
'ฆราวาสธรรม' จากสมเด็จพระสังฆราช
12 ต.ค. 2557
คุยนอกกรอบ : 'ฆราวาสธรรม' จากสมเด็จพระสังฆราช : โดย...มนสิกุล โอวาทเภสัชช์
"ยี่สิบกว่าปีที่เป็นพระเป็นเณรอยู่กับท่าน จะเรียกว่าใกล้ชิด หรือไม่ใกล้ชิดก็สุดแล้วแต่ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทำให้ผม ซึ่งเรียกได้ว่าโง่ๆ พอจะรู้อะไรขึ้นมาบ้าง จากสิ่งที่ท่านสอน ท่านทำให้ดู แนะนำเราในโอกาสต่างๆ จนซึมซาบเข้าสู่นิสัย"
"เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช พยายามสอนให้ชาวบ้านเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรม มันไม่ใช่เรื่องพิเศษ หรือเป็นเรื่องอะไรที่นอกเหนือไปจากชีวิต เพราะคนเราต้องมีธรรมะทั้งนั้น ถ้าไม่มีธรรมะ มันเป็นชีวิตอยู่ไม่ได้ เช่น มันต้องรู้จักทำมาหากิน มีความขยัน มีความหมั่นเพียร รู้จักอดกลั้นความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ชีวิตคงไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่ ทำอย่างไรให้คุณธรรมเหล่านี้ได้รับการเพิ่มพูนพัฒนามากขึ้น เท่านั้นเอง "
รศ.สุเชาวน์ พลอยชุม อาจารย์พิเศษประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ได้นำหลักธรรมจากพระพุทธศาสนาเป็นธงชัยนำหน้าการดำเนินชีวิตยิ่งกว่าสิ่งใด โดยเฉพาะการได้ใกล้ชิดอุปัฏฐากเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มาตลอดชีวิต ตั้งแต่บวชอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์กว่า 20 พรรษาตั้งแต่เป็นเณรน้อยจนกระทั่งเป็นพระภิกษุหนุ่ม แล้วในที่สุดก็ลาสิกขาในวัย 32 ปี หลังจากพบรักจนมีชีวิตคู่ก็ยังมาถวายงานรับใช้เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จนกระทั่งพระองค์ท่านสิ้นพระชนม์เมื่อปีที่แล้ว วันที่ 24 ตุลาคม 2556 ท่ามกลางความโศกเศร้าของประชาชนชาวไทยที่ต้องสูญเสียพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีพระชนมายุยืนนานถึง 100 ปี และอยู่เกื้อกูลชาวไทยและชาวโลกจนถึงพรรษาที่ 80
24 ตุลาคม 2557 ที่ใกล้จะถึงนี้ เป็นวาระครบรอบ 1 ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช 'คุยนอกกรอบ' ชวนอาจารย์สุเชาวน์ มาระลึกถึงพระคุณของพระองค์กัน
อาจารย์สุเชาวน์ เล่าว่า ที่ได้มีโอกาสถวายงานเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็เพราะว่า ตั้งแต่อายุ 13 ปี มีผู้แนะนำมาฝากให้เป็นลูกศิษย์เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ตั้งแต่พ.ศ. 2501 เพื่อเตรียมบวช ตอนนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (สมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อน) ประชวรระยะสุดท้าย ไม่สามารถเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ใครได้ ท่านจึงมอบหมายให้ท่านพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) ซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌาย์บรรพชาเป็นสามเณรให้
"ตอนนั้นผมอยู่ในความปกครองของท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เมื่อบรรพชามาแล้วก็มาอยู่ในความดูแลของท่าน ก็เป็นลูกศิษย์ท่านตั้งแต่นั้นมา เป็นเณรอยู่ 13 ปี จนอายุครบบวช เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็เป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ เพราะตอนที่ผมอายุครบบวช ท่านเจ้าคุณพรหมมุนีก็สิ้นไปก่อนแล้ว (พ.ศ. 2504) ตอนนั้นเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีสมณศักดิ์ทรงเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมวราภรณ์ มาแทนท่านพรหมมุนี ก็อยู่กับท่านจนถึง พ.ศ. 2512 เลยเป็นศิษย์รับใช้ใกล้ชิดท่านมาตลอด จริงๆ ท่านอยู่ในฐานะเสมือนเป็นพ่อของเรา เพราะเราอยู่กับท่านตั้งแต่เด็ก ท่านก็เลี้ยงดูเรามาตลอด รับใช้ท่านเหมือนเป็นลูกศิษย์คนหนึ่ง แต่ในฐานะที่เป็นเณรก็อาจจะได้ปฏิบัติรับใช้ใกล้ชิดท่านมาก ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ พอโตขึ้น ท่านก็เริ่มใช้ในเรื่องเป็นงานเป็นการมากขึ้น ใช้ให้เขียนหนังสือตามคำบอก แล้วท่านก็ตรวจให้ พอโตเป็นพระก็ทำหน้าที่เสมือนเป็นเลขานุการของท่าน จนกระทั่งเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร รวมจังหวัดสมุทรปราการด้วย เราก็เป็นเลขาฯ เจ้าคณะจังหวัด และเจ้าคณะกรุงเทพฯ ไปด้วย พอท่านเลื่อนยศสูงขึ้น เราก็ทำงานรับใช้พระองค์ท่านมากขึ้น"
ความใกล้ชิดนี่เอง ที่ทำให้อาจารย์สุเชาวน์ได้รับธรรมะจากเจ้าพระคุณสมเด็จฯ จากวัตรปฏิบัติของพระองค์ท่านโดยตรง
"สิ่งที่ผมได้จากเจ้าพระคุณสมเด็จฯ คือกิริยาวัตร กลายมาเป็นสิ่งที่เราซึมซาบ อยู่ในความรู้สึกนึกคิด จนเป็นนิสัยของเราไปด้วย ยี่สิบกว่าปีที่เป็นพระเป็นเณรอยู่กับท่าน จะเรียกว่าใกล้ชิด หรือไม่ใกล้ชิดก็สุดแล้วแต่ ท่านทำให้ผม ซึ่งเรียกได้ว่าโง่ๆ พอจะรู้อะไรขึ้นมาบ้าง จากสิ่งที่ท่านสอน ท่านทำให้ดู แนะนำเราในโอกาสต่างๆ จนซึมซาบเข้าสู่นิสัยแล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้ผมเรียนรู้กับท่านจากการทำงาน ท่านสอนวิธีการทำงาน เขียนหนังสือ โต้ตอบจดหมาย สอนวิธีร่างหนังสือในลักษณะต่างๆ ว่า ถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ควรทำอย่างไร ควรจะขึ้นต้นอย่างไร ลงท้ายอย่างไร มีรายละเอียดมากทีเดียว สิ่งที่ศิษย์แต่ละคนได้รับจากพระองค์ท่าน ไม่เหมือนกันนะ บางคนได้รับมาก รับน้อย ก็อยู่ที่การซึมซับของแต่ละคน กิริยามารยาทของพระองค์ท่าน ที่เป็นระเบียบ ทั้งการพูดการกระทำ แม้กระทั่งเวลาเดิน ก็ต้องไม่มีเสียง เวลาลูกศิษย์เดินไปที่พระตำหนักของพระองค์ท่าน ถ้าคนไหนเดินลงส้นเท้าตึงๆ ท่านก็ชี้ไปที่เท้า แสดงว่าไม่ถูกต้อง ไม่เรียบร้อย ต้องเดินไม่มีเสียง เพราะฉะนั้น การเดิน ต้องเดินด้วยปลายเท้า สิ่งเหล่านี้แหละที่เราถูกเตือนถูกสอนให้เป็นประจำทุกวัน กลายเป็นนิสัย กลายเป็นความเคยชิน การกระทำอะไรต่างๆ ต้องอยู่ในความเป็นระเบียบเช่นกัน การเก็บของ การวางของ การใช้ของ คือสิ่งที่ท่านสอนโดยการทำให้ดู บางครั้งเราทำผิดพลาดท่านก็ช่วยชี้แนะ"
ในเรื่องการทำงานของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็มีรายละเอียดที่ทำให้อาจารย์สุเชาวน์นำมาใช้ตลอดชีวิต แม้ว่าหลังจากลาสิกขาไปมีครอบครัวแล้วก็ตาม
"เนื่องจากพระองค์มีระเบียบ ละมุนละม่อม เพราะฉะนั้นเราก็ได้จากการสังเกตพระองค์ท่าน เวลาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ จะทำอะไรสักเรื่อง ท่านต้องศึกษาอย่างละเอียดว่ามีความเป็นมาอย่างไร ครูบาอาจารย์เคยทำไว้อย่างไร มีหลักฐานที่มาที่ไปอย่างไร จึงจะเริ่มพูดเริ่มทำ แม้แต่เรื่องธรรมะ พระองค์ท่านต้องหาที่มาที่ไป ท่านอ่านพระไตรปิฎกอย่างละเอียดทุกวัน จึงได้รู้ว่าเรื่องนี้มาจากส่วนไหน ตอนไหนของพระไตรปิฎก ไม่ใช่พูดเอาเอง คิดเอาเอง นี่คือความเป็นผู้ใฝ่รู้ของพระองค์ท่าน
นอกจากนี้ทรงเป็นผู้รอบคอบ ไม่ทำอะไรแบบสุ่มสี่สุ่มห้า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราได้รับจากพระองค์ท่าน ทุกคนที่ได้อยู่ใกล้ชิดพระองค์ท่านก็จะได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นพระองค์ท่าน เช่นนี้"
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ไม่เพียงทรงเป็นหลักใจให้แก่อาจารย์สุเชาวน์เท่านั้น แต่สำหรับทุกคนที่ได้ใกล้ชิดท่าน หรือได้รับฟังธรรมะจากท่าน แม้แต่อ่านหนังสือของท่าน ก็สามารถนำธรรมมาใช้ในชีวิตได้ทุกแง่มุมทีเดียว
-----------------------------
หลักการครองเรือน

หลังจากที่ รศ.สุเชาวน์ พลอยชุม เรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ก็โปรดให้ไปเรียนต่อที่ประเทศอินเดียอีก 2 ปี กลับมาอาจารย์ได้รับใช้พระองค์ท่านอยู่อีกปีกว่าๆ เกือบสองปีก็ลาสิกขา ตอนจะลาสิกขา อาจารย์เล่าว่า พระองค์ท่านก็ไม่รับสั่งว่าอะไร ให้ตัดสินใจเอาเองว่าจะอยู่หรือจะสึก ท่านไม่ห้าม
"หลังจากสึกแล้วตอนอายุ 32 ปี ก็ยังรู้สึกว่าเป็นลูกศิษย์พระองค์ท่าน ไปเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่ก็ยังมารับใช้งานพระองค์ท่านอยู่ตลอด และนำธรรมะที่ซึมซับจากท่านมาตลอดชีวิตเช่นกัน เพราะการปฏิบัติธรรมในทางพุทธศาสนา ไม่ได้หมายความว่าต้องไปวัดนั่งสมาธิ ไม่จำเป็น เป็นการนำเอาธรรมะมาใช้ในชีวิต แม้ว่าจะเข้าวัดนั่งสมาธิ แต่ไม่ได้นำมาใช้ในชีวิตก็ไม่เรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรม เพราะในชีวิตของแต่ละคน โอกาสที่จะเข้าวัดมีไม่ได้ทุกวัน แต่ธรรมะจำเป็นสำหรับชีวิตทุกวัน ไม่ว่าจะอยู่นอกวัดหรือในวัดมันต้องมีธรรมะ ใช่ไหม ถ้าคนเข้าใจแบบนี้ ก็จะเข้าใจว่า การนำธรรมะมาใช้ในชีวิตไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องยาก ที่สำคัญก็คือ ธรรมะเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิต เพราะธรรมะ คือแนวทางดำเนินชีวิตที่ดี สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นธรรมะทั้งนั้น
ธรรมะ หรือที่เราเรียกว่า คุณธรรม ก็หมายถึงการที่ก่อให้เกิดสิ่งที่ดีๆ ขึ้นในชีวิต มันเป็นเรื่องธรรมชาติของชีวิต เป็นเรื่องที่มีเป็นพื้นฐานของชีวิตอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็คือการกระตุ้นและการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้พัฒนามากขึ้น เจริญมากขึ้น
ยิ่งการครองเรือนก็ยิ่งจำเป็น คนเราจะครองเรือนกันไปได้ก็มาจากเหตุสองอย่าง คือ เหตุจากอดีต ที่เรียกว่า บุพเพสันนิวาส กับเหตุปัจจุบัน คือการอยู่ใกล้ชิดกัน ได้ทำงานร่วมกัน มีมิตรไมตรีต่อกัน มันก็กลายเป็นความคุ้นเคย หรือจะเรียกว่าความรักก็ได้ ผมไม่มีลูก อายุตอนนี้ก็ 69 ปี เกษียณมา 9 ปีแล้ว และผมไม่ใช่คนที่เรียกว่าปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง น่าจะเป็นนักปริยัติมากกว่า เรียนเพื่อสอน"
รศ.สุเชาวน์ รำลึกถึงสิ่งที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มอบให้แก่ชีวิตของท่านอย่างใหญ่หลวงก็คือธรรมโอสถนี่เอง ที่ช่วยให้การครองเรือนของท่านราบรื่น สงบเย็นจนถึงทุกวันนี้แม้ว่าไม่มีทายาทสืบสกุล
-----------------------------
(คุยนอกกรอบ : 'ฆราวาสธรรม' จากสมเด็จพระสังฆราช : โดย...มนสิกุล โอวาทเภสัชช์)