
ถอดรหัสกระตั้วแทงเสือ
ถอดรหัสกระตั้วแทงเสือ : สิทธิชัย นครวิลัยรายงาน
"เมื่อกี้ผมนึกว่ามีการแสดงมารับผม จริงๆ นะ เพราะปกติจะต้องมีการแสดง ไอ้นี่มาใหม่เว้ย ทำไมมันใส่ชุดดำ นึกว่ามาเต้นกระตั้วแทงเสือ"
เป็นคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ที่ จ.ขอนแก่น เมื่อ 19 พฤศจิกายน หลังมีนักศึกษากลุ่ม "ดาวดิน" 5 คน บุกประท้วงต่อหน้าต่อตานายกฯ ด้วยการ "ชูสามนิ้ว" พร้อมถอดเสื้อแจ็กเก็ตด้านนอกให้เห็นข้อความที่สกรีนบนเสื้อยืดสีดำด้านใน อ่านต่อกันเป็นประโยคได้ว่า "ไม่-เอา-รัฐ-ประ-หาร"
ความสงสัยของสังคมและผู้คนที่ติดตามข่าวสารมี 2 เรื่อง คือ 1.กระตั้วแทงเสือ คืออะไร? กับ 2.นายกฯพูดด้วยอารมณ์ไหน ซ่อนนัยอะไรหรือไม่?
จากการสืบค้นในอินเทอร์เน็ต พบแฟนเพจของคณะแสดง "กระตั้วแทงเสือ" มากกว่า 30 คณะ เช่น คณะศิษย์วัดสิงห์ คณะศิษย์หลวงพ่อขาว คณะศิษย์วัดสังข์กระจาย คณะวัดใหญ่ศรีสุพรรณ คณะวัดกัลยาณมิตร เป็นต้น ส่วนใหญ่มีสถานที่ติดต่อในกรุงเทพฯ เขตธนบุรี เท่าที่ตรวจสอบดูพบว่ายังรับแสดงการละเล่นนี้อยู่ในเทศกาลต่างๆ เช่น กฐิน ผ้าป่า งานบวช ทั้งในเมืองหลวงและต่างจังหวัด
สำหรับประวัติความเป็นมาของ "กระตั้วแทงเสือ" นั้น ข้อมูลจากงานวิจัยของ น.ส.ศิริวรรณ ป้องคำสิงห์ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ซึ่งเป็นผู้ศึกษาวิจัยการแสดงพื้นบ้านชนิดนี้ ประกอบกับข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ สรุปได้พอสังเขปว่า "กระตั้วแทงเสือ" เป็นการละเล่นที่เลียนแบบมาจาก "กระอั้วแทงควาย" ซึ่งเป็น "การละเล่นหลวง" มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ต่อมาชาวบ้านนำรูปแบบมาดัดแปลงให้มีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน ทั้งตัวละคร เนื้อเรื่อง และรูปแบบวิธีการเล่น แล้วเรียกว่า "กระตั้วแทงเสือ" เล่นกันแพร่หลายทั่วไป
ตัวละครประกอบด้วย "บ้องตัน" เป็นนายพราน มีหอกเป็นอาวุธ "นางเมีย" เป็นภรรยานายพราน ถือตะกร้าผลไม้ "เจ้าจุก" ลูกของบ้องตัน มือถือขวาน "เจ้าแกละ" ลูกของบ้องตันอีกคน ถือมีดอีโต้ และเสือ จะเป็นเสือโคร่ง เนื่องจากตามเนื้อเรื่องคือเสือสมิง ซึ่งหมายถึงผีหรือปีศาจที่มีรูปร่างเป็นเสือโคร่งขนาดใหญ่
ส่วนลักษณะการแต่งกาย "บ้องตัน" สวมเสื้อแขนยาว นุ่งสนับเพลา มีผ้าคาดเอวและผ้าโพกศีรษะ "เจ้าจุก-เจ้าแกละ" สวมเสื้อแขนยาว นุ่งโจงกระเบน "นางเมีย" สวมเสื้อแขนกระบอก นุ่งผ้าถุงยาวกรอมเท้า ห่มสไบ สวมเครื่องประดับ และ "เสือ" ใส่ชุดลายเสือและใส่หัวเสือลักษณะหัวโขน
เนื้อเรื่องในการแสดง คือ กาลครั้งหนึ่งในเมืองกำลังมีเหตุร้าย บ้องตันรู้ข่าวว่าเจ้าเมืองประกาศหาผู้มีความสามารถไปปราบเสือสมิงที่ออกอาละวาดทำร้ายชาวบ้านจนบาดเจ็บล้มตาย โดยถ้าปราบสำเร็จจะมีการตกรางวัลให้อย่างมหาศาล บ้องตันจึงได้อาสาเข้าป่าไปพร้อมกับลูกเมียเพื่อปราบเสือ แล้วก็สามารถฆ่าเสือได้สำเร็จ จึงนำหัวเสือไปถวายเจ้าเมือง
เครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดงมี กลองตุ๊ก กลองโทน ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง การแสดงใช้จังหวะตะลุง และร้องเพลงบ้องตันเข้ากรุง ใน 1 คณะใช้เครื่องดนตรีหลายชิ้น อาจมีนักดนตรี 10-20 คน เพื่อทำให้บรรยากาศตื่นเต้นขณะเสือกระโดดไปมาระหว่างการต่อสู้ระหว่างเสือกับนายพราน มีการร้องเพลงสำเนียงใต้คล้ายการร้องโนราประกอบกับการรำ
ศรีศักร วัลลิโภดม นักโบราณคดีชื่อก้อง อธิบายว่า "กระตั้วแทงเสือ" เป็นการละเล่นร้องรำทำเพลงของคนไทยโบราณ เช่นเดียวกับการแสดงโขน หรือการร้องเพลงฉ่อย มีความเป็นศาสตร์ด้านการละครและเพลง มีเนื้อหาอ้างอิงชาติพันธุ์หนึ่งซึ่งเป็นพรานป่าล่าเสือ เนื้อเรื่องของการแสดงกระตั้วแทงเสือนี้ไม่มีความหมายใดๆ แอบแฝงอยู่เลย นอกจากเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
อย่างไรก็ดี หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการนำไปเปรียบเทียบเพื่อประชดประชันก็สามารถทำได้ เพราะการตีความขึ้นอยู่กับเจตนาของแต่ละฝ่าย หากมีเจตนาประชด พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว การชูสามนิ้วที่ท่านนายกฯ เปรียบเป็นการแสดงกระตั้วแทงเสือ เท่ากับว่าการแสดงออกทางการเมืองดังกล่าวนั้น ถือเป็นการดูถูกท่านนายกฯ เหมือนเป็นแค่คนป่าเถื่อนที่ริจะแทงเสือ
"การที่นายกฯ พูดถึงการละเล่นนี้ เข้าใจได้ว่าท่านเป็นคนโบราณ สมัยเด็กท่านน่าจะเคยพบเห็นและรู้จักการแสดงชนิดนี้ ผิดกับเด็กสมัยใหม่ที่ไม่รู้จักการแสดงโบราณนี้แล้ว ส่วนตัวผมไม่อยากให้ใครเอาการละเล่นโบราณไปเปรียบเทียบเพื่อตีความเพื่อหวังผลทางการเมือง เพราะมันไม่ได้ประโยชน์อะไร และเชื่อว่าท่านนายกฯ ก็ไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น" อาจารย์ศรีศักร กล่าว
รู้จัก"กระอั้วแทงควาย"
กระอั้วแทงควาย เป็นการละเล่นของชาวทวาย มีผู้เล่น 4 คน คำว่า "กระอั้ว" เป็นภาษาทวาย เป็นชื่อสามีของ "นางกระแอ" เป็นการแสดงการล่าควาย การหลอกล่อ หลบหนีของตากระอั้วที่เล่นกันสนุกๆ ให้เกิดความขบขัน ประกอบกับการทำท่าทางตกอกตกใจของนางกระแอ จนผ้าผ่อนหลุดลุ่ย เป็นที่สนุกสนานครื้นเครง
ในสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 13 ระบุว่า "กระอั้วแทงควาย" เป็นการละเล่นหลวงที่แสดงในพระราชพิธีต่างๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าแสดงหน้าที่นั่งในเขตพระราชฐาน เพียงแต่มีการแสดงด้านนอกเท่านั้น