                   ชนาธิป สรงกระสินธ์, อดิศักดิ์ ไกรษร, ชยพัทธ์ กิจพงษ์ศรีธาดา, พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา, อดิศร พรมรักษ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์ (บีอีซี เทโรศาสน), ชัยณรงค์ ทาทอง, สารัช อยู่เย็น, ศราวุฒิ มาสุข, กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, อาทิตย์ ดาวสว่าง (เอสซีจี เมืองทองฯ), สุทธินันท์ พุกหอม, อดุล หละโสะ, เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ (ชลบุรี), นฤบดินทร์ วีรวัฒน์โนดม, ประกิต ดีพร้อม (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด), ชาริล ชัปปุยส์ (สุพรรณบุรี), ชนินทร์ แซ่เอียะ (ชัยนาท), ประวีณวัช บุญยงค์ (บางกอกกล๊าส), มงคล ทศไกร (อาร์มี่ ยูไนเต็ด), สมปอง สอเหลบ (แบงค็อก ยูไนเต็ด), กีรติ เขียวสมบัติ (ปตท.ระยอง)
    
                   ทีมงาน : เกษม จริยวัฒน์วงศ์ (ผู้จัดการทีม), เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (หัวหน้าผู้ฝึกสอน), โชคทวี พรหมรัตน์ (ผู้ฝึกสอน), ใกล้รุ่ง ตรีจักรสังข์ (ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน), กิตติศักดิ์ ระวังป่า (โค้ชผู้รักษาประตู), ชนินทร์ ล่ำซำ (แพทย์ประจำทีม), แอนดี ชิลลินเกอร์ (ฟิตเนส)

เส้นทางสู่แชมป์

                   รอบแรก : ชนะ สิงคโปร์ 2-1 (มงคล ทศไกร, ชาริล ชัปปุยส์), ชนะ มาเลเซีย 3-2 (อดิศักดิ์ ไกรษร 2 ประตู, ชาริล ชัปปุยส์), ชนะ พม่า 2-0 (ธนบูรณ์ เกษารัตน์, ประกิต ดีพร้อม)

                   รอบรองชนะเลิศ : นัดแรก เสมอ ฟิลิปปินส์ 0-0 (เยือน), นัดสอง ชนะ ฟิลิปปินส์ 3-0 (เหย้า) (ชนาธิป สรงกระสินธ์, เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ 2 ประตู)

                   รอบชิงชนะเลิศ : นัดแรก ชนะ มาเลเซีย 2-0 (เหย้า) (ชาริล ชัปปุยส์, เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์), นัดสอง แพ้ มาเลเซีย 2-3 (เยือน) (ชาริล ชัปปุยส์, ชนาธิป สรงกระสินธ์) สกอร์รวม ไทย ชนะ 4-3


ทำเนียบแชมป์อาเซียน

ปี    แชมป์    รองแชมป์    อันดับ 3    อันดับ 4    เจ้าภาพ

1996    ไทย    มาเลเซีย    เวียดนาม    อินโดนีเซีย    สิงคโปร์

1998    สิงคโปร์    เวียดนาม    อินโดนีเซีย    ไทย    เวียดนาม

2000    ไทย    อินโดนีเซีย    มาเลเซีย    เวียดนาม    ไทย

2002    ไทย    อินโดนีเซีย    เวียดนาม    มาเลเซีย    สิงคโปร์ / อินโดนีเซีย

2004    สิงคโปร์    อินโดนีเซีย    มาเลเซีย    พม่า    มาเลเซีย / เวียดนาม

2007    สิงคโปร์    ไทย    ไม่มีชิงอันดับ 3    ไทย / สิงคโปร์

2008    เวียดนาม    ไทย    ไม่มีชิงอันดับ 3    ไทย / อินโดนีเซีย

2010    มาเลเซีย    อินโดนีเซีย    ไม่มีชิงอันดับ 3    อินโดนีเซีย / เวียดนาม

2012    สิงคโปร์    ไทย    ไม่มีชิงอันดับ 3    ไทย / มาเลเซีย

2014    ไทย    มาเลเซีย    ไม่มีชิงอันดับ 3     สิงคโปร์ / เวียดนาม