
วิถีกระสุนมัดร.ต.อ.ยิงกิ๊กทหาร
02 พ.ย. 2557
วิถีกระสุนมัด ร.ต.อ. ยิงกิ๊กทหาร : คลี่ปมปริศนา CSI THAILAND : โดย...ทีมข่าวอาชญากรรม
�
� � � � � � � � � �ย้อนหลังไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เกิดเหตุอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ ตำรวจหนุ่มยศ ร.ต.อ. ชักอาวุธปืนประจำกายยิง แฟนสาว ซึ่งเป็นทหารเสียชีวิตคาเครื่องแบบ เหตุเกิดภายในร้านลาบข้างทาง บริเวณสามแยกเตาปูน ถ.ประชาราษฎร์ สาย 2 เมื่อคืนวันที่ 1 ต่อเนื่องวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553
�
� � � � � � � � � �คดีดังกล่าว ร.ต.อ. เลือดร้อน ต่อสู้คดีในภายหลังอ้างว่า ขณะเกิดเหตุทำปืนลั่น ไม่มีเจตนาสังหารแฟนสาว แต่ด้วยวิถีกระสุนที่ปรากฏบนร่างของผู้ตายอย่างชัดเจน เป็นหลักฐานยืนยันว่า เหตุที่เกิดขึ้นมือปืนมีเจตนาใช้ปืนยิงใส่ผู้ตายไม่ใช่เป็นเพราะปืนลั่นอย่างที่กล่าวอ้าง
�
� � � � � � � � � �ปัง...เสียงจากปากกระบอกปืนขนาด 9 มม. ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของ ร.ต.อ.นพฤทธิ์ วิเศษศักดิ์ รองสารวัตรธุรการ บก.น.7 ช่วยราชการ กก.สส.บก.น.7 ดังขึ้นกลางโต๊ะอาหารภายในร้านลาบ ริมถนนประชาราษฎร์ 2 ใกล้สามแยกเตาปูน กทม. สร้างความตกตะลึงให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันหลบกระสุนกันชุลมุน หลังสิ้นเสียงปืนร่างของ จ.ส.อ.(หญิง)เกสรา ใจสงัดทหารสังกัดหน่วยยุทธบริการ กรมพลาธิการทหารบก หน้าหงายไปด้านหลัง นั่งเสียชีวิตอยู่บนเก้าอี้ซึ่งร่วมโต๊ะอาหารเดียวกันกับมือปืน ซึ่งหลังเกิดเหตุมือปืนรายนี้ได้อาศัยจังหวะที่ผู้คนกำลังแตกตื่นหลบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ
�
� � � � � � � � � �พ.ต.ท.พิสิฐชัย สุนทรธนปรีดา พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.เตาปูน (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) ประสานตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยมี พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์รองผบก.น.2 ร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วย
�
� � � � � � � � � �ร่างของ จ.ส.อ.(หญิง) เกสรา นั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกสีแดง หน้าหงายไปด้านหลัง สวมเสื้อทหารสีขาว นุ่งกระโปรงทหาร มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนขนาด 9 มม. เหนือคิ้วซ้าย โดยกระสุนทะลุท้ายทอย ขณะที่บนโต๊ะยังมีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ ในที่เกิดเหตุมีปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่ 1 ปลอก
�
� � � � � � � � � �เจ้าของร้านที่เกิดเหตุ ให้การว่า ผู้ตายพร้อมกลุ่มเพื่อนซึ่งมีทั้งทหารและตำรวจรวม 8 คนเข้ามานั่งในร้านลาบและสั่งอาหารได้ไม่นาน โดยก่อนหน้านั้นได้ย้ายมาจากร้านไก่ย่าง ซึ่งไม่ไกลจากร้านเกิดเหตุมากนัก ระหว่างนั้นหนึ่งในกลุ่มผู้ตายซึ่งนั่งตรงข้ามผู้ตายได้ถามผู้ตายว่า เมื่อคืนทำไมไม่รับโทรศัพท์ ไปไหนมา จากนั้นก็ชักอาวุธปืนยิงใส่ผู้ตายทันที โดยเพื่อนๆ ในกลุ่มไม่ทันได้ห้ามปรามและหลังเกิดเหตุต่างตะโกนถามว่าทำไมมือปืนจึงทำเช่นนั้น แต่มือปืนรายนี้ไม่ฟังโดยได้เดินข้ามถนนไปขับรถเก๋งสีดำหลบหนีไป
�
� � � � � � � � � �เขามากัน 8 คน ชาย 5 คน หญิง 3 คน ย้ายมาจากร้านไก่ย่าง หลังกินกันได้ประมาณ 30 นาทีผู้หญิงในกลุ่มนั้นก็แซวผู้ตายว่าไปเที่ยวไหนมาปรากฏว่าคนยิงก็ได้ต่อว่า ไปเที่ยวไหนมา ทำไมไม่รับโทรศัพท์ จากนั้นก็ชักปืนออกมายิงใส่ทันที เจ้าของร้านให้การกับพนักงานสอบสวนในคืนวันนั้น
�
� � � � � � � � � �ประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์หลายคนยืนยันตรงกันว่ามือปืนคือ ร.ต.อ.นพฤทธิ์ ทำให้คดีนี้ปิดไม่ยาก โดยหลังเกิดเหตุไม่ทันข้ามคืนกองบัญชาการตำรวจนครบาลต้นสังกัดของนายตำรวจเลือดร้อนรายนี้มีคำสั่งให้ ร.ต.อ.นพฤทธิ์ออกจากราชการทันที
�
� � � � � � � � � �ในการสอบสวนปมการลงมือสังหารพนักงานสอบสวนให้นํ้าหนักเพียงประเด็นเดียวคือเรื่องความหึงหวง โดยทราบว่าทั้งคู่คบหาดูใจกันมาระยะหนึ่ง คืนเกิดเหตุมีการสอบถามกันถึงประเด็นที่ผู้ตายหายตัวไปโดยที่ ร.ต.อ.นพฤทธิ์ ไม่สามารถติดต่อได้ จนบานปลายลุกลามเกิดปากเสียงกัน
�
� � � � � � � � � �ซึ่งพนักงานสอบสวนได้เสนอขออำนาจศาลออกหมายจับ ร.ต.อ.นพฤทธิ์ ในข้อหาฆ่าผู้อื่น พกพาอาวุธไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและยิงปืนในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งหลังจากนั้นเพียง 3 วัน ผู้ต้องหารายนี้ก็เข้ามอบตัวโดยปฏิเสธว่าไม่ได้มีเจตนาฆ่า แต่ขณะเกิดเหตุปืนเกิดลั่นไม่มีเจตนายิงผู้ตาย
�
� � � � � � � � � �ระหว่างการต่อสู้คดีในชั้นศาล ร.ต.อ.นพฤทธิ์อ้างไม่มีเจตนาฆ่า โดยระบุว่าขณะเกิดเหตุทำอาวุธปืนลั่น แต่ร่องรอยวิถีกระสุน ที่แพทย์ผ่าพิสูจน์ยืนยันชัดว่าเป็นวิถีกระสุนที่เกิดจากบนลงล่าง เมื่อนำไปวิเคราะห์กับลักษณะท่าทางของผู้ตายขณะเกิดเหตุตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งศพอยู่ในลักษณะนั่งอยู่กับเก้าอี้ หน้าหงายไปด้านหลัง เพราะแรงปะทะของกระสุนปืน สรุปได้ว่ามือปืนน่าจะอยู่ในท่ายืนและเหนี่ยวไปในลักษณะยื่นมือยิง ไม่ใช่เกิดจากปืนลั่นเพราะอุบัติเหตุ
�
� � � � � � � � � �ตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ ตามคำอ้างของมือปืนไม่น่าจะเป็นไปได้ หากอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุปืนลั่นนั้น บาดแผลวิถีกระสุนที่เกิดขึ้นในร่างของผู้ตายไม่น่าจะมีลักษณะเช่นนั้น โดยผู้พกพาอาวุธปืนสั้น ส่วนใหญ่จะพกพาไว้ที่บริเวณเอว ไม่ว่านั่งหรือยืนหากเกิดปืนลั่นกระสุนจะพุ่งลงพื้นตามแนวทิศทางที่ปากกระบอกปืนหันไป
�
� � � � � � � � � �จากหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ คือวิถีกระสุนที่พบในร่างของผู้เสียชีวิต มีลักษณะจากบนลงล่างขณะเกิดเหตุผู้ตายนั่งอยู่บนเก้าอี้ วิถีกระสุนที่พบจึงน่าจะเกิดจากการที่มือปืนอยู่ตรงหน้า และชักปืนออกมาลั่นไกยิง ซึ่งแนวการวิเคราะห์วิถีกระสุนนี้ สอดคล้องกับคำให้การของประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์หลายปาก ซึ่งในจำนวนประจักษ์พยานนั้นเป็นกลุ่มเพื่อนของผู้ตายและมือปืนรายนี้ด้วย ต่างยืนยันตรงกันว่า ขณะเกิดเหตุร.ต.อ.นพฤทธิ์ มีปากเสียงกับผู้ตายแล้วลุกขึ้นยืนกอ่ นจะชักอาวุธปนื ออกมาจากที่เก็บแลว้ หันปากกระบอกปืนใส่ผู้ตายจากนั้นลั่นไกใส่ทันที
�
� � � � � � � � � �การสืบพยานในชั้นศาล กลุ่มเพื่อนผู้ตายเบิกความเป็นพยาน ลำดับเหตุการณ์สอดคล้องกัน ทำนองว่าก่อนเกิดเหตุพยานกับจำเลยและผู้ตายรวมทั้งเพื่อนๆ 8 คนไปนั่งรับประทานอาหารกันที่ร้านไก่ย่างก่อน เมื่อรับประทานเสร็จแล้วจึงชวนกันย้ายไปต่อที่ร้านอาหารที่เกิดเหตุ โดยจำเลยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้ตาย ระหว่างนั้นมีเพื่อนผู้หญิงของผู้ตายพูดแซวผู้ตาย ในทำนองว่าเมื่อคืนไปไหนมา ทำไมกลับดึกถึงเวลา 03.00 น. ปรากฏว่า ร.ต.อ.นพฤทธิ์ ได้ยินจึงถามผู้ตายถึง 3 ครั้งว่า ตกลง...ไปไหนมา จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วชักปืนยิงผู้ตาย 1 นัดก่อนเดินข้ามถนนขึ้นรถหลบหนี ซึ่งศาลได้พิพากษาให้ลงโทษ ร.ต.อ.นพฤทธิ์ในฐานความผิดฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ให้จำคุกเป็นเวลา 15 ปี ฐานพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะปรับ 2,100 บาท แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างจึงลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุกเป็นเวลา 10 ปี ปรับ 1,400 บาท และริบของกลางอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุน
�
�
�
�
�