
ผลดีเอ็นเอเด็กอุ้มบุญ9คนพ่อเดียวกัน
ผลดีเอ็นเอเด็กอุ้มบุญ9คนพ่อเดียวกัน ผู้ช่วยผบ.ตร.เชื่อมีเหตุซ่อนเร้นไม่ปกติ ระบุพบข้อมูลหนุ่มญี่ปุ่นเดินทางเข้า-ออก 3 ประเทศ เล็งตรวจพิสูจน์ความเป็นพ่อ-ลูก
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 สิงหาคม พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร.ได้เรียกประชุมทีมสืบสวนสอบสวนคดีอุ้มบุญ โดยมี พล.ต.ท.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศีวรชาติ ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ต.ชยุต ธนธวีรัชต์ รองผบช.น. พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผกก.ดส. เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตัวแทนจากกรมพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม โดยใช้เวลาในการประชุม กว่า 2 ชั่วโมง
พล.ต.อ.เอก กล่าวภายหลังการประชุมว่า ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มาร่วมทำงานในวันนี้โดยสรุปเบื้องต้น ได้มอบหมายให้พล.ต.ท.ก่อเกียรติ เป็นหัวหน้าชุดในการสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ สำหรับความคืบหน้าจากฝ่ายสืบสวนสอบสวนจากการสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งพี่เลี้ยง แม่อุ้มบุญ ทนายที่ติดต่อประสานงานกับชาวญี่ป่นที่นำน้ำเชื้อมาผสมให้อุ้มบุญ และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตลอดจนบันทึกการเดินทางเข้าออกของชาวญี่ปุ่นและยืนยันว่ามีการนำเด็กออกไปจำนวน 3 ครั้ง การรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดอยู่ระหว่างดำเนินการในการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง ส่วนการพิจารณาว่าใครเกี่ยวข้องใครเข้าข่ายความผิดฐานใดเรื่องไม่ ในเบื้องต้นมีความชัดเจนเฉพาะในส่วนของบุคคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง สถานพยาบาลที่รับดำเนินการเรื่องการผสมเทียม แพทย์ผู้ที่ดำเนินการฉีดน้ำเชื้อเข้าไปในแม่ที่อุ้มบุญจนตั้งครรภ์ หากพบว่าในส่วนไหนเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายก็จะดำเนินการต่อไป
"สิ่งที่เน้นย้ำคณะทำงาน สำคัญที่สุดคือ 1.ต้องช่วยเหลือดูแลคุ้มครองเด็กทารกวัยต่างๆ เบื้องต้นตรวจพบแล้วจำนวน 15 ราย ซึ่งอาจจะมีการตรวจสอบเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ เป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องให้ความคุ้มครอง เด็กเหล่านี้ให้มีความปลอดภัย และ2.ต้องมีกฎหมายมาบังคับใช้ให้เห็นว่าการทำในสิ่งไม่ต้องตามศีลธรรม จรรยาบรรณต่างๆ หลบหลีก อาศัยช่องว่างทางกฎหมายมาประกอบกิจกรรมที่ปรากฎว่ามีผู้ชายอายุเพียง 25 ปีเอาน้ำเชื้อตัวเองมาผสมจนเกิดเด็กมากกมายก่ายกองโดยไม่ได้มีความรักความผูกพันระหว่างพ่อแม่อุ้มบุญซึ่งน่าจะนำไปสู่การเกิดความเสียหายต่อสังคม ขอยืนยันว่าตำรวจจะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดที่จะเกิดขึ้นต่อไป"พล.ต.อ.เอก กล่าว
พล.ต.อ.เอก กล่าวอีกว่า ตอนนี้ได้ประสานทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ทั้งญี่ปุ่น กัมพูชา อินเดีย ที่มีข้อมูลว่า นายชิเกตะ มิตซูโตกิ อายุ 24 ปี มีการเดินทางผ่าน 3 ประเทศ รวมทั้งล่าสุดว่าอยู่ที่มาเก๊า ตอนนี้หวังมากว่านายชิเกตะ จะมาให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ตำรวจได้พิสูจน์ได้ตรวจดีเอ็นเอ เราประสานทุกทางเพื่อให้ได้ตัวนายชิเกตะ ตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อยืนยันความเป็นพ่อเป็นลูกกับเด็กทั้งหมด ยืนยันว่ายังไม่มีการแจ้งข้อหานายชิเกตะแต่อย่างใด และยังไม่รู้ว่านายชิเกตะอยู่ที่ไหน ยังไม่ได้รับการติดต่อ ส่วนการสอบสวนก็สามารถนำแม่อุ้มบุญและพี่เลี้ยงมาสอบไปแล้วประมาณ 7 คน ตอนนี้จากข้อมูลแม่อุ้มบุญทั้งหมดเป็นคนไทย
ด้านพล.ต.ท.จงเจตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้สถานพยาบาลที่ประกอบการผิดแน่นอนเพราะไม่มีใบอนุญาตดำเนินการ ตำรวจก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย ส่วนเรื่องการสืบสวนเจตนาของการทำเด็กมากมายต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ระหว่างนี้หากมีส่วนไหนเข้าข่ายความผิดก็จะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกระบวนการ สำหรับเด็กที่แจ้งชื่อนายชิเกตะเป็นพ่อมีทั้งหมด 15 คน ตามเอกสารการแจ้งเกิด พบในคอนโด 9 คนเดินทางออกไปแล้ว 4 คนถือหนังสือเดินทางไทยออกไป คลอดที่รพ.ย่านรามคำแหงอีก 2 คนเป็นเด็กแฝด ตรวจดีเอ็นเอแล้ว 9 คน เป็นชาย 6 หญิง 3 โดยเด็กผู้ชายได้ตรวจดีเอ็นเอส่วนวาย ที่มาจากพ่อ ส่วนเด็กผู้หญิงตรวจดีเอ็นเอส่วนเอ็กซ์ที่มาจากพ่อ พบว่ามีบิดาคนเดียวกันแต่ไม่ได้หมายความว่านายชิเดกะเป็นพ่อของเด็กทั้ง 9 คนต้องนำดีเอ็นเอของพ่อมาเปรียบเทียบอีกครั้ง ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นพ่อแม่เด็กทั้ง 9 คน ต้องรอนำดีเอ็นเอของคนที่จะมาแสดงตัวเป็นพ่อและแม่มาตรวจเปรียบเทียบ ส่วนเด็กแฝดที่คลอดรพ.ย่านรามคำแหงยังไม่ได้ตรวจดีเอ็นเอ หากมีปัญหาก็คงจะต้องตรวจเช่นเดียวกัน
พล.ต.ท.จงเจตน์ กล่าวอีกว่า การดูกายภาพภายนอกของเด็กมีทั้งลูกครึ่งฝรั่ง ลูกครึ่งเอเชีย ตอนนนี้ต้องแบ่งเป็น 2 ประเด็น คือ 1.การอุ้มบุญจริงๆ ใช้ในการช่วยคู่สมรสที่มีปัญหาการมีบุตร ผู้หญิงไม่สามารถอุ้มท้องเองได้ ต้องใช้วิธีการอุ้มบุญให้มีลูกสืบสกุล ครอบครัวสมบูรณ์ขึ้น 2.การเอามาอุ้มโดยไม่มีการรักษา เช่น กรณีที่เกิดขึ้นของนายชิเกตะ ไม่มีภรรยามาเลย ไม่ทราบว่าแต่งงานหรือเปล่า อยู่ๆก็มาผลิตเด็ก จริงๆไม่ควรใช้คำว่าอุ้มบุญด้วยซ้ำเป็นการมาผลิตเด็ก เราก็ไม่รู้วัตถุประสงค์ว่าเอาเด็กไปทำอะไร เป็นหน้าที่ของเราต้องสืบทราบให้ได้ว่าเขาเอาเด็กไปทำอะไร มีเจตนาอะไรที่ต้องการเด็กเยอะแยะขนาดนั้น การเทคโนโลยีในปัจจุบันก็เหมือนกันถ้านำไปใช้สำหรับผู้มีบุตรยากก็เป็นการถูกต้อง ตามจริยธรรมการจรรยาบรรณแพทย์ แต่ถ้าถูกใช้ในเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ถูกต้อง หมอที่ทำก็ประพฤติไม่ถูกต้อง ส่วนเรื่องการจะนำสเต็มเชลล์ไปใช้ก็คงเป็นแค่ข่าวอ้างข่าวลือ
"ในกรณีของนายชิเกตะน่าตัดประเด็นเรื่องการอุ้มบุญจริงๆไปได้แล้ว หากต้องการมีลูกเยอะๆก็ไม่น่าจะเอาแม่เด็กมาหลายเชื้อชาติ เป็นเรื่องไม่ปกติอย่างแน่นอนต้องมีอะไรซ่อนอยู่ ที่ทำเด็กจำนวนมากขึ้นมา ตอนนี้ต้องตรวจก่อนว่าเขาเป็นพ่อที่แท้จริงหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ต้องไปถามเขาว่าจะทำเด็กไปทำไมมากมาย ทำไปขายก็คงไม่ใช่ แต่ถ้ามาตรวจแล้วเขาไม่ได้เป็นพ่อเด็ก ก็แน่นอนว่าเขาผลิตเด็กไปเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่น"พล.ต.ท.จงเจตน์กล่าว
ด้านพล.ต.ท.ก่อเกียรติ กล่าวว่า การดำเนินการของผู้ปฏิบัติมีผู้เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานได้นำเสนอข้อเท็จจริง ได้มีหลักฐานบางอย่างมาประกอบด้วย คงจะสามารถดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิด ตัวบุคคลที่คาดว่ากระทำความผิดได้หลายคนแล้ว ซึ่งทางฝ่ายสืบสวนสอบสวนก็จะเร่งดำเนินการในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ดีที่ทุกหน่วยงาน ประชาชนให้ความสนใจในเรื่องนี้มาก ไม่อยากให้เกิดกรณีแบบนี้ขึ้นมาอีก ซึ่งตำรวจจะทำเต็มที่ซึ่งคาดว่าจะพิสูจน์ความผิดผู้ที่เกี่ยวข้องได้หลายคนซึ่งตอนนี้ยังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนก่อน เบื้องต้นที่ชัดเจนก็เป็นเรื่องของสถานพยาบาล
พล.ต.ต.ชยุต กล่าวว่า สำหรับทนายที่มีข่าวว่าถอนตัวจากคดีนี้นั้นยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ การจะถอนหรือไม่ถอนตัวเป็นเรื่องของตัวทนายเอง แต่ไม่มีผลทางการคดีการถอนตัวถ้ามีความผิดก็ยังมีความผิดอยู่ ส่วนการประสานงานเพื่อนำตัวชาวญี่ปุ่นมานั้นในเบื้องลึกถ้าเขาเป็นผู้ประสานงานก็ยังคงประสานงาน ตอนนี้ถ้าเขามีความบริสุทธิ์ใจเป็นพ่อของเด็กจริงตามที่พุดก็ควรมาแสดงตัว มาพิสูจน์ว่าที่พูดเป็นความจริง ส่วนจะมีความผิดอื่นหรือไม่ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่จะนำไปพิสูจน์กันในภายหลัง ที่ผ่านมาทนายมาให้ปากคำในฐานะที่บอกว่าเป็นทนายของชาวญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามก็ได้ทำการสอบปากคำทนายเอาไว้แล้ว ซึ่งเขาก็ให้ข้อมูลว่าชาวญี่ปุ่นเป็นพ่อของเด็กแต่ก็ยังไม่ได้พิสูจน์ทราบในข้อเท็จจริงแต่ไม่ได้บอกว่าเอาเด็กไปทำอะไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการแถลงข่าวผลการประชุม ได้มีการนำแผนผังความสัมพันธ์ จากกรณีอุ้มบุญ มาแสดง โดยในแผนผังระบุว่า นายมิตสุโตกิ ชิเกตะ เข้าออกประเทศไทยตั้งแต่ปี 2010 -2014 นายมิตสุโตกิ เดินทางเข้าออกประเทศไทยจำนวน 40 ครั้ง และเดินทางเข้าออกประเทศไทยพร้อมเด็ก 3 ครั้ง ในวันที่ 9 พ.ค.2013 มีจำนวนเด็กเดินทางด้วย 1 คน วันที่ 25 มี.ค.2014 มีจำนวนเด็กเดินทางด้วย 1 คน วันที่ 6 ก.ค.2014 มีเด็กเดินทางไปด้วยจำนวน 2 คน เดินทางเข้าประเทศไทยล่าสุดวันที่ 1 ส.ค.2014 พร้อมนางยาสุโกะ ชิเกตะ ที่คาดว่าเป็นญาติคนสนิท ซึ่งนางยาสุโกะได้เดินทางออกจากประเทศไทยวันที่ 5 ส.ค.2014 เวลา 15.00 น. ไปยังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ส่วนนายมิตสุโตกิเดินทางออกนอกประเทศไทยวันที่ 7 ส.ค.2014 เวลา 01.00น. ไปยังมาเก๊า
ส่วนการตรวจสอบคอนโดย่านลาดพร้าวซึ่งเป็นจุดที่พบเด็กทารกทั้ง 9 คน พร้อมพี่เลี้ยง พบเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องพักเป็นของนายมิตสุโตกิ เจ้าหน้าที่ได้ข้อมูลจากน.ส.ดวงธิดา สงวนนามสุกล หญิงตั้งครรภ์ นำชี้จุดที่ดำเนินการทำการอุ้มบุญที่คลินิก กระทั่งของขอหมายค้นทำการตรวจค้นเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้นายมิตสุโตกิ เป็นพ่อเด็กทั้งหมด 15 คน มีแม่เด็กอุ้มบุญ 11 คน คลอดที่โรงพยาบาล 9 แห่ง พบที่คอนโดมิเนียม 9 คน เดินทางออกนอกประเทศ 4 คน เป็นฝาแฝด 1 คู่ และคลอดเป็นฝาแฝดที่รพ.ย่านรามคำแหงอีก 2 คน รอการตรวจสอบ 1 คน จากแม่อุ้มบุญนำไปเลี้ยงชื่อ น.ส.ไพฑูร สงวนนามสกุล