
'เบอร์เสื้อไม่คุ้นตา' ในสนามฟุตบอล
11 ต.ค. 2557
'เบอร์เสื้อไม่คุ้นตา' ในสนามฟุตบอล
ปกติแล้วแฟนบอลจะรู้สึกคุ้นตากับตัวเลขในเรื่อง "เบอร์เสื้อ" ของบรรดานักฟุตบอลในตำแหน่งต่างๆ ตามหมายเลขที่ได้มีการกำหนดกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตดังต่อไปนี้ โดยผู้เล่นทั้ง 11 คนที่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงจะต้องใส่เสื้อเบอร์ 1 ถึง 11 ตามระบบการเล่นแบบ 4-4-2 ซึ่งเป็นแผนยอดนิยมมาตั้งแต่เมื่อยุคสมัยก่อน เริ่มจากผู้เล่นในตำแหน่ง "ผู้รักษาประตู" จะต้องสวมใส่เสื้อเบอร์ 1 ขณะที่เสื้อหมายเลข 2 ถึง 6 ส่วนใหญ่จะเป็นผู้เล่นในตำแหน่ง "กองหลัง" ส่วนเสื้อเบอร์ 7 ถึง 11 จะเป็นของผู้เล่นในตำแหน่ง "กองกลาง" และ "กองหน้า" แต่จะมีการแยกย่อยออกมาในเรื่องของเสื้อเบอร์ 10 ที่จะต้องเป็นของผู้เล่นในตำแหน่ง "กองกลางตัวรุก" หรือที่เรียกกันตามภาษาฝรั่งว่า "เพลย์เมกเกอร์" และปิดท้ายด้วยหมายเลข 9 จะเป็นของผู้เล่นในตำแหน่ง "กองหน้า" เป็นต้น
ทว่าโลกของเกม "ฟุตบอล" ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ 11 นักเตะที่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในยุคสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อเบอร์ 1 ถึง 11 แบบเรียงตามลำดับเหมือนอย่างเมื่อก่อนอีกต่อไป เพราะสามารถเลือกสวมใส่เสื้อตามหมายเลขที่ตัวเองต้องการได้เลย โดยเฉพาะพวก "แข้งดัง" ที่ตัดสินใจเลือกใส่เสื้อหมายเลขต่างๆ ลงสนามโชว์ฝีเท้าในเกมระดับสโมสรและรวมถึงในเกมระดับชาติที่อาจจะดู "แปลกตา" ไปตามเหตุผลส่วนตัวของบรรดานักเตะที่มีชื่อเสียงโด่งดังในแต่ละยุคแต่ละสมัยดังต่อไปนี้
เริ่มจาก มาริโอ บาโลเตลลี กองหน้าทีมชาติอิตาลี เหมือนอย่างตอนสมัยที่ค้าแข้งให้ 3 ทีมยักษ์ใหญ่อย่าง "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน, "เรือใบสีฟ้า" แมนฯ ซิตี และ "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน โดยหัวหอกวัย 24 ปีรายนี้ให้เหตุผลของการตัดสินใจเลือกใส่เสื้อเบอร์นี้มาตลอดเพราะว่า เป็นเลขนำโชคมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักเตะดาวรุ่งของ "งูใหญ่" ซึ่งพวกแข้งเด็กของสโมสรจะถูกกำหนดให้เสื้อหมายเลข 36 ถึงเบอร์ 50 นั่นเอง เพราะเคยใส่เสื้อหมายเลขนี้แล้วสามารถยิงประตูในเกมระดับเยาวชนได้ถึง 4 เกมติดต่อกัน แม้จะไม่ได้เป็นคนเลือกสวมใส่เสื้อหมายเลขนี้ด้วยตัวเองก็ตาม
เนื่องจาก "งูใหญ่" สั่งให้ บาโลเตลลี ใส่เสื้อเบอร์ 45 ลงสนามในช่วงที่เพิ่งแจ้งเกิดบนวงการลูกหนังโลกใหม่ๆ ในช่วงปี 2007 แต่หัวหอกวัย 24 ปีรายนี้กลับคิดเอาเองว่า เมื่อนำเลข 4 มาบวกกับเลข 5 ก็จะได้ผลลัทธ์เท่ากับ 9 ซึ่งเป็นหมายเลขเสื้อของพวกกองหน้าฝีเท้าชั้นยอดมานานแล้ว จึงเหมือนกับได้ใส่เสื้อหมายเลข 9 ของพวกเหล่าดาวยิงระดับโลกมาโดยตลอด ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเอาเป็นเบอร์เสื้อประจำตัวเสียเลย
แต่มีนักฟุตบอลระดับโลกอีกหลายรายที่เคยเลือกใส่เสื้อปักเบอร์ตามตัวเลขปีเกิดของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเพราะหมายเลขประจำของตัวเองมีเจ้าของอยู่แล้ว โดยเฉพาะ บิเซนเต ลิซาราซู อดีตแบ็กซ้ายทีมชาติฝรั่งเศส ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1998 ที่เคยเลือกใส่เสื้อหมายเลข 69 เมื่อตอนสมัยที่ย้ายไปค้าแข้งให้ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค เป็นรอบที่ 2 เมื่อช่วงปี 2005 ซึ่งมีความหมายเกี่ยวข้องกับนักเตะร่างเล็กรายนี้อยู่ถึง 3 อย่างด้วยกัน เนื่องจาก ลิซาราซู เกิดในปี 1969 แถมยังมีความสูง 169 เซนติเมตร และมีน้ำหนัก 69 กิโลกรัมพอดี
หากลองย้อนหลังกลับไปในยุคที่ผู้เล่น 11 ตัวจริงที่ได้ลงสนามจะต้องใส่เสื้อเบอร์แบบเรียงตามลำดับ 1 ถึง 11 จะพบกับ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา เคยแหกธรรมเนียมปฏิบัตินี้ด้วยการให้ ออสซี อาร์ดิเลส ใส่เสื้อหมายเลข 1 ลงสนามในศึกฟุตบอลโลก 1982 เนื่องจาก เซซาร์ หลุยส์ เมนอตติ กุนซือ "ฟ้าขาว" ตัดสินใจเลือกเบอร์เสื้อให้ผู้เล่นแบบเรียงตามตัวอักษรในพยัญชนะภาษาอังกฤษนั่นเอง จึงทำให้ อาร์ดิเลส ที่มีชื่อสกุลขึ้นต้นด้วยตัว "เอ" ได้สวมเสื้อเบอร์ 1 ตามพยัญชนะตัวแรกของภาษาอังกฤษ แม้ว่าเสื้อหมายเลข 1 ควรที่จะต้องเป็นของผู้เล่นในตำแหน่ง "ผู้รักษาประตู" ก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า จึงต้องออกกฎกติกาในช่วงหลังจากนั้นด้วยการออกคำสั่งให้เสื้อเบอร์ 1 ต้องเป็นของผู้รักษาประตูเท่านั้น แต่กลับมี "ผู้รักษาประตู" หลายรายที่ไม่ยอมใส่เสื้อเบอร์ 1 ยืนเฝ้าเสา โดยเฉพาะ ฮอร์เก คัมโปส อดีตนายทวารทีมชาติเม็กซิโก ที่เคยสวมเสื้อหมายเลข 9 ยืนทำหน้าที่ป้องกันประตูในช่วงทศวรรษ 90 แม้ว่าเบอร์ 9 ควรจะเป็นเสื้อของผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าก็ตาม แต่เนื่องจาก คัมโปส เคยเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งด้วยการสวมบทเป็นกองหน้ามาก่อน จึงเลือกที่จะใส่เสื้อหมายเลขนี้ลงสนามในบางครั้ง
ขณะที่ "กังหันสีส้ม" ฮอลแลนด์ ก็เคยแหกธรรมเนียมปฏิบัตินี้ด้วยการให้ "นักเตะเทวดา" โยฮัน ครัฟฟ์ อดีตตำนานลูกหนังโลก ใส่เสื้อเบอร์ 14 ลงเล่นเป็นตัวจริง 11 คนแรกในช่วงปี 1970 เนื่องจาก ครัฟฟ์ รู้สึกถูกโฉลกกับหมายเลขนี้ ทว่า ฟีฟ่า กลับไม่ได้มีการออกกฎบังคับให้ผู้เล่น 11 ตัวจริงจะต้องใส่เสื้อเบอร์ 1 ถึง 11 แต่อย่างใด เพราะการเรียงลำดับหมายเลขเสื้อไปตามผู้เล่นตัวจริงทั้ง 11 คนจะเป็นเรื่องของธรรมเนียมปฏิบัติเท่านั้น
จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้นักฟุตบอลหลายๆ คนตัดสินใจเลือกใส่เสื้อในหมายเลขที่ดู "แปลกตา" มาจนถึงยุคปัจจุบันนี้