ข่าว

อุบัติการณ์‘รัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย’

อุบัติการณ์‘รัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย’

17 ต.ค. 2557

อุบัติการณ์‘รัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย’ : โลกมุสลิม โดยศราวุฒิ อารีย์


                นับตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา มีการพูดถึงการกำเนิดของกลุ่มที่เรียกตนเองว่า “รัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย” (ตอนหลังใช้ชื่อเพียง “รัฐอิสลาม” หรือ ไอเอส) ไว้ในหลากหลายแง่มุม ในบทความนี้ผมจึงขอนำเสนอที่มาของกลุ่มไอเอสตามทัศนะของผู้เชี่ยวชาญบางคน ซึ่งอาจมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป

                คนแรกเป็นมุมมองของ จูลี เลเวสก์ (Julie Levesque) นักข่าวและนักวิจัยแห่งศูนย์วิจัยโลกาภิวัตน์ ที่พูดถึงการกำเนิดของกลุ่มไอเอส ว่าเป็น “constructive chaos” หรือ “ความยุ่งเหยิงที่ถูกจัดสร้างขึ้น” เพราะจูลีเชื่อว่าที่มาของกลุ่มไอเอสนั้นมีมหาอำนาจอยู่เบื้องหลัง เป้าหมายคือทำให้ตะวันออกกลางไร้เสถียรภาพและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เกิดความยุ่งเหยิงและความรุนแรง ที่แผ่ขยายจากเลบานอน ปาเลสไตน์ ซีเรีย ไปจนถึงอิรัก อ่าวเปอร์เซีย อิหร่าน ตลอดรวมถึงอัฟกานิสถาน

                จูลีมองว่านับตั้งแต่ชัยชนะในสงครามต่อต้านสหภาพโซเวียตในอัฟกานิสถานเรื่อยมา กลุ่มติดอาวุธต่างๆ ภายใต้ร่มธงของอัลกออิดะห์มักถูกใช้เป็นเครื่องมือของสหรัฐและนาโต้ มีตัวแสดงที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาความขัดแย้งมากมาย ในกรณีของซีเรีย กลุ่มอัลนุสรอ ฟรอนท์ (Al Nusra Front) ที่ต่อสู้กับรัฐบาลอัสซาด และกลุ่มไอเอส ต่างก็เป็นเหมือนพันธมิตรทางทหารของตะวันตก ที่ให้การสนับสนุนและควบคุมการคัดเลือกเหล่าบรรดานักรบ ตลอดจนการฝึกซ้อมในลักษณะกองกำลังกึ่งทหาร

                จูลีเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มไอเอสที่ต้องการสถาปนารัฐอิสลามนั้น สอดรับกับเป้าหมายของสหรัฐที่ต้องการวาด ‘แผนที่’ ตะวันออกกลางใหม่ โดยอิรักอาจต้องฉีกย่อยออกเป็น 3 ส่วนคือ รัฐอิสลามซุนนีย์ สาธารณรัฐอาหรับชีอะห์ และสาธารณรัฐเคอร์ดิสถาน โดยฉากที่จะเกิดขึ้นคือการสนับสนุนทางการเงินและติดอาวุธให้ทุกฝ่าย

                จากนั้นจึงปล่อยให้กลุ่มเหล่านี้ต่อสู้กันเอง เป็นสงครามกลางเมืองที่สหรัฐและนาโต้คอยควบคุมอยู่เบื้องหลัง โดยที่ทั่วโลกถูกทำให้เชื่อหรือเห็นในมิติเดียวว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสงครามกลางเมืองของการปะทะกันระหว่างซุนนีย์-ชีอะห์ที่อาจขยายไปทั่วภูมิภาค (ดูบทความฉบับเต็มได้ใน http://www.globalresearch.ca/us-sponsored-terrorism-in-iraq-and-constructive-chaos-in-the-middle-east/5387653)

                อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญอีกคนหนึ่งอย่าง ฟาริช นูร์ (Farish Noor) จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง ให้ทัศนะว่าการกำเนิดและการขยายตัวอย่างรวดเร็วของกลุ่มไอเอสเกิดจากความล้มเหลวของการสร้างรัฐสมัยใหม่ในตะวันออกกลางที่ดำเนินมากว่ากึ่งศตวรรษ

                เขาอธิบายว่ารัฐอาหรับสมัยใหม่ที่ก่อกำเนิดขึ้นบนฐานแนวคิดชาตินิยมนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 ไม่ประสบความสำเร็จ ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากความพ่ายแพ้ทางการทหารในหลายๆ สมรภูมิ จนสุดท้ายก็กลายเป็นรัฐเผด็จการเสียเป็นส่วนใหญ่ เป็นรัฐตำรวจที่สร้างความคับแค้นใจให้ประชาชนในเมือง เป็นรัฐเผด็จการที่ทำลายความหวังของคนหนุ่มสาว และเป็นรัฐที่คุกคามชนกลุ่มน้อยทางศาสนาและวัฒนธรรม

                ลักษณะเช่นนี้ทำให้รากฐานการปกครองในประเทศอาหรับมีความคลอนแคลนอยู่ก่อนหน้าที่จะเกิดกลุ่มไอเอสแล้ว

                สิ่งที่ทำให้กลุ่มติดอาวุธอย่างไอเอส เติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ได้มาจากเรื่องความเชื่อ หรือความศรัทธาในศาสนา แต่เป็นความล้มเหลวที่โลกอาหรับไม่สามารถสร้างรัฐที่มีประชาธิปไตยแบบตัวแทนได้ ตัวอย่างความล้มเหลวที่เห็นได้ชัดคือกรณีอิรักภายใต้รัฐบาลนูรี อัล-มาลิกี ซึ่งดำเนินนโยบายเลือกปฏิบัติ ทำให้ชาวมุสลิมซุนนีย์ในอิรักรู้สึกถูกกีดกันให้อยู่ชายขอบและเกิดความรู้สึกไม่เชื่อมั่นในรัฐ ส่วนในซีเรียก็มีการเกณฑ์ผู้ที่รู้สึกถูกกีดกันทางนโยบายและถูกรัฐปราบปรามให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธต่างๆ

                กลุ่มไอเอสจึงฉวยโอกาสนี้ 'ขายฝัน' ด้วยการพูดถึงรัฐอุดมคติทางศาสนาที่ข้ามพ้นเขตพรมแดนความเป็นรัฐสมัยใหม่ เป็นการประกอบสร้างจินตนาการจากในอดีตที่โลกมุสลิมภาคภูมิใจ ทำให้คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัฐและไม่รู้สึกว่าตนมีคุณค่าในความเป็นพลเมือง ถูกชักจูงเข้าร่วมเป็นสมาชิกภายใต้เป้าหมายอันเดียวกันคือตั้ง ‘รัฐเคาะลีฟะฮ์’ ที่ยิ่งใหญ่

                ไม่ว่าเราจะเชื่อแบบไหนใน 2 แนวคิดนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือความรุนแรงและสงครามกลางเมือง เป็นสงครามตัวแทนในตะวันออกกลางที่มีมหาอำนาจฝ่ายต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแทรกแซง แต่สิ่งที่น่าหวาดกลัวคือกระแสความเกียจชังระหว่างสำนักคิดซุนนีย์-ชีอะห์ ที่กำลังถูกกระพือไปทั่วตะวันออกกลางและส่วนอื่นๆ ของโลก