ข่าว

น้ำท่วมปอด-อีกแล้วครับท่าน

น้ำท่วมปอด-อีกแล้วครับท่าน

12 ธ.ค. 2557

น้ำท่วมปอด-อีกแล้วครับท่าน : วันเว้นวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ กับ ประภัสสร เสวิกุล

               คุณผู้อ่านเชื่อไหมครับ ว่าอาหารรสเค็มจัดประมาณ 1/2 ช้อนชา ทำให้ร่างกายต้องการน้ำเพื่อบำบัดความเค็มประมาณ 15 ลิตร และส่งผลกระทบอวัยวะหลายส่วนอย่างรุนแรง เริ่มจากการที่มีน้ำเข้าไปแทรกซึมอยู่ตามผิวหนัง เม็ดโลหิต ในปอด ในไต และที่อื่นๆ รวมทั้งโรคความดันสูง

               คุณผู้อ่านเชื่อไหมครับ ว่าการทำให้น้ำจำนวน 15 ลิตร ออกไปจากร่างกายนั้นต้องใช้เวลานอนในห้องไอซียูนับสิบวัน ใช้กรรมวิธีในการรักษา อุปกรณ์ทางการแพทย์ หยูกยา และบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมาก ใช้ระยะเวลาในการพักฟื้น เพื่อให้อวัยวะที่ได้รับผลกระทบ เช่น ไต ปอด หัวใจ ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นอีกระยะหนึ่ง ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือค่ารักษาพยาบาลร่วม 3 แสนบาท

               เราลองคิดกันเล่นๆ ว่า อาหารรสเค็มจัดซึ่งเป็นต้นเหตุ สนนราคาสักเท่าไหร่? กะคร่าวๆ ก็จะมีเกลือ ไม่เกิน 50 สตางค์ พริกแห้ง สัก 2 บาท เป็นหลัก รวมแล้วราคาไม่น่าจะมากน้อยกว่า 2.50 บาท แต่มีฤทธิ์ที่สามารถทำลายระบบไต ปอด และหัวใจ ได้อย่างง่ายดาย

               ความจริงแล้ว ผมได้ตั้งปณิธานที่จะไม่กินเค็ม กินหวาน ตั้งแต่ออกจากไอซียูรอบที่แล้วเพราะไปติดเชื้อหวัดเขามาเมื่อตอนต้นปี เป็นเวลาร่วมเดือน ซึ่งในครั้งนั้นต้องใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ 3 สัปดาห์ ทำให้เสียงเปลี่ยนไปจากเดิม และเสียค่ารักษาพยาบาล ร่วม 6 แสนบาท รวมสองรายการใหญ่ๆ ในปีนี้ ผมก็จ่ายค่าดูแลตัวเองไปร่วมล้านบาท ชนิดที่หมดเนื้อหมดตัวเลยละครับ และใบเสร็จส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเบิกจากที่ใดได้

               ผมดูแลตัวเองมาเกือบตลอดรอดฝั่ง มาเจอแจ็กพ็อตก่อนสิ้นปี เพราะไปเจออาหารรสเค็มจัดเข้าอย่างคิดไม่ถึง - คืนนั้น ผมเดินทางไปต่างจังหวัด พี่น้องชาวบ้านก็จัดอาหารท้องถิ่นมารับรองแข็งขัน บังเอิญว่าสำรับอยู่ในมุมมืด ที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจน ผมก็ตักพริกกับเกลือมาคลุกกับข้าวและส่งเข้าปากเคี้ยวเต็มเปา พอรู้ตัว รีบคายออกมาก็ไม่ทัน เพราะส่วนหนึ่งล่วงลำคอลงไปแล้ว จำได้ว่าคืนนั้น ผมนอนไม่หลับทั้งคืน กระหายน้ำมาก แต่ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่หายคอแห้ง ตื่นมาก็ไปปฏิบัติหน้าที่ กลับมาคืนที่สองก็นอนไม่หลับอีก เลยทั้งเพลีย ทั้งเหนื่อย และตั้งหน้าตั้งตากินน้ำเป็นการใหญ่ จนพุงเริ่มอืดอย่างเห็นได้ชัด

               กลับจากจังหวัดแรก ผมก็เดินทางไปจังหวัดที่สองต่อในเวลาถัดมา ถึงตอนนี้ร่างกายผมเกือบหมดสภาพ ปวดเมื่อยจนตัวแข็ง เดินเหินไม่ถนัด เหมือนเส้นเอ็นยึดไปทั้งตัว ทางเดียวที่ช่วยผมไว้ได้ก็คือหมอนวดที่น้องในพื้นที่คัดหมอนวดมือหนึ่งมาช่วยคลายเส้นให้ แต่วันรุ่งขึ้นเส้นก็ยึดอีก ต้องตามหมอมานวดซ้ำ กลับมากรุงเทพฯ รู้ว่าไม่ไหวแน่ ต้องวิ่งเข้าโรงพยาบาล

               ให้คุณหมอซ่อมสุขภาพ และในที่สุดต้องยอมให้คุณหมอใช้เครื่องช่วยฟอกดึงน้ำออกจากร่างกาย และเม็ดเลือด รวมเวลา 10 วันเต็ม ฟอกเลือดเพื่อช่วยดึงน้ำออกมาไป 3-4 ครั้ง

               ก่อนจะออกจากโรงพยาบาล คุณหมอกำชับให้ผมระมัดระวังเรื่องอาหาร โดยเฉพาะรสเค็ม ซึ่งถึงคุณหมอไม่กำชับ ผมก็ตั้งใจไว้อีกทีแล้วว่า จะไม่กินเค็ม กินหวาน เป็นอันขาด แต่นั่นแหละครับ ถึงจะระวังตัวอย่างไร ก็มีโอกาสพลาดพลั้ง แบบตายน้ำตื้นได้ง่ายๆ เหมือนกัน

               สำหรับท่านที่ชอบกินเค็ม อยากให้ท่าน ลด ละ เลิก เพื่อสุขภาพของตัวท่านเอง หรือถ้ายังกินเค็มอยู่ ก็ลองเอาราคาค่าอาหารเค็มๆ จานนั้น เปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่ท่านจะต้องจ่ายเพื่อรักษาตัวจากโรคภัยไข้เจ็บที่มาพร้อมกับความเค็มดูเล่นไปพลางๆ ก่อนก็ได้ครับ