ข่าว

ปฏิบัติการท้าทาย‘กำแพงเบอร์ลิน’

ปฏิบัติการท้าทาย‘กำแพงเบอร์ลิน’

07 พ.ย. 2557

ปฏิบัติการท้าทาย‘กำแพงเบอร์ลิน’ : เทพชัย หย่องรายงาน


                 ราล์ฟ คาบิช มีอายุเพียง 22 ปี เมื่อเขาตัดสินใจร่วมขบวนการช่วยเหลือชาวเยอรมันตะวันออกที่ทนมีชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ไม่ได้ และต้องการหนีออกจากเบอร์ลินตะวันออก ไปสู่เสรีภาพในฝั่งตะวันตก

                 นั่นคือปี 1964 (พ.ศ.2507) หลังการก่อสร้างกำแพงเบอร์ลินสามปี และราล์ฟเป็นเพียงนักศึกษาวิศวกรรมโยธาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยญาติพี่น้องที่ยังติดค้างอยู่ในโลกหลัง 'ม่านเหล็ก' ฝ่าแนวกำแพงไปสู่โลกเสรี

                 "คุณต้องเป็นคนหนุ่ม และมีความบ้าบิ่นเท่านั้นถึงจะกล้าคิดทำอย่างนั้นได้" ราล์ฟมองย้อนกลับไปยังวันที่เขาและเพื่อนๆ ตัดสินใจทำในสิ่งที่กลายเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เล็กๆ หน้าหนึ่งของโลกในยุคสงครามเย็น

                 ถ้ามันเป็นความบ้าบิ่น มันก็คงไม่ใช่เป็นเพียงความบ้าบิ่นของคนหนุ่มเพื่อความคึกคะนอง ราล์ฟและเพื่อนๆ นักศึกษาด้วยกัน เชื่อว่า ทางเดียวที่จะช่วยอดีตเพื่อนร่วมชาติที่อยู่อีกฟากหนึ่งของกำแพงให้พ้นจากความทุกข์ระทมก็คือ ต้องทำในสิ่งที่คนทั่วไปไม่คิดจะทำเท่านั้น

                 สามปีก่อนหน้านั้น รัฐบาลเยอรมันตะวันออก ภายใต้การบงการของสหภาพโซเวียต ตัดสินใจหยุดยั้งการอพยพของชาวเยอรมันตะวันออกนับล้านๆ คนไปสู่เยอรมันตะวันตกด้วยการสร้างกำแพงตลอดแนวที่แบ่งเมืองเบอร์ลินเป็นตะวันออกและตะวันตก เริ่มต้นด้วยการสร้างแนวลวดหนามและเครื่องกีดขวาง แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถยับยั้งการหลบหนีของชาวเยอรมันตะวันออกได้ สิ่งที่ตามมาและกลายเป็นสัญลักษณ์ที่อัปยศที่สุดของสงครามเย็นก็คือ กำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กตลอดแนวพรมแดนที่ยาวเกือบ 160 กม.

                 แต่สุดท้ายแล้วแม้แต่กำแพงที่สูงถึงเกือบสามเมตร ป้อมตรวจการณ์นับร้อยแห่งตลอดแนวกำแพง และคำขู่จากรัฐบาลเยอรมันตะวันออกที่จะยิงทุกคนที่พยายามหนีเข้าเบอร์ลินตะวันตก ก็ไม่สามารถสกัดกั้นความโหยหาเสรีภาพของชาวเยอรมันตะวันออก

                 คนนับหมื่นพยายามทุกวิถีทางที่จะหลบหนีข้ามกำแพงไปสู่เสรีภาพในฝั่งตะวันตก ทั้งๆ ที่รู้ว่าโอกาสรอดมีน้อยมาก เกือบสองร้อยคนต้องสังเวยชีวิตให้แก่คมกระสุนของหน่วยรักษาการณ์ที่พรมแดน

                 หลายพันคนประสบความสำเร็จในการเล็ดลอดไปสู่เสรีภาพในฝั่งตะวันตกได้ ในจำนวนนั้นมี 57 คนที่มีโอกาสได้พบกับญาติพี่น้อง และเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งก็เพราะ 'ความบ้าบิ่น' ของราล์ฟและเพื่อนๆ

                 วันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ ครบรอบ 25 ปีของการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน การพังครืนของกำแพงแห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของสงครามเย็น เป็นเวลากว่า 45 ปีหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่โลกของเราถูกแบ่งออกเป็นค่ายคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของสหภาพโซเวียต และค่ายเสรีนิยมที่อยู่ใต้อิทธิพลของประเทศตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา

                 ประเทศไทยของเราในขณะนั้นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน ต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากเพื่อนบ้านคอมมิวนิสต์ในอินโดจีน (ลาว กัมพูชา และเวียดนาม) ท่ามกลางความหวาดกลัวว่าประเทศไทยจะเป็นโดมิโนตัวต่อไป ก่อนทั้งภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลคอมมิวนิสต์

                 ภายในประเทศเราเองก็มีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่เป็นภัยคุกคามโดยตรง ขณะที่คนไทยด้วยกันเองก็มีความแตกแยกทางด้านความคิดทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนนำไปสู่เหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519

                 มีบทเรียนมากมายที่โลกควรได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดกำแพงเบอร์ลิน ผมและทีมงานจาก 'เนชั่นทีวี' ได้มีโอกาสเดินทางไปเมืองเบอร์ลินเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อร่วมกับชาวเยอรมันมองย้อนกลับไปยังห้วงเวลาที่เจ็บปวดและอัปยศที่สุด ก่อนจะรวมชาติเป็นหนึ่งเดียวได้ เยอรมนีต้องผ่านความโหดร้ายของสงคราม การพลัดพราก และการแบ่งแยกที่ยังเป็นภาพหลอกหลอนคนเยอรมันมาจนถึงทุกวันนี้

                 หลังพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945 เยอรมนีถูกประเทศสัมพันธมิตรแบ่งออกเป็นสี่เขตปกครองเพื่อความมั่นใจว่าเยอรมนีจะไม่เป็นภัยคุกคามโลกอีกต่อไป โดยสหภาพโซเวียตดูแลในส่วนที่เป็นเยอรมันตะวันออก ส่วนตะวันตกนั้นให้สหรัฐอเมริกา อังกฤษและฝรั่งเศส แบ่งเขตกันรับผิดชอบ ขณะที่เมืองหลวงเบอร์ลิน (ซึ่งตั้งลึกเข้าไปในดินแดนของเยอรมันตะวันออก) ก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเช่นเดียวกัน โดยมีรัฐบาลคอมนิวนิสต์ที่อยู่ใต้อิทธิพลสหภาพโซเวียต บริหารปกครองเขตเบอร์ลินตะวันออก ส่วนเบอร์ลินตะวันตกอยู่ในความดูแลของมหาอำนาจตะวันตกสามประเทศ โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นแกนหลัก

                 ชาวเยอรมันกว่าสามล้านคนไม่สามารถทนกับสภาพที่แร้นแค้น ไร้เสรีภาพและถูกกดขี่โดยอำนาจเผด็จการในฝั่งตะวันออกได้ ตัดสินใจอพยพข้ามไปฝั่งตะวันตก ผู้อพยพส่วนใหญ่เป็นคนมีความรู้และการศึกษา เป็นหมอ นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และนักกฎหมาย ทำให้เกิดภาวะสมองไหลอย่างรุนแรง และยังทำให้ทั้งรัฐบาลเยอรมันตะวันออกและสหภาพโซเวียตรู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างมากที่แม้แต่ประชาชนของตัวเองก็ยังทนอยู่กับระบอบคอมมิวนิสต์ที่อวดอ้างความเป็นเสรีและความเสมอภาคไม่ได้

                 นั่นจึงเป็นที่มาของกำแพงเบอร์ลิน เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่ผู้นำเยอรมันตะวันออกเชื่อว่าจะหยุดการอพยพและการหลบหนีของประชาชนที่โหยหาเสรีภาพได้ และนั่นก็เป็นที่มาของ 'ความบ้าบิ่น' ของราล์ฟและเพื่อนๆ

                 ครอบครัวของราล์ฟมีญาติพี่น้องที่ยังติดค้างอยู่ในเยอรมนีตะวันออกหลายคน เขาเหล่านั้นต้องพลัดพรากนับตั้งแต่วันที่รัฐบาลเยอรมันตะวันออกประกาศปิดพรมแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันออกและตะวันตก และเริ่มก่อสร้างกำแพงเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 1961 (พ.ศ.2504) เป็นมาตรการที่ไม่มีการประกาศเตือนล่วงหน้า และไม่ให้แม้แต่เวลาสำหรับการร่ำลา

                 เหตุผลที่รัฐบาลเยอรมันตะวันออกให้แก่ประชาชนของตัวเองเพื่อเป็นข้ออ้างในการสร้างกำแพงก็คือ เพื่อป้องกันการรุกรานจากอำนาจ 'เผด็จการฟาสซิสต์' แต่มันเป็นเหตุผลที่ทุกคนรู้ดีว่ามันตลกสิ้นดี เพราะในความเป็นจริงแล้ว เป้าหมายของการสร้างกำแพงแห่งนี้คือ การปิดกั้นประเทศตัวเองจากโลกภายนอก

                 คำสั่งจากผู้นำเยอรมันตะวันออกชัดเจน หน่วยตรวจการณ์ประจำตลอดแนวกำแพง มีสิทธิยิงทุกคนที่พยายามหลบหนี และใครที่ถูกจับได้ขณะพยายามหนีออกนอกประเทศ ก็จะถูกจับติดคุกทันที

                 เพราะฉะนั้นปฏิบัติการของราล์ฟและเพื่อนๆ เพื่อช่วยญาติพี่น้องให้หนีออกจากเบอร์ลินตะวันออกจึงเป็นปฏิบัติการที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง และทุกคนรู้ดีว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไรถ้าล้มเหลว

                 เรื่องราวของราล์ฟ (ซึ่งทุกวันนี้คงต้องเรียกว่า 'ลุงราล์ฟ') น่าตื่นเต้นไม่แพ้ฉากในภาพยนตร์ประเภทจารกรรมในยุคสงครามเย็น ขณะเดียวกัน มันสะท้อนให้ถึงความโหดร้ายที่ชาวเยอรมันตะวันออกต้องเผชิญภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ และความกล้าหาญของนักศึกษากลุ่มหนึ่ง ที่พร้อมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเพื่อนร่วมชาติให้มีโอกาสสัมผัสเสรีภาพ

                 ติดตามปฏิบัติการที่ต่อมาเรียกขานกันว่า 'ปฏิบัติการอุโมงค์ 57' ของลุงราล์ฟและเพื่อนๆ ได้ในสัปดาห์หน้า

..................................................

(หมายเหตุ : ปฏิบัติการท้าทาย‘กำแพงเบอร์ลิน’ : เทพชัย หย่องรายงาน)