ข่าว

จากฆาตกรรม‘คริสตี้’ถึง‘2ฝรั่งนทท.’สะท้อนวิชาสืบสวน

จากฆาตกรรม‘คริสตี้’ถึง‘2ฝรั่งนทท.’สะท้อนวิชาสืบสวน

23 ก.ย. 2557

จากฆาตกรรม‘คริสตี้’ถึง‘2ฝรั่งผู้ดี’ ‘ที่เกิดเหตุ’สะท้อนวิชาสืบสวน : วิศิษฎ์ ชวนพิพัฒน์พงศ์รายงาน

               ผ่านมาร่วมสัปดาห์แล้ว แต่คดีสังหาร น.ส.ฮันนา วิกตอเรีย อายุ 24 ปี และนายเดวิด วิลเลียม อายุ 24 ปี สองหนุ่มสาวชาวอังกฤษ ก็ยังคงไร้เบาะแสสำคัญที่จะสืบสาวไปถึงตัวคนร้ายที่ก่อคดีนี้


               ทั้ง "ปิดเกาะ-ปูพรม-เหวี่ยงแห-ไล่ล่า" หาผู้ต้องสงสัย รวมทั้งบุคคลใกล้ชิด รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 13 คน ไปสอบสวน พร้อมเก็บตัวอย่าง "ดีเอ็นเอ" ไปตรวจสอบแล้ว แต่ผลตรวจก็ยืนยันว่า ไม่ตรงกับหลักฐานดีเอ็นเอของ "บุคคล 2 คน" ที่ตรวจพบในร่างผู้ตาย

               อีกช่องทางสำคัญที่ตำรวจใช้คลำหาคนร้าย คือ "ภาพวงจรปิด" ผู้ต้องสงสัย ซึ่งในช่วงแรกคาดกันว่า มีรูปพรรณสัณฐานใกล้เคียงกับเพื่อนชาวต่างชาติของนายเดวิด แต่เมื่อนำดีเอ็นเอไปตรวจเปรียบเทียบแล้ว ผลตรวจออกมาไม่ตรงกัน จึงต้องปล่อยตัวกลับประเทศไป

               จะเห็นได้ว่า ตำรวจให้ความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการตรวจ "ดีเอ็นเอ" กับการหา "ผู้ต้องสงสัย" ที่อยู่ในรัศมีใกล้กับจุดที่เกิดเหตุมาสอบสวนและเก็บดีเอ็นเอไปตรวจเปรียบเทียบ

               ดูเหมือนว่า รูปแบบและวิธีการสืบสวนลักษณะนี้จะไม่ต่างจากการสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมนักศึกษาสาวชาวอังกฤษในห้องพักเกสต์เฮ้าส์ที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อ 14 ปีก่อนซึ่งทุกวันนี้คนร้ายยังคงลอยนวล

               "คริสตี้ ซาร่า โจนส์" นักศึกษาสาววัย 24 ปี ถูกพบเป็นศพถูกข่มขืนและฆ่ารัดคออย่างโหดเหี้ยม ในห้องพักอารีย์เกสต์เฮ้าส์ ถนนมูลเมือง ซอย 6 อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 10 สิงหาคม 2543

               แรกเริ่มตำรวจพุ่งเป้าไปที่คนใกล้ตัว จึงเชิญผู้ต้องสงสัยทั้งคนไทย กะเหรี่ยง และต่างชาติ ไปซักถาม การร้องขอความเห็นธรรมเมื่อได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา คือสิ่งยืนยันว่า พวกเขาทนไม่ไหวกับวิธีการของตำรวจ

               ผู้ต้องสงสัยรายแล้วรายเล่าที่ตำรวจเชิญตัวไป แต่สุดท้ายก็ไร้วี่แวว กระทั่งกลับมาจบลงที่อดีตผู้จัดการเกสต์เฮ้าส์ ซึ่งมีประวัติไม่ค่อยสู้ดีนักในเรื่องเกี่ยวกับทางเพศ

               ตำรวจอาศัย "พยานแวดล้อม" หลายคนที่ยืนยันตรงกันจนนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับ แจ้งข้อหาและสรุปสำนวนเสนอสั่งฟ้อง

               ทว่า อัยการจังหวัดเชียงใหม่พิจารณาสำนวนการสอบสวนแล้ว มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเนื่องจากพยานบุคคลไม่น่าเชื่อถือ ซ้ำหลักฐานทางวิทยาศาสตร์คือผลตรวจดีเอ็นเอไม่ตรงกับที่พบในศพ

               ต่อมาภายหลังมีผลตรวจที่ทางอังกฤษให้ความช่วยเหลือไทยพบว่า ตัวอย่างผิวหนังและน้ำอสุจิในที่เกิดเหตุยืนยันว่า คนร้ายเป็นชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ใช่ชาวยุโรป

               นับจากนั้นมาญาติผู้ตาย รวมทั้งทางการอังกฤษ ได้ทวงถามความคืบหน้าคดีนี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่คดีนี้ก็ค่อยๆ จางหายไปกับกาลเวลา ขณะที่คดีนั้นได้โอนสำนวนไปอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งมีทั้งการตั้งรางวัลนำจับสำหรับผู้แจ้งเบาะแส มีทั้งการเชิญตัวผู้เข้าข่ายต้องสงสัยมาสอบสวนและเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอไปตรวจเปรียบเทียบ มากมายร่วม 2,000 คน แต่ก็ยังไม่เฉียดแม้แต่เงาของคนร้าย

               กระทั่งมาเกิดเหตุซ้ำรอยกับสองหนุ่มสาวชาวอังกฤษบนเกาะเต่า สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของไทยในครั้งนี้ ตำรวจก็ยังคงให้ความสำคัญกับ "ดีเอ็นเอ" ทั้งๆ ที่หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ชิ้นนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ "สถานที่เกิดเหตุ" เท่านั้น

               แหล่งข่าวนายตำรวจยศพันตำรวจโท ซึ่งผ่านงานสืบสวนคลี่คลายคดีสำคัญๆ ระดับประเทศ บอกว่า การจะคลี่คลายคดีใดๆ ก็ตาม ต้องเริ่มต้นจาก "สถานที่เกิดเหตุ"

               เขาบอกว่า ถ้าตั้งต้นถูก โอกาสคลี่คลายคดีก็จะสูงขึ้น แต่ถ้าตั้งต้นผิด นอกจากคลี่คลายคดีไม่ได้แล้ว ยังจะสร้างความเสียหายตามมา ดังนั้นการเก็บหลักฐานจากที่เกิดเหตุ หรือที่ภาษาการสืบสวนเรียกว่า "การแช่แข็งที่เกิดเหตุ" จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

               ทว่า ในการเก็บหลักฐานจากที่เกิดเหตุของตำรวจทุกวันนี้ยังไม่เป็นไปตามมาตรฐาน อย่างเช่นในคดีฆาตกรรมสองนักท่องเที่ยวอังกฤษนั้น ก็ "ปิดที่เกิดเหตุ" เพื่อเก็บหลักฐานในระยะเวลาสั้น และการกันพื้นที่เกิดเหตุก็แคบเกินไป

               ที่สำคัญหากเก็บหลักฐานถูกต้องตามหลักการแล้ว คงไม่จำเป็นต้องมีนายตำรวจระดับสูงลงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุซ้ำสอง และหากเก็บหลักฐานจากที่เกิดเหตุถูกต้องตามหลักการแล้ว จะสามารถรื้อฟื้นสถานที่เกิดเหตุมาตรวจสอบกันใหม่ได้

               แต่ถ้าหากเริ่มต้นเก็บหลักฐานกันแบบไม่ถูกต้องตามหลักการแล้ว ต่อให้มีการจำลองสถานที่เกิดเหตุใหม่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะหลักฐานถูก "ปนเปื้อน"

               หลักฐานที่ถูกปนเปื้อนนั้น ส่งผลเสียต่อรูปคดี เพราะทำให้เสี่ยงต่อการจับคนร้ายผิดตัว หรือที่เรียกติดปากกันว่า "จับแพะ" นอกจากนั้นหากจับผู้ต้องหาที่ก่อเหตุมาได้ก็อาจมีการใช้ "หลักฐานปนเปื้อน" นี่เป็นข้อหักล้างเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลได้

               สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายในที่เกิดเหตุนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายประการ ซึ่งจากเอกสารการตรวจที่เกิดเหตุและประสบการณ์ของตำรวจผู้ปฏิบัติใน "หน้างาน" นั้น สามารถประมวลได้ ดังนี้

               1.ไทยมุง 2.คนร้ายจงใจทำให้ที่เกิดเหตุเปลี่ยนแปลง 3.ผู้เสียหายจงใจทำให้ที่เกิดเหตุเสียหายเพื่อเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในคดี เช่น คดีที่มีผลประโยชน์เกี่ยวกับประกันชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้อง

               4.สภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ดิน ฟ้า อากาศ และสารเคมี 5.เจ้าหน้าที่มูลนิธิ และสื่อมวลชน เข้าไปในพื้นที่เกิดเหตุ 6.ตำรวจฝ่ายสืบสวน รวมทั้งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

               7.การเร่งรัดคดีจากการควบคุมสั่งการจากผู้บังคับบัญชาจนก่อให้เกิดแรงกดดันในการปฏิบัติงาน และ 8.การขาดความรู้ความเข้าใจในการเก็บหลักฐานที่ถูกต้อง

               นายตำรวจคนเดิม ระบุว่า ถึงที่เกิดเหตุจะถูกเจือปนไป แต่ก็ยังมีการสืบสวนด้วยวิธีการอื่นๆ อีก เช่น การสืบสวนจากพฤติกรรมคนร้ายที่สามารถนำมาประกอบได้ แต่ก็จะมีความยุ่งยาก สลับซับซ้อนมากกว่าการสืบจากที่เกิดเหตุ

               เขาบอกว่า การเก็บหลักฐานจาก "สถานที่เกิดเหตุ" นั้นเป็นสิ่งบ่งชี้ถึง "มาตรฐาน" และ "ความน่าเชื่อ" ในการทำงานของตำรวจไทย ที่สำคัญคือ การนำไปสู่การจับกุม "คนร้ายตัวจริง" ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการฝึกอบรมให้ความรู้กันมาอย่างต่อเนื่องว่า สิ่งที่ถูกต้องในการตรวจที่เกิดเหตุควรทำอย่างไร แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติแล้ว หลักการก็ยังคงเป็นแค่ตัวหนังสือที่นอนแน่นิ่งอยู่ในตำรา

               เขาทิ้งท้ายว่า จากบทเรียนการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ จึงทำให้เกิดคำถามว่า ในกระบวนการยุติธรรมไทยที่มักอ้างถึงพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จริงๆ แล้วเป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงแล้วหรือไม่

..................................

(หมายเหตุ : จากฆาตกรรม‘คริสตี้’ถึง‘2ฝรั่งผู้ดี’ ‘ที่เกิดเหตุ’สะท้อนวิชาสืบสวน :  วิศิษฎ์ ชวนพิพัฒน์พงศ์รายงาน)