
เสื้อเปื้อนเลือดมัดฆาตกร ฆ่าปาดคอผู้ช่วยพยาบาล
31 ส.ค. 2557
เสื้อเปื้อนเลือดมัดฆาตกร ฆ่าปาดคอผู้ช่วยพยาบาล : คลี่ปมปริศนา CSI THAILAND : โดย...ทีมข่าวอาชญากรรม
"คราบเลือดที่เปื้อนเสื้อตัวดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่ยืนยันได้ว่า นายชัยรัตน์เกี่ยวข้องกับการตายของนางฑัณฐภา ตำรวจจึงสอบเค้นกระทั่งนายชัยรัตน์ยอมเปิดปากสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือสังหารญาติของตัวเอง"
ทุกค่ำคืนที่หมู่ 12 ต.ท่าข้าม อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี จะค่อนข้างเงียบเหงา ซึ่งไม่แตกต่างจากสังคมชนบททั่วไป ที่ผู้คนมักเข้านอนกันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ แต่เมื่อกลางดึกวันที่ 18 มิถุนายน 2554 บรรยากาศที่เคยเงียบสงัดของหมู่บ้านแห่งนี้ไม่เป็นเหมือนเคย เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญขึ้นที่บ้านเลขที่ 17/2 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายสิงห์บุรี-ค่ายบางระจัน
ค่ำคืนนั้น ร.ต.อ.รุ่งเกียรติ นาไทย พนักงานสอบสวน สภ.ค่ายบางระจัน เข้าเวรทำหน้าที่ร้อยเวรสอบสวน รับแจ้งเหตุฆ่ากันตายภายในหมู่บ้านสาธุ จึงประสานตำรวจพิสูจน์หลักฐาน และแพทย์นิติเวช เข้าตรวจสอบ พบนางฑัณฐภา ใจธรรม วัย 45 ปี เสียชีวิตอยู่ภายในบ้านพัก ซึ่งเป็นตึกแถว 2 ชั้น
ศพนางฑัณฐภานอนหงายจมกองเลือดอยู่บริเวณชั้นล่างของบ้าน โดยผู้ตายสวมชุดนอนลายสกอตสีน้ำตาล กระดุมเสื้อถูกปลดออกในสภาพเปลือยอก ไม่สวมเสื้อชั้นใน บริเวณลำคอถูกเชือดด้วยของมีคมเป็นแผลเหวอะหวะยาวประมาณ 20 เซนติเมตร กว้าง 3 เซนติเมตร โดยหลอดลมถูกตัดขาด และบริเวณแขนพับด้านขวาถูกเชือดด้วยของมีคมเป็นแผลฉกรรจ์ยาว 15 เซนติเมตร กว้าง 2 เมตร นพ.พัถนกิจ จรรณภัทร์ แพทย์เวร รพ.ค่ายบางระจัน ซึ่งร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุ ได้ชันสูตรพลิกศพพบเสียชีวิตเพราะหลอดลมถูกของมีคมเชือดขาด
ขณะที่ตรวจสอบภายในบ้านพบสร้อยคอหนัก 2 สลึง เงินสด 2 หมื่นบาท และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของผู้ตายหายไป
นายไกรศร ใจธรรม สามีผู้ตาย ให้การว่า ภรรยาเป็นผู้ช่วยพยาบาลแผนกผ่าตัด โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี ก่อนเกิดเหตุออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว แต่ภรรยาขอกลับเข้าบ้านก่อนพร้อมกับลูกชาย เนื่องจากนายไกรศรต้องอยู่ช่วยงานร้านอาหารซึ่งเป็นญาติ
"ผมทำงานอยู่ที่มักกะสัน กรุงเทพมหานคร ส่วนภรรยาอยู่กับลูกชายที่บ้านหลังเกิดเหตุ ซึ่งจะได้เจอกันเดือนละครั้ง วันเกิดเหตุกลับมาบ้านและชวนกันไปรับประทานอาหารที่ร้าน ซึ่งเป็นของญาติในตลาด ไม่ห่างจากบ้านหลังเกิดเหตุมากนัก โดยใช้รถจักรยานยนต์คนละคัน กระทั่งรับประทานอาหารเสร็จภรรยาขอกลับบ้านพักก่อนพร้อมกับลูกชาย ส่วนผมต้องอยู่ช่วยงานญาติที่ร้าน เนื่องจากมีลูกค้าอยู่หลายคน" นายไกรศร บอกตำรวจ
กระทั่งเวลาประมาณ 22.30 น. นายไกรศรเดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางได้โทรศัพท์เข้าบ้านเพื่อให้ภรรยาเปิดประตูบ้านให้ แต่กลับไม่มีใครรับสาย จึงขี่รถจักรยานยนต์เข้าทางสวนหลังบ้าน เนื่องจากประตูด้านหน้าล็อก เมื่ออ้อมเข้าทางหลังบ้านพบว่าประตูด้านหลังบ้านเปิด ภายในบ้านเปิดไฟทิ้งไว้ เมื่อเข้าไปดูพบว่าภรรยาถูกทำร้ายสาหัสและพยายามจะบอกว่าคนร้ายเป็นใคร แต่ทนอาการบาดเจ็บจากบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตไปก่อน
บ้านพักหลังเกิดเหตุเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว แต่ไม่มีใครในละแวกนั้นได้ยินเสียงสุนัขเห่า ตำรวจจึงเชื่อว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนรู้จักและอยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุมากนัก ขณะลงมือก่อเหตุอาจผ่านมาเห็นผู้ตายอยู่ในบ้านพักคนเดียวจึงตัดสินใจลงมือ
ข้อสันนิษฐานดังกล่าวสอดรับกับคำให้การของนายไกรศร ที่ระบุว่า สงสัยในพฤติการณ์ของญาติรายหนึ่ง ที่มีประวัติต้องคดียาเสพติด และทุกครั้งที่เมาสุรามักมาที่บ้านเพื่อขอยืมเงินผู้ตายอยู่เป็นประจำ
หลังได้เบาะแสตำรวจจึงเดินทางไปยังบ้านพักของนายชัยรัตน์ มารศรี วัย 28 ปี ญาติของผู้ตายที่นายไกรศรระบุถึง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านหลังเกิดเหตุไปเพียง 20 เมตร ตำรวจตรวจค้นบ้านพักหลังนี้อย่างละเอียด พบเสื้อของนายชัยรัตน์มีรอยเปื้อนคราบเลือด 1 ตัว และโน้ตบุ๊กของผู้ตายอีก 1 เครื่อง จึงควบคุมตัวนายชัยรัตน์ไว้ในฐานะผู้ต้องสงสัย และส่งเสื้อเปื้อนเลือดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านตรวจสอบดีเอ็นเอ กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ ซึ่งผลปรากฏว่าดีเอ็นเอที่ปรากฏบนเสื้อตัวดังกล่าวตรงกันกับดีเอ็นเอของนางฑัณฐภา ผู้ตาย
คราบเลือดที่เปื้อนเสื้อตัวดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่ยืนยันได้ว่า นายชัยรัตน์เกี่ยวข้องกับการตายของนางฑัณฐภา ตำรวจจึงสอบเค้นกระทั่งนายชัยรัตน์ยอมเปิดปากสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือสังหารญาติของตัวเอง
นายชัยรัตน์ อ้างว่า ในคืนเกิดเหตุดื่มเหล้าขาวหมดไป 3 ขวด เกิดติดลมอยากดื่มสุราต่อแต่เงินหมด จึงเดินทางมายังบ้านของผู้ตายเพื่อขอเงินไปซื้อเหล้าดื่มต่อ เมื่อมาถึงบ้านหลังเกิดเหตุเห็นผู้ตายขี่รถจักรยานยนต์เข้าบ้านพักโดยมีลูกชายซ้อนท้ายมา จึงรอเวลาให้ผู้ตายนำบุตรชายเข้านอนในบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินตามเข้าไปภายในบ้านหลังเกิดเหตุเพื่อเจรจาขอเงินไปซื้อเหล้าดื่มต่อ แต่ผู้ตายไม่ให้ และยังด่าทอ พร้อมกับเดินหนี จึงกระชากเสื้อผู้ตายจนกระดุมหลุด เกิดการยื้อยุดฉุดกระชากกันขึ้น
นายชัยรัตน์จึงใช้ใบเลื่อยตัดเหล็ก ซึ่งเจียรคมเหมือนมีดปาดเข้าที่แขนผู้ตาย 1 ครั้ง ผู้ตายยังคงขัดขืน จึงปาดซ้ำเข้าที่ลำคอ คมของใบเลื่อยปาดหลอดลมผู้ตายจนขาด หลังจากนั้นจึงหยิบเอาทรัพย์สินของผู้ตายติดมือไป โดยใบเลื่อยที่ใช้ก่อเหตุนำไปทิ้งน้ำ
"กินเหล้าขาวหมดไป 3 ขวด เกิดติดลมอยากดื่มต่อ แต่ไม่มีเงิน จึงไปที่บ้านเกิดเหตุเพื่อขอยืมเงินไปซื้อเหล้าดื่มต่อ แต่ผู้ตายไม่ให้ แถมยังด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย และตบหน้าอีก 1 ครั้ง ด้วยความโมโหจึงตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อจนกระดุมเสื้อขาด หลังจากนั้นก็ต่อสู้กัน จึงใช้ใบเลื่อยที่เจียรเป็นใบมีดตวัดไปโดนแขนของผู้ตายจนเป็นแผลฉกรรจ์ หลังจากนั้นใช้ใบมีดตวัดไปโดนที่คอจนล้มลงจมกองเลือดและดึงสร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง ที่คอผู้ตายไปด้วย พร้อมกระเป๋าใส่สตางค์ที่วางไว้บนโต๊ะติดมือมา หนีออกจากบ้านไปที่คลองชลประทานหลังวัดสาธุการาม เพื่อโยนใบเลื่อยทิ้งน้ำ และกลับเข้าบ้าน กำลังจะซักเสื้อเปื้อนเลือด แต่ไม่ทันถูกตำรวจตามมาที่บ้านเสียก่อน" นายชัยรัตน์ สารภาพ
ตำรวจดำเนินคดีนายชัยรัตน์ในข้อหาฆ่าชิงทรัพย์ผู้อื่น โดยมีหลักฐานสำคัญคือทรัพย์สินของผู้ตาย ที่สำคัญคือ เสื้อที่นายชัยรัตน์สวมใส่ขณะลงมือเกิดเหตุ โดยเลือดของนางฑัณฐภากระเด็นติดเสื้อตัวนี้ คราบเลือดที่พบบนเสื้อถูกส่งต่อไปตรวจดีเอ็นเอเทียบกับดีเอ็นเอของผู้ตาย พบว่าตรงกัน กลายเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์สำคัญที่มัดฆาตกรรายนี้จนดิ้นไม่หลุด
------------------------
(เสื้อเปื้อนเลือดมัดฆาตกร ฆ่าปาดคอผู้ช่วยพยาบาล : คลี่ปมปริศนา CSI THAILAND : โดย...ทีมข่าวอาชญากรรม)