ข่าว

กระบะซิ่งเสียหลักพุ่งชนพ่อค้าดับอนาถ!

กระบะซิ่งเสียหลักพุ่งชนพ่อค้าดับอนาถ!

20 ก.ย. 2557

กระบะซิ่งเสียหลักพุ่งชนพ่อค้าร้านสเต็กดับอนาถ อีกราย!สาวใหญ่ขี่จยย.ไปหาเพื่อนถูกขว้างก้อนหินใส่หน้าได้รับบาดเจ็บ

 
                    เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 20 กันยายน พ.ต.ท.กฤษ สถานสุข พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สน.บางบอน รับแจ้งเหตุรถกระบะพุ่งชนอาคารพาณิชย์มีผู้บาดเจ็บหลายราย บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 1305 - 1309 ซ.เอกชัย119 ปากทางเข้าวัดบางบอน ซ.เอกชัย 119 ถ.เอกชัย แขวงและเขตบางบอน จึงรายงาน พ.ต.อ.พิษณุ พรานพนัส ผกก.สน.บางบอน ก่อนรุดไปตรวจสอบเหตุ พร้อมแพทย์นิติเวชรพ.ศิริราช เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู
 
                    ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น จำนวน 5 คูหา ประกอบกิจการร้านอาหารชื่อร้าน สเต็กลุงใหญ่ บริเวณหน้าร้าน ซึ่งตั้งเลขที่ 1307 เจ้าหน้าที่พบรถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่นยาริส สีขาว หมายเลขทะเบียน ฎบ-3084 กทม. สภาพรถด้านหน้าเสียหายยับเยิน อีกทั้งในที่เกิดเหตุพบข้าวของจำพวก โต๊ะ จาน ชาม ร่ม กระจัดกระจายเป็นทาง ห่างออกไป 2 คูหาเลขที่ 1309 พบรถกระบะ เชฟโรเร็ต สีขาว รุ่นโคโรราโด้ ทะเบียน ฒฒ-7108 กทม.ลักษณะแต่งซิ่ง สภาพตัวรถหักครึ่งท่อน พลิกคว่ำตะแคงข้างขวาเสียหายยับเยิน ภายในรถพบผู้บาดเจ็บสองราย คือน.ส.น้ำผึ้ง ใจเสงี่ยม อายุ 22 ปี และนายธงชัย ชื่นชัยแสงสุริยะ อายุ 19 ปี เจ้าหน้าที่นำตัวส่งรพ.บางประกอก 8 นอกจากนี้ด้านหน้ารถกระบะดังกล่าว พบบาดเจ็บชื่อนายภานุทัต ศักดิ์สิทธิพันธ์ อายุ 42 ปี เจ้าของร้านสเต็กลุงใหญ่ สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์สีน้ำเงินมีบาดแผลที่บริเวณหน้าอก และแขนขาซ้ายหัก ซึ่งต่อมาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ใกล้กันพบด.ญ.นราศิริ ศักดิ์สืบพันธ์ อายุ 5 ขวบ ลูกสาวได้รับบาดเจ็บสาหัส นำส่งรพ.บางประกอก 9 นอกจากนี้ยังพบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น เวฟ สีขาวดำ ทะเบียนป้ายแดง 241 หาดใหญ่ที่จอดอยู่หน้าร้านได้รับความเสียหาย
 
                    จากการสอบถามน.ส.รัตนา ตรีนนท์ อายุ 31 ปี เจ้าของรถรถจักรยานยนต์ที่เสียหาย เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุได้ขี่รถจยย.คันดังกล่าวมาสั่งอาหารกลับบ้านเนื่องจากเป็นช่วงเวลาร้านใกล้ปิดโดยตนนั่งอยู่ภายในร้าน ซึ่งก่อนเกิดเหตุผู้ตายและลูกสาวกำลังทะยอยเก็บของหน้าร้าน ประจวบกับได้มีรถกระบะคันดังกล่าววิ่งมาด้วยความเร็วและพุ่งชนรถยนต์ยาริสที่จอดอยู่หน้าร้านซึ่งหลังจากนั้นรถกระบะก็ได้เหินไปชนผู้ตายและลูกสาว
 
                    ขณะที่ด้านพ.ต.ท.กฤษ กล่าวว่า หลังจากนี้จะทำการสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์อย่างละเอียด ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ใครคือผู้ขับขี่รถกระบะดังกล่าว ทั้งนี้ จากการสอบปากคำชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เบื้องต้นเล่าก่อนเกิดเหตุได้มีกลุ่มรถกระบะได้ขับแข่งตีคู่กันมาตั้งแต่แยกบางบอน 4 ก่อนที่รถกระบะคันดังกล่าวจะเสียหลักพุ่งชนจนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าว
 
                    อย่างไรก็ตามจะทำการสอบปากคำผู้บาดเจ็บทั้งหมดและตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่อยู่ในละแวกเกิดเหตุ เพื่อหาว่าใครคือผู้ขับขี่ ก่อนที่จะแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียทรัพย์สินและทำให้มีผู้เสียชีวิตต่อไป
 
 
แพร่ - สาวใหญ่ขี่มอไซด์ไปหาเพื่อนถูกขว้างก้อนหินใส่หน้าได้รับบาดเจ็บ
 
 
                    เมื่อเวลา 22.00 น.วันที่ 19 ก.ย.57 นายชาญ จักรจาย สารวัตรกำนัน ต.นาจักร อ.เมือง จ.แพร่ ได้รับแจ้งจากลูกบ้านว่า มีชาวบ้านได้บาดเจ็บถูกก้อนหินขว้างเข้าที่บริเวณใบหน้า และมีอาการมึนงง ได้ขอความช่วยเหลือไปยัง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่เพื่อนำส่งโรงพยาบาลแพร่ โดยผู้ได้รับบาดเจ็บรอความช่วยเหลืออยู่บริเวณ ใกล้ท่าอากาศยานแพร่ หมู่ 9 ต.นาจักร อ.เมือง จ.แพร่ จึงได้ประสานกับ ร.ต.ต.นคร เวียงนาค รอง สว.ป.สภ.เมืองแพร่ พร้อมกับ รถกูภัยแพร่ เดินทางไปที่เกิดเหตุ
 
                    ที่เกิดเหตุ พบ นางพัชราลัย ภูสุวรรณ อุย 44 ปี บ้านเลขที่ 70 หมู่ 4 ต.บ้านกาศ อ.สูงเม่น จ.แพร่ นั่งรอความช่วยเหลือข้างจักรยานยนต์ของตนเอง ในอาการมึนงงและเอามือกุมหน้าอยู่ตลอดเวลา หน่วยกู้ภัยแพร่ ได้นำตัวส่งโรงพยาบาล ซึ่งเบื้องต้นใบหน้ามีบาดแผลฉีกขาด ดั้งจมูกมีรอยฟกช้ำ ซึ่งต้องดูอาการว่าดั้งจมูกหักหรือไม่
 
                    นางพัขราลัย ให้การว่า ได้เดินทางจาก ต.บ้านกาศ อ.สูงเม่น จ.แพร่ ได้ขี่จักรยานยนต์ไปหาเพื่อนในเขต ต.ในเวียง อ.เมือง จ.แพร่ พอเดินทางมาถึงบริเวณกาดแม่คำแป๋ หมู่ 8 ต.นาจักร อ.เมือง จ.แพร่ ได้ถูกก้อนหินขว้างมาโดนบริเวณใบหน้าอย่างจัง จนรู้เจ็บและมึนงง แต่ก็พยายามขี่ประคับประคองเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแพร่ จนกระทั่งไปถึงบริเวณหน้าท่าอากาศยานแพร่ รู้สึกขี่รถไม่ไหวแล้วจึงได้จอดแล้วขอความช่วยเหลือกับชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งขณะเกิดเหตุ นางพัชราวลัย รับว่าไม่ได้สวมหมวกกันน็อก ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ลงพื้นที่เกิดเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้งหนึ่ง