ข่าว

‘รักพ่อที่สุดในโลก’เสียงเพรียกถึง‘ดาบแชน’

‘รักพ่อที่สุดในโลก’เสียงเพรียกถึง‘ดาบแชน’

22 ต.ค. 2557

‘รักพ่อที่สุดในโลก’ เสียงเพรียกถึง‘ดาบแชน’ : สัญฐิติ ขอจิตต์เมตต์รายงาน

                 "คนเราเกิดมาตายครั้งเดียว อยู่ที่ไหนถ้าจะตายก็ต้องตาย ที่นี่บ้านเรา ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ"

                 เป็นวรรคทองที่ครอบครัว "วรงคไพสิฐ" จำได้ขึ้นใจ เพราะเป็นวาทะที่กลั่นออกมาจากใจของนายตำรวจนาม ดาบแชน หรือ ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ อดีตหัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด "เหยี่ยวดง 60" สังกัดกลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.นราธิวาส

                 เสมือนเป็นการตอกย้ำความรู้สึกที่สะท้อนไปถึงครอบครัวและลูกๆ ที่อยู่ข้างหลัง
 
                 "ไม่ต้องห่วงพ่อ" !!
 
                 ไม่ต้องห่วงในที่นี้ย่อมมีนัยถึงภารกิจเพื่อชาติอันใหญ่ยิ่ง

                 ห้วงอดีตที่ผันผ่าน บุคคลผู้นี้เปรียบประดุจเป็นผู้คลี่ปมของระเบิดลูกแล้วลูกเล่าในพื้นที่เสี่ยงภัยมาตลอดกว่า 10 ปีที่ไฟใต้คุโชน

                 กระทั่ง ชาวบ้านและสังคม "กดไลค์" ชูให้เป็น "วีรบุรุษ" ที่ปกป้องชีวิตของผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง

                 ย้อนวันวานเมื่อ 28 ตุลาคม 2556 คือ วันที่คนไทย ตกอยู่ในภวังค์แห่งอาการ "ช็อก" กับการสูญเสียเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ระเบิด หรือ อีโอดี พร้อมกันถึง 3 นาย เพราะไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่า "ฮีโร่" มือกู้ระเบิดประสบการณ์นับพันๆ ลูกจะต้องมาปิดฉากชีวิตลงในวัยเพียง 50 ปี

                 เหตุการณ์ครั้งนั้น นอกจากสูญเสีย "พี่ใหญ่" ในแวดวง อีโอดี แล้ว ยังมี ร.ต.ต.จรูญ เมฆเรือง วัย 42 ปี และ จ.ส.ต.นิมิตร ดีวงษ์ วัย 32 ปี มือเก็บกู้รุ่นน้องอีก 2 นาย ต้องพลีชีพตามไปกับกับดัก ระเบิด "ดอกสอง" ที่ฝ่ายตรงข้ามวางล่อไว้ บริเวณริมถนนเพชรเกษมสาย 42 ปัตตานี-นราธิวาส บ้านส้มป่อย หมู่ 4 ต.กาเยาะมาตี อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ถือเป็นภารกิจที่ทั้ง 3 นายมิอาจล่วงรู้มาก่อนว่า จะเป็นภารกิจสุดท้ายของหน้าที่ในย่ำเช้าวันนั้น

                 "พี่ยังคิดอยู่เสมอว่า พี่แชนไม่ได้ไปไหน ยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ พี่กับลูกๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของใช้ส่วนตัว  วางไว้ตรงไหน พี่ก็ไม่เปลี่ยนที่ แม้กระทั่งไม้แขวนชุดอีโอดี ริมระเบียงหน้าบ้าน ก็ให้มันอยู่ที่เดิมที่เคยอยู่ คนอื่นไม่รู้ แต่พี่อยากให้เป็นแบบนี้ รู้สึกอบอุ่นที่ได้เก็บสิ่งเดิมๆ ไว้ และรู้ว่าพี่แชนยังคงมาหาบ่อยๆ เพราะเขาห่วงลูกอีก 2 คนคือ น้องปอนด์กับน้องปืนมากๆ" 

                 นันทวรรณ วรงคไพสิฐ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านตอหลัง ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส วัย 51 ปี ภรรยาดาบแชน เล่าถึงชีวิตครอบครัวในวันที่ไร้ซึ่งเสาหลักของบ้านด้วยเสียงสั่นเครือ 

                 เพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมงานหลายคนพยายามปลอบใจว่า เวลาผ่านไปจะทำให้ลืม แต่สำหรับเธอแล้วไม่ใช่ เพราะยิ่งนานยิ่งคิดถึง

                 "เวลานอนกลางคืนเคยหนุนแขนพี่แชน พอไม่มีเขาก็ว้าเหว่ ไม่เคยคิดว่าจะไปจากเรา"

                 ดาบแชน ในห้วงคิดคำนึงของ นันทวรรณ ศรีภรรยาที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ยังคงเป็นฮีโร่ในดวงใจเสมอ แม้ว่าวันนี้เธอต้องอยู่ลำพังกับลูกๆ เพียง 3 คน

                 นันทวรรณ จำได้ว่าฮีโร่ของเธอเคยให้สัมภาษณ์นักข่าวเกี่ยวกับงานของเขาว่า "ระเบิดไม่ได้มีไว้ให้กู้ แต่เลือกที่จะกู้ เพราะมันมีลายเซ็นว่าใครเป็นคนทำ ถ้าทำลายหมดก็จะสาวไปไม่ถึงคนร้าย" แต่ประโยคเหล่านี้ทำให้เธอกังวล และพยายามขอร้องเขาหลายครั้งว่า ให้ถอยหลังมาเป็นครูให้น้องๆ ได้แล้ว แต่ดาบแชนก็ยังยืนกรานที่จะทำเอง

                 "พี่แชนเป็นคนเก่ง แม้เราจะมั่นใจในความเก่ง แต่ก็เป็นห่วง"

                 เหล่านี้ล้วนเป็นความทรงจำที่ นันทวรรณ ภาคภูมิใจทุกครั้งที่พูดถึงผลงานของสามี แม้ว่าน้ำเสียงจะสั่นเครือเป็นบางช่วง แต่สีหน้ากลับเจือไปด้วยความเปี่ยมสุขและความรักที่มีต่อหัวหน้าครอบครัว

                 วงสนทนาหลายชั่วโมงในวันนั้น ทีมข่าว "คม ชัด ลึก" เลือกรำลึกอดีต ณ บ้านสไตล์รีสอร์ท ก่อสร้างด้วยไอเดียของดาบแชนล้วนๆ ด้วยไม้ตำเสาทั้งหลัง ท่ามกลางสวนลองกองที่โอบล้อมในพื้นที่ ต.บางปอ อ.เมืองนราธิวาส

                 ทีมข่าวจับอารมณ์ได้ว่า ความรู้สึกต่างๆ ของนันทวรรณ และลูกๆ คือ น้องปอนด์ หรือ น.ส.พัชรนันท์ วัย 26 ปี พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ โรงพยาบาลระแงะ กับ น้องปืน หรือ นายเชาวนันท์ วัย 20 ปี นักศึกษาปีที่ 1 คณะสื่อสารมวลชนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย จ.สงขลา คือความภาคภูมิใจในตัวพ่อ 

                 ขณะที่ริมระเบียงหน้าบ้าน มีเก้าอี้ไม้เอน ใกล้ๆ กันมีวิทยุสื่อสารและรูปถ่าย "น้องปอนด์" ลูกสาวคนโตที่กำลังหอมแก้มพ่อแชน ใต้ภาพมีข้อความว่า "รักพ่อที่สุดในโลก"

                 นันทวรรณ ชี้ให้ดูพลางบอกว่า ตรงนี้คือมุมที่ดาบแชนชอบมาเอนหลัง เวลากลับจากทำงานเหนื่อยๆ ทุกครั้งจะนอนดูทีวีและฟังวิทยุสื่อสารที่ไม่เคยห่างตัว ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่ไม่ได้เปิดฟัง

                 เธอบอกว่า วันนี้ครบรอบ 1 ปีการจากไป แต่ยังรู้สึกอยู่เสมอว่าเขายังอยู่ใกล้ๆ เรา ไม่ได้ไปไหน เพราะติดลูก ลูกก็ติดพ่อ ทุกคนใช้ชีวิตเหมือนปกติที่พ่อเคยอยู่กับเรา ไม่มีใครกลัวเวลาที่มีเสียงหมาหอน กลับรู้สึกดีใจว่าพ่อมาหา และเคยฝันบ่อยๆ ว่าได้กอดพ่อ
 
                 น้องปืน ลูกชายคนเดียวที่ส่อเค้าว่า จะเดินตามรอยพ่อในไม่ช้านี้สะท้อนความในใจว่า พ่อเป็นคนตรง ไม่ชอบคนขัดใจ พ่ออยากให้เป็นตำรวจเหมือนพ่อ หวังไว้มากตั้งแต่ก่อนตาย ทุกคนมองว่าพ่อเป็นคนดุแต่ใจดี มีความรักให้แม่และลูกๆ อย่างล้นเหลือ ชอบบ่นเวลาลูกๆ ขัดใจ ซึ่งแม่ก็จะเป็นกาวใจในบ้านทุกครั้งเวลาเรางอนกัน

                 "ถ้าจบปริญญาตรี จะใช้สิทธิ์ของพ่อ เป็นตำรวจตามที่พ่อตั้งใจไว้ แต่ไม่อยากทำงานนั่งโต๊ะ อยากเป็นอีโอดีเหมือนพ่อ ชอบบู๊ชอบลุย อยากเดินตามรอยพ่อที่ทำทุกอย่าง เพื่อแผ่นดินเกิดจนลมหายใจสุดท้าย"

                 ในทางกลับกัน หลังได้ยินความในใจจากน้องปืน ก็ทำให้นันทวรรณ ผู้เป็นแม่ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนเปรยว่า
 
                 "แล้วแต่เขา ถ้าอยากเป็นอีโอดีเหมือนพ่อ แต่ถามว่าใจพี่รู้สึกยังไง ใจจะขาด กังวลแน่นอน น้องปืนเหมือนพ่อเป๊ะ ไม่อยากห้ามลูก ถ้าได้ทำในสิ่งที่รัก ก็ไม่อยากขัดใจ"

                 ในแง่ความรู้สึกของเพื่อนร่วมเส้นทางอย่าง ด.ต.ศุภกิจ ไชยลาภ อายุ 40 ปี ผบ.หมู่อีโอดี หนึ่งในผู้ที่คลุกคลีกับ 3 วีรบุรุษ ร่วมชะตากรรมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมานับครั้งไม่ถ้วน

                 ด.ต.ศุภกิจ เล่าว่า ในยามที่มีปัญหา พี่แชน ของพวกเขาจะเป็นแกนหลักในการคลี่ปมให้น้องๆ เสมอ ช่วยได้ทุกเรื่อง ทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กได้ในพริบตา และทุกอย่างต้องเป็นไปตามเส้นที่พี่แชนขีดไว้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีเสมอ

                 "ตอนนี้ อีโอดี ทุกคนต้องระมัดระวังในการเข้าที่เกิดเหตุมากขึ้น สูญเสียพี่แชน พี่รูญ และน้องนิมิตร เท่ากับ 3 เสาหลักที่พวกเราต้องปั้นคนเก่าและรุ่นใหม่ให้มีฝีมือเข้ามาทดแทน"

                 ด.ต.ศุภกิจ ย้ำในที่สุดว่า พวกเขาจะใช้บทเรียนครั้งสำคัญนี้เป็นแนวทางที่จะก้าวต่อไปอย่างผู้กล้า บนความหวังที่จะนำสันติสุขกลับคืนสู่ "ปลายด้ามขวาน" ในอีกไม่ช้า

                 อีกอารมณ์หนึ่ง ทีมข่าวยังจับเข่าคุยกับผู้สูญเสียอย่าง นูรไอมิง เจ๊ะเต๊ะ อายุ 27 ปี ที่ต้องดูแลลูกชายคือ ด.ช.นราธร วัย 3 ปี และ ด.ช.ณัฐวัฒน์ วัย 2 ปี เพียงลำพัง ณ บ้านหลังน้อยๆ ในพื้นที่บ้านโคกสยา ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส

                 เป็นการใช้ชีวิตในยามที่ไร้เงา ร.ต.ต.จรูญ เมฆเรือง หรือ "พ่อรูญ" เคียงข้างดุจเดิม
 
                 นูรไอมิง บอกว่า ถึงตอนนี้พยายามจะทำใจกับการสูญเสีย ยังดีที่มีลูก ถ้าไม่มีลูกความรู้สึกคงแย่ไปกว่านี้ ต้องเข้มแข็งเพื่อลูก คิดว่าสามียังอยู่ ทุกเดือนจะมาเข้าฝัน มาเตือนว่าให้ขับรถดีๆ ดูแลลูกให้ดีๆ และมาเข้าฝันแบบไม่ใส่เสื้อ จึงต้องไปซื้อเสื้อทำบุญไปให้

                 "ลูกคนโตจะถามถึงพ่อตลอด เคยเอาชุดอีโอดีของพ่อมาใส่ ใส่หมวกพ่อ บอกว่าจะใส่ชุดเหมือนพ่อรูญ บางครั้งเอารูปพ่อมาหอม แล้วบอกว่าคิดถึง จะไปหาพ่อ หนูก็ต้องพยายามปลอบลูก ทำให้เขาเข้มแข็ง ตอนนี้ต้องใช้เงินของพี่รูญที่ได้มาเลี้ยงลูกให้โตกว่านี้ก่อน ถึงจะหางานทำ เพราะต่อไปต้องใช้เงินส่งให้เรียนอีกเยอะมาก"

                 ในขณะที่ครอบครัว "ดีวงษ์" ผู้เป็นภรรยาของ จ.ส.ต.นิมิตร คือ ฮันยานี หะยีอับดุลรอมัน วัย 28 ปี ก็ยังคงปักหลักทำใจอยู่ที่บ้านยาบีโต๊ะ ต.กะลุวอ อ.เมือง จ.นราธิวาส หลังการจากไปของสามีครบ 1 ปี

                 ความรู้สึกล้วนละม้ายคล้ายกันทั้งสิ้น
 
                 ฮันยานีเล่าว่า ยังคงคิดถึงสามีอยู่ทุกวัน แต่คิดว่าต้องทำใจ เขาจากไปด้วยหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่เพื่อบ้านเมือง และทุกคนภาคภูมิใจ ถือว่าตายในหน้าที่อย่างสมศักดิ์ศรี ถึงจะครบรอบกี่ปีก็ตามแต่ ความรู้สึกก็ไม่ต่างจากวันที่เขายังอยู่

                 ทุกสิ่งยังอยู่ในหัวใจเสมอและตลอดไป !!

-----------------------

(หมายเหตุ : ‘รักพ่อที่สุดในโลก’ เสียงเพรียกถึง‘ดาบแชน’ :   สัญฐิติ ขอจิตต์เมตต์รายงาน)