ข่าว

รวบคนเฝ้าจุดพักยาเครือข่าย'นายสมร'

รวบคนเฝ้าจุดพักยาเครือข่าย'นายสมร'

15 ส.ค. 2557

ตำรวจภาค1 รวบคนเฝ้าจุดพักยาเครือข่าย 'นายสมร' ยึดของกลางกัญชาอัดแท่ง 300 กิโลกรัม

 
                   15 ส.ค.57 ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค1 เมื่อเวลา 11.30 น. พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รรท.ผบช.ภ.1 พร้อมด้วย พล.ต.ต.คเชนทร์ คชพลายุกต์ รอง ผบช.ภ.1 พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา รอง ผบก.สส.ภ.1 พ.อ.วณัฐ ลักษณสิริ รองเสนาธิการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และพ.ท.ภาวัต อ่อนศรี รองหัวหน้ากองส่งกำลังบำรุงมณฑลทหารบกที่ 13 จ.ลพบุรี ร่วมกันแถลงผลการจับกุมตัวนายอุดม เดชอุดม อายุ 60 ปี ชาว จ.หนองคาย พร้อมของกลางกัญชาอัดแท่ง จำนวน 300 กิโลกรัม พร้อมอุปกรณ์ผลิตกัญชาอัดแท่ง มูลค่า 3 ล้านบาท โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บ้านเลขที่ 25/14-15 ม.4 ต.เขาแหลม อ.ชัยบาดา จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา
 
                   พล.ต.ต.ศรีวราห์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 เม.ย.57 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมนายนิรันด์ โคทังคะ หรือตุ้ม พร้อมของกลางกัญชาอัดแท่ง จำนวน 1 ตัน โดยจับกุมได้ที่พื้นที่ สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ต่อมาวันที่ 29 เม.ย.57 เจ้าหน้าที่สอบสวนขยายผลตรวจค้นโกดังของน.ส.เสาวณี พาหนองแวง ที่อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ตรวจยึดกัญชาเพิ่มเติมอีก จำนวน 5 ตัน จากการสอบสวนทราบว่ากัญชาดังกล่าวเป็นของเครือข่ายค้ายาเสพติดของนายสมร ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง เชื้อสายญวน เจ้าหน้าที่จึงได้สืบสวนขยายผลต่อ จนกระทั่งทราบว่าเครือดังกล่าวได้นำกัญชาและอุปกรณ์ผลิตกัญชาไปซุกซ่อนไว้ที่บ้านเลขที่ 25/14-15 ม.4 ต.เขาแหลม อ.ชัยบาดา จ.ลพบุรี เจ้าหน้าที่จึงได้นำกำลังไปตรวจค้นพบกัญชาจำนวนดังกล่าว โดยมีนายอุดม เป็นผู้ดูแลห้องเช่าดังกล่าว
 
                   จากการสอบสวนนายอุดม ให้การอ้าวว่าตนเป็นเพียงผู้เฝ้าห้องดังกล่าว ซึ่งไม่รู้ว่าของในห่อเป็นอะไร โดยได้รับค่าจ้างในการเฝ้าเดือนละ 5,000 บาท จากนายวิชัย ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง มาแล้วเป็นเวลากว่า 2 เดือน
 
                   ขณะที่พล.ต.ต.ศรีวราห์ กล่าวต่อว่าจากการตรวจสอบประวัติของนายอุดมพบว่า เคยถูกเจ้าหน้าที่ของสน.บางเขน จับกุมในคดีลักษณะเดียวกันมาแล้ว อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าจะทำการขยายผลอย่างละเอียดอีกครั้ง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ก่อนนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
 
 
ทหารร่วมกับ ป.ป.ส.บุกค้นชุมชนเป้าหมาย 7 จุด
 
 
                   เมื่อเวลา 05.00 น.วันที่ 15 สิงหาคม พ.อ.สุวิทย์ เกตุศรี ผู้บังคับการกรมพันทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารจาก พล.ม.1 รอ. พล.ม.2 รอ. พล.ม.3 รอ. พล.ม.29 สุนัขตรวจยาเสพติด กองพันสุนัขทหาร อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) รวมกว่า 300 นาย ระดมพลเพื่อเข้าตรวจค้นชุมชนกลุ่มเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จำนวน 7 แห่งในย่านสีลม สาทร ยานนาวา เจริญกรุง 57 ชุมชนหลังวัดประทุม ชุมชนคลองเตย และชุมชนตรอกจันทร์ โดยเป้าหมายหลักในการตรวจค้นครั้งนี้ ได้แก่ ซอยมหาสิน ถนนริมทางรถไฟสายเก่า แขวงและเขตคลองเตย กทม.
 
                   การตรวจค้นภายในซอยมหาสิน มีเป้าหมายคือนางเบญจมาศ ตุ้มทองคำ อายุ 35 ปี ผู้ต้องสงสัยมีส่วนพัวพันกับยาเสพติดในชุมชน และจากการตรวจค้นบ้านเลขที่ 118 ของนางเบญจมาศ พบอุปกรณ์การเสพยาเสพติดจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ทหารยังได้ตรวจปัสสาวะของนางเบญจมาศ แต่ไม่พบสารเสพติด
 
                   ขณะที่อีกจุดเจ้าหน้าที่ทหารได้ทำการตรวจค้นบ้านเลขที่ 103 ภายในชุมชน ซอยเจริญกรุง 55 เบื้องต้นเจ้าหน้าที่พบ นายทศพร กมลจิตปกรณ์ อายุ 19 ปี พร้อมของกลางเป็นยาไอซ์ จำนวน 2 จี ซุกซ่อนอยู่ภายในโต๊ะเครื่องแป้ง ในห้องนอนซึ่งอยู่บริเวณชั้น3 ของบ้านดังกล่าว ทั้งนี้ นายทศพรให้การปฏิเสธเจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจปัสสาวะ แต่ไม่พบ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวนายทศพร ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ยานนาวา เพื่อทำการสอบสวนก่อนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
 
                   ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปฏิบัติการครั้งนี้เจ้าหน้าที่ทหารยังได้แบ่งชุดตรวจค้นตามพื้นที่ต่างๆ ออกปฏิบัติการพร้อมกันทั้ง 7 จุด ซึ่งไม่ระบุเป้าหมายให้สื่อมวลชนทราบ และกำชับให้เคลื่อนขบวนตามขบวนสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งการปฏิบัติการในครั้งนี้จะมีการสรุปผลปฏิบัติการตรวจค้นที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ในเวลา 09.00 น. อีกครั้ง ซึ่งผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ค้าหรือผู้เสพจะถูกส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยไม่ต้องอบรมหรือถามความสมัครใจในการบำบัดผู้ติดสารเสพติดเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
 
 
จับเครือข่ายยาบ้าเรือนจำบุรีรัมย์  ยึดของกลาง 8.8 หมื่นเม็ด ค่ากว่า 20 ล.
 
 
                   เมื่อเวลา 21.00 น.วันนี้ (14 ส.ค.) ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ นายเสรี ศรีหะไตร ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชัยเดช ปานรักษา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ พ.ต.อ.รวีวรรธน์ เทียนสุวรรณ พ.ต.อ.ประยุทธ โพธิ์แก้วกุล รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผกก.สภ.เมืองบุรีรัมย์ พ.ต.ท.ชัชวาลย์ รัชตะกร ผบ.ร้อย ตชด.216 ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ เจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 3 และเจ้าหน้าที่ทหาร จังหวัดทหารบกบุรีรัมย์ ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหายาเสพติด เครือข่ายเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ผู้ต้องหา 2 คน ได้แก่ นายพงษ์สธร หรือ ต้น อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 84 หมู่ 13 ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ และ นางสาวขวัญฤทัย หรือ มิ่ง อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 166/3 ถ.หน้าสถานี ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ พร้อมของกลางยาบ้า เม็ดสีส้ม จำนวน 87,120 เม็ด และยาบ้า เม็ดสีเขียว จำนวน 880 เม็ด รวมยาบ้าทั้งสิ้น จำนวน 88,000 เม็ด บรรจุในถุงพลาสติกแบบกดปิด-ดึงเปิดสีฟ้า จำนวน 440 ถุง ห่อด้วยกระดาษสาเคลือบไขมันสีน้ำตาล จำนวน 44 มัด พันรอบด้วยเทปกาวสีน้ำตาล และยาไอซ์ ชนิดเกล็ดสีขาว 100 กรัม ห่อด้วยกระดาษสีขาวพันรอบด้วยเทปกาวสีใส กระสอบปุ๋ยสีขาว 1 ใบ พร้อมกับรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นฟิโน่ สีม่วง-ขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 1 คัน รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นฟิโน่ สีม่วง-ดำ หมายเลขทะเบียน คกร 909 บุรีรัมย์ 1 คัน และโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง รวมมูลค่าของกลาง ประมาณ 20 ล้านบาท
 
                   ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) 21 สุรินทร์ , ตชด. 216 ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ได้สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ และตำรวจ สภ.เมืองบุรีรัมย์ หลังได้รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีการส่งมอบยาเสพติด โดยเจ้าหน้าที่อำพรางเป็นคนส่งยาบ้า ที่บริเวณลานจอดรถ ห้างบิ๊กซี สาขาบุรีรัมย์ ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จนกระทั่งบ่ายวันนี้ (14 ส.ค.) ถึงเวลานัดหมาย ได้มีนายพงษ์สธร ขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นฟิโน่ สีม่วง-ขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับออกนำหน้า และนางสาวขวัญฤทัย รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นฟิโน่ สีม่วง-ดำ หมายเลขทะเบียน คกร 909 บุรีรัมย์ ขับตามหลังกันมา พร้อมกับเข้ามาพูดคุยกับสายลับ และเจ้าหน้าที่อำพราง ก่อนที่นายพงษ์สธร ได้ขอให้เจ้าหน้าที่อำพรางให้พาไปรับยาบ้าที่อยู่ในรถยนต์เก๋งของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมที่จอดรถไว้ที่จุดจอดรถ เจ้าหน้าที่อำพรางได้เปิดประตูรถยนต์เก๋ง พร้อมกับให้นายพงษ์สธร รับเอายาบ้าของกลาง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมที่ดักซุ่มอยู่จึงได้แสดงตัวและทำการจับกุมนายพงษ์สธร ได้พร้อมกระสอบบรรจุยาบ้าของกลาง จำนวน 88,000 เม็ด และยาไอซ์ อีก 100 กรัม ค้นตัวพบโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และได้จับกุมนางสาวขวัญฤทัย ขณะกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์จะหลบหนี พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง
 
                   จากการสอบสวน นายพงษ์สธร ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากนายชัยชนะ หรือ โต้ง อาสาวิเศษ ซึ่งเป็นพี่ชาย ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ ว่าจะมีคนเอายาบ้ามาส่งให้ที่ จ.บุรีรัมย์ จึงให้ตนเป็นคนไปรับยาบ้าดังกล่าว โดยพี่ชายได้นำหมายเลขโทรศัพท์ของตนให้กับนายยาว ไม่ทราบชื่อสกุลจริง) หลังจากนั้นตนก็ได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์มือถือกับนายยาวเรื่อยๆ มา จนกระทั่งวันที่ 14 ส.ค. 2557 ตนได้รับการติดต่อให้ไปรับยาบ้าดังกล่าวที่ลานจอดรถ ห้างบิ๊กซี สาขาบุรีรัมย์ เมื่อตนได้รับยาบ้าแล้วจะนำยาบ้าไปเก็บพักไว้ที่เขากระโดง บ้านกระโดง ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เพื่อพี่ชาย  สั่งการอีกครั้งหนึ่ง ว่าจะให้นำไปส่งที่ใด การกระทำครั้งนี้พี่ชายได้ว่าจ้างตนเป็นเงิน 100,000 บาท อีกประมาณ 2-3 วัน พี่ชายจึงจะโอนค่าจ้างให้กับตนโดยผ่านบัญชีธนาคาร โดยได้รับการติดต่อว่าจ้างจากพี่ชายมาแล้ว 2 ครั้ง จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมพร้องของกลางดังกล่าว
 
                   หลังแถลงข่าวเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งให้ พ.ต.ต.ไวพจน์ สุชาครีย์กุล พนักงานสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเบื้องต้นได้ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมตแอเฟตามีน) ไว้ในความครอบครอง เพื่อจำหน่ายโดยผิดกฏหมาย
 
                   ต่อมา ตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ประสานเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ สนธิกำลังร่วมทหาร ตำรวจจู่โจมปิดล้อมตรวจค้นเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ เรือนนอน 3 ห้อง 3/1 พบโทรศัพท์มือถือพร้อมซิมการ์ด และอุปกรณ์ชาร์ต 1 ชุด พร้อมกับเศษกระดาษที่มีหมายเลขโทรศัพท์ พร้อมชื่อ ระบุที่อยู่จาก จ.บึงกาฬ และแขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว จากที่นอนของนักโทษชายชัยชนะ อาสาวิเศษ หลังนายพงษ์สธร ผู้ต้องหาให้การซัดทอดว่าเป็นคนสั่งการซื้อขายยาบ้าดังกล่าว  ซึ่งนายชัยชนะ ยอมรับว่า ได้ใช้โทรศัพท์ดังกล่าวสั่งการซื้อขายยาบ้าจริง โดยสั่งซื้อยาบ้ามาจากประเทศลาว ผ่านทาง จ.บึงกาฬ จึงได้ตรวจยึดและบันทึกไว้เป็นหลักฐาน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป