ข่าว

พท.มาแล้ว!เสนอร่างรธน.ห้าม'ยุบสภา'

พท.มาแล้ว!เสนอร่างรธน.ห้าม'ยุบสภา'

10 พ.ย. 2557

เพื่อไทยมาแล้ว!เสนอร่างรธน.เปิดพื้นที่ม็อบ ห้าม'รัฐประหาร-ยุบสภา' 'เทียนฉาย'แถลงสรุป'วิสัยทัศน์-ภิวัฒน์ไทย'

              10พ.ย. 2557 นายอำนวย คลังผา อดีตส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย และอดีตประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) กล่าวว่า ขอเสนอให้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญพิจารณา "1 ม. 2 ย."คือ  "1.ม." หมายถึงม็อบ รัฐบาลควรให้จัดเวทีให้กลุ่มผู้ชุมนุม โดยมีร่ม รั้วรอบขอบชิด ให้อยู่เฉพาะที่ที่จัดให้เพียงที่เดียว เช่น สวนจตุจักรหรือสวนรถไฟ เป็นระยะเวลา 2 วันเพื่อป้องกันการจราจรติดขัด จากนั้นรัฐบาลต้องมารับฟังปัญหาและนำไปแก้ไข

              ส่วน 2 ย.นั้น ย.แรกหมายถึงยุบสภาฯ ต้องกำหนดชัดเจนว่าห้ามยุบสภาฯ ให้ลาออกได้เท่านั้น หากนายกฯ บริหารบ้านเมืองไม่ได้ก็ให้ลาออกและตั้งนายกฯ คนใหม่โดยสภาฯ และ ย.ที่2หมายถึงยึดอำนาจ ต้องออกเป็นกฎหมายว่า จากนี้ไปห้ามยึดอำนาจ ห้ามปฏิวัติเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะติดขัดหมด ซึ่งจะเป็นการสร้างประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง ทั้งนี้ หากมีม็อบ ยุบสภาฯ และยึดอำนาจ บ้านเมืองจะเดินต่อไปไม่ได้ ดังนั้น หากทำได้จะส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย เพราะการยุบสภาฯ ไม่เกิดประโยชน์อะไร

              นายอำนวยกล่วต่อว่าตนเห็นด้วยตามที่มีผู้เสนอว่า รัฐมนตรีและส.ส.ต้องแยกกัน และส.ส.ต้อง 500 เขต บัญชีรายชื่อต้องไม่มี จะได้เป็นประชาธิปไตยเต็มที่ รวมทั้งต้องไม่มีส.ว. และองค์กรอิสระต้องปรับใหม่หมด เพราะขณะนี้กระบวนการยุติธรรมไขว้เขว ทำให้สังคมแตกแยก แม้แต่กกต.หากไม่จัดการเลือกตั้งก็ต้องถูกลงโทษ ส่วนป.ป.ช.ส่วนกลางไม่ต้องมี ให้มีเป็นจังหวัดๆ ไป ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ต้องมี ให้มีแต่ศาลแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเดียวพอ

 

 "เทียนฉาย"แถลงสรุป"วิสัยทัศน์-ภิวัฒน์ไทย"

               นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แถลสรุปผลการหารือเรื่อง"สานพลังสปช.ออกแบบอนาคตประเทศไทย" ตลอดเวลาที่ผ่านมา 2 วัน ว่า สปช.ได้ระดมช่วยกันพิจารณคาความคิดเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับอนาคตการทำงานให้เป็นแนวทางที่เราจะเดินไปให้บรรลุภาระกิจภายใน 1 ปีข้างหน้า และสำหรับเป็นพื้นฐานก่อนการรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการยกร่างรัฐธรรมนูญต่อไป โดยเบื้องต้นเราประมวลความคิดผ่านโครงการสานพลังสปช.ออกแบบอนาคตประเทศไทย ที่ยังไม่ใช่บทสรุปของทั้งหดม ซึ่งเมื่อเราอ่านแนวทางการปฏิรูปจากรัฐธรรมนูญ เราก็พบว่ามีเป้าหมายของการปฏิรูป 6 เรื่อง คือ เมื่อปฏิรูปประเทศแล้ว เราจะได้ระบอบประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับสังคมไทย ได้การเลือกตั้งที่สุจริตแล้วเป็นธรรม ได้กลไกป้องกันการทุตริตประพฤติมิชอบ ขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ได้การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งคัด ทำให้กลไกของรัฐสร้างความเป็นธรรมให้ประชาชนได้อย่างทั่วถึง เพื่อนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ทั้งที่เกิดจากทางเศรษฐกิจ การเข้าถึงทรัพยาการ และการเข้าถึงการศึกษา ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็น 'วิสัยทัศน์-ภิวัฒน์ไทย ภาพฝันอนาคตประเทศไทยในอีก 20 ปี ข้างหน้า
    
               นายเทียนฉายกล่าวต่อว่า ส่วนการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เราก็ต้องหารือถึงการจัดระบบภาษีอากร นโยบายทางการคลัง ตลอดจนหามาตราการแก้ไข อย่างการ กำหนดภาษีที่เหมาะสม ปิดช่องโหว่การจัดเก็บภาษี หาแนวทางการจัดเก็บภาษีใหม่เพื่อสร้างความเป็นธรรม อย่างการจัดเก็บภาษีมรดก หรือภาษีที่ดินเป็นต้น ทั้งยังต้องมีการปฏิรูประบบการงบประมาณที่ประเเทศเราใช้มานานพอสมควร พร้อมทั้งหากลไกคุ้มครองผู้บริโภค เรื่อยไปจนถึงถึงการสร้างโอกาสให้เกษตรกรและผู้ด้อยโอกาสผ่านกลไกตลาดด้วย ขณะที่ การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ก็ต้องมีการกำหนดมาตราฐานการศึกษาในทุกระดับ ประกันโอกาสทางการศึกษา นำเทคโนโลยีมาใช้จัดการศึกษาให้อย่างมีประสิทธิภาพ จัดสวัดิการค่าตอบแทนของแรงงานครู และการลดการเหลื่อมล้ำการเข้าถึงทรัพยากร เรามองว่าต้องมีมาตรการสนับสนุนให้ชุมชนเข้าถึงการใข้ทรัพยากรในท้องถิ่น ปรับปรุงระบบการวางผังเมือง เพื่อให้มีการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม การออกกฎหมายฉโนดที่ดินให้อย่างครอบคลุม ผลักดันให้มีธนาคารที่ดิน ตลอดจนถึงทบทวนการออกกฎหมายการให้สัมปทานทรัพยากรพลังงาน
    
               นายเทียนฉายกล่าวอีกว่าแนวทางการปฏิรูปในด้านอื่นๆ อย่างด้านสังคม เราก็มีเป้าหมายอยู่ที่เราอยากเห็นประชากรไทย มีคุณภาพ มีความรู้มีคุณธรรม มีวินัย โดยส่วนสำคัญที่จะผลักดันให้การปฏิรูปด้านนี้เกิดขึ้นได้คือการศึกษา ทั้งนี้ ต้องวางกรอบการปฏิรูปให้รองรับต่อการเกิดสังคมพหุวัฒนธรรม เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้แม้มีความหลากหลาย ผ่านการเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมโดยให้ศาสนาเป็นตัวเชื่อมโยงความแตกต่าง และยังเป็นการรองรับต่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอีกด้วย เราอยากเห็นสังคมของเราเป็นสังคมแห่งพลังปัญญาที่ใช่ความรู้เข้าแก้ปัญหาไม่ใช่อารมณ์ ตัวอย่างเช่น เราจะสร้างศูนย์ความรู้ที่เรียกว่า 'think thank' เพื่อเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงความรู้จากปประชาชนในสังคมเข้าสู่ส่วนกลาง ด้านเศรษฐกิจ สร้างระบบทุนที่ดี ไม่ผูกขาด รับใช้สังคม เราต้องการใช้ทุนรับใช้สังคม ไม่ใช่สังคมรับใข้ทุน เราจะสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม มีดุลยภาพกับธรรมชาติ จะกำจัดธุรจกิจการเมือง เราจะทำให้ระบ เราจะปฏิรูประบบสถาบันการเงินให้เข้ากับสังคม
    
               นายเทียบฉายกล่าวต่อว่า ด้านการเมืองการปกครอง การกระจายอำนาจและกระจายความเจริญออกจากส่วนกลาง เช่น การกระจายอำนาจทางการคลัง ปรับโครงสร้างภาษีระดับชาติ และท้องถิ่น สร้างพลังภาคประชาสังคมภาคพลเมือง ลดทอนอำนาจส่วนกลาง พัฒนาการตรวจสอบการใช้อำนาจ ปรับโครงสร้างอำนาจราชการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ด้านการปราบการทุจริต ต้องแก้ไขกฎหมายควบคุมการคอร์รัปชั่น รณรงค์ส่งเสริมวัฒนธรรมที่ต่อต้านการคอร์รัปชั่น ตรวจสอบการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองและส่วนราชการ ให้สื่อมวลชนเข้าร่วมตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองและข้าราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ต้องมีการกำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจน
    
               "สุดท้ายนี้เรายังมีความจำเป็นต้องสร้างระบอบคัดกรองคนดีเข้าสู่ระบอบการเมือง ทั้งท้องถิ่นและระดับชาติ เราอยากมีสภาพลเมือง สภาท้องถิ่น ทั้งระดับตำบลและระดับชาติ อยากมีองค์กรตรวจสอบภภาคประชาชาชนอย่างในสถานะเช่นเดียวกับองค์กรอิสระ ให้มีการปฏิรูประบบการเลือกตั้ง ปรับโครงสร้างการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองและการถอดถอน ตลอดจนให้การศึกษาพลเมืองให้มีความตื่นตัวทางการเมือง ทั้งหมดนี้คือจากการหารือตลอด 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งเราเรียกมันว่า 'วิสัยทัศน์ภิวัฒน์ไทย' นี่คือการคิกออฟของสปช. และนับจากนี้จะเป็นวาระแห่งชาติที่เราจะต้องทำงานร่วมกันต่อไป"นายเทียนฉายกล่าวขณะที่น.ส.ทัศนา แถลงว่า ในการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในวันที่ 11 พ.ย. จะทำการพิจารณาให้ความเห็นชอบสมาชิกคณะกรรมาธิการวิสามัญประจำสภาปฏิรูปแห่งขาติทั้ง 18 คณะ


มั่นใจ1ปีแผนปฏิรูปสำเร็จ     

               นายเทียนฉาย  กล่าวภายหลังปิดการสัมมนา ว่า กรอบที่ สปช.จะต้องส่งต่อกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ มีเวลา 60 วัน จึงถึงวันที่ 14 ธ.ค. ซึ่งเป็นเวลาที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้กำหนดไว้แล้ว โดยหลังจากนี้ต้องขอทำความเข้าใจในรายละเอียดก่อน เพราะวันนี้เป็นเพียงการกำหนดประเด็นเท่านั้น หลังจากนั้นจะมีการปฏิรูปในแต่ละประเด็นที่สรุปกัน และเมื่อสปช.เห็นชอบแล้ว ถ้าจำเป็นที่ต้องออกเป็นกฎหมาย หากยกร่างเป็นพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) หรือ พระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ.) ก็จะเสนอให้ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ( สนช.)พิจารณา แต่ถ้าหากเป็นเรื่องการจัดการองค์กรก็จะเสนอให้ ครม.ดำเนินการ แต่ทั้งหมดยังเป็นกรอบใหญ่บางเรื่องต้องใช้เวลาเป็นแรมปี ต้องอาศัยผู้ที่เกี่ยวข้องประคับประคองให้เกิดความสำเร็จ ทั้งนี้ยืนยันว่าภายในระยะเวลา 1 ปีจะได้แผนและแนวทางปฏิรูป รวมถึงในบางเรื่องจะเริ่มปฏิบัติได้ ส่วนที่เหลืออาจจะต้องมีการดำเนินการในระยะยาวต่อไป
    
               นายเทียนฉาย กล่าวต่อว่า ในวันที่ 11 พ.ย.จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญประจำ สปช. ทั้ง 18 คณะ เมื่อมีการพิจารณาในที่ประชุมตามกรอบแล้วเสร็จทุกคณะ ก็สามารถเริ่มทำงานได้ทันที ส่วนที่เป็นข้อมูลพื้นฐานก็จะนำมาวิเคราะห์ลงไปอยู่ในกรอบการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยในที่ประชุม สปช.จะได้มีการพูดคุยกันก่อนที่จะนำไปสู่การรับฟังความคิดเห็น ซึ่งขณะนี้ทราบว่าเวทีรับฟังความคิดเห็นมีอยู่หลากหลาย เพราะรัฐบาลเองมีการให้ กอ.รอมน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดรับฟังความคิดเห็น ขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาก็มีเวทีรับฟังความเห็นเช่นกัน คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ในการปฏิรูปครั้งนี้
    
               นายเทียนฉาย ยังกล่าวถึงประเด็นการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญว่า เรื่องนี้ต้องไปหารือกันในที่ประชุม สปช.ว่าจะมีความเห็นกันอย่างไร แต่ถ้าหากจะมีการทำประชามติจริงก็จะต้องไปแก้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวก่อน ซึ่งรัฐธรรมนูญสามารถแก้ได้ไม่มีปัญหาโดย สปช.จะเป็นผู้เสนอให้ สนช.หรือรัฐบาลแก้รัฐธรรมนูญก็ได้ แต่ทั้งนี้มองว่าการทำประชามติยังเป็นเรื่องที่ไกลตัว ยังไม่ควรพูดตอนนี้ ยังไม่อยากให้พูดถึงหาง ให้ทำเรื่องหัวก่อน


นพ.เจตน์เสนอกำหนดวันพิจารณาสำนวนถอดถอน"ยิ่งลักษณ์"ใหม่

               นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกวิป สนช. กล่าวว่า ทราบข่าวว่าทนายความนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งหนังสือขอเลื่อนการพิจารณาสำนวนถอดถอนออกไปโดยอ้างว่ายังไม่ได้รับเอกสารซึ่งในข้อบังคับเขียนว่าทางผู้ถูกร้องจะต้องได้รับเอกสารสำนวนทั้งหมดไม่น้อยกว่า 15 วัน ดังนั้นจึงต้องพิจารณาว่านางสาวยิ่งลักษณ์ได้รับหนังสือวันไหน โดยทราบว่า นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. ได้ลงนามในหนังสือที่ส่งถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2557 แต่ก็อาจมีการโต้แย้งว่าการนับระยะเวลา 15 วันจะนับจากวันที่ส่งหนังสือออกไปหรือวันที่ผู้ถูกกล่าวหาได้รับหนังสือ ซึ่งในส่วนของนางสาวยิ่งลักษณ์ทีมทนายความก็คงหาช่องทางต่อสู้เพื่อถ่วงเวลาออกไป สิ่งที่ สนช.ต้องพิจารณาคือข้อเท็จจริงประกอบกับข้อบังคับโดยให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาด้วย

               “โดยส่วนตัวเห็นว่าหากมีการเลื่อนการพิจารณาออกไปในการประชุมวันที่ 12 พ.ย.นี้ก็จะต้องมีการกำหนดวันพิจารณาสำนวนถอดถอนใหม่ด้วยว่าจะเป็นวันใด โดยควรนับจากวันที่นางสาวยิ่งลักษณ์ได้รับหนังสือ 15 วันตามที่ข้อบังคับกำหนด ไม่ควรเกินไปกว่านั้น ส่วนที่มีการขอให้เลื่อนไป 30 วันนั้นก็คงต้องพิจารณาว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ด้วย ซี่งหากที่ประชุมใหญ่เห็นด้วยว่าให้เลื่อนการพิจารณาออกไปในการประชุมวันนั้นก็จะพิจารณาร่างกฎหมายแทน” นพ.เจตน์ กล่าว

               นพ.เจตน์ ยอมรับว่าการถอดถอนประสบกับความยุ่งยากในกรณีของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภาและ นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ทำให้เกิดความล่าช้า ส่วนกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ก็มีปัญหาเรื่องความกระชั้นชิดของเวลา ซึ่ง สนช.ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว เพราะอยู่ตรงกลางระหว่าง ป.ป.ช.กับผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งก็ต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของ สนช.ด้วย