ข่าว

'ออกจากคุกก่อนเวลา'ทฤษฎีแก้แค้นVSให้โอกาส

'ออกจากคุกก่อนเวลา'ทฤษฎีแก้แค้นVSให้โอกาส

07 ส.ค. 2557

'ออกจากคุกก่อนเวลา' ทฤษฎีแก้แค้นVSให้โอกาส : สำนักข่าวเนชั่น โดย ปิยะนุช ทำนุเกษตรไชย

                "โทษประหาร" กลายเป็นกระแสร้อนในสังคมไทยอีกครั้ง หลัง นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ อดีตสูตินรีเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้ประหารชีวิตในคดีฆ่าหั่นศพ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ ภรรยาตนเอง โดยหมอวิสุทธิ์ได้รับโทษจำคุกจริงเพียงแค่ 10 ปี 7 เดือน 25 วัน เนื่องจากได้รับการอภัยโทษหลายครั้ง และได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำกลางบางขวางก่อนครบกำหนดโทษในเดือนกันยายน 2560 ตามโครงการ "พักการลงโทษ" ในโอกาสพิเศษ พร้อมส่งเรื่องให้กรมคุมประพฤติ ร่วมวางแผนคุมประพฤติในช่วงของการพักโทษอีกกว่า 3 ปี

                หากย้อนหลังไปจะพบว่า "ผู้ต้องโทษประหาร" ในคดีครึกโครม ล้วนถูกทยอยปล่อยตัวออกจากเรือนจำ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนแพทย์เสริม สาครราษฎร์ ที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตในคดีฆ่าหั่นศพแฟนสาว ซึ่งได้รับการลดโทษ 5 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2547 และในปี 2554 ได้รับพระราชทานอภัยโทษอีก 1 ใน 3 เหลือโทษ 8 ปี โดยนายเสริมถูกจำคุกมาครบ 8 ปี ในวันที่ 18 ธันวาคม 2554  จึงได้รับการปล่อยตัว หรือ ชลอ เกิดเทศ อดีตนายตำรวจมือปราบผู้ต้องโทษคดีฆ่าสองแม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ โดย "ป๋าลอ" ติดคุกอยู่นาน 18 ปี จึงได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ เนื่องจากเข้าเงื่อนไขพักการลงโทษหรือรับโทษมาแล้ว 2 ใน 3 นอกจากนี้ยังเข้าเงื่อนไขพิเศษเป็นนักโทษชรา อายุเกิน 70 ปี และแม้แต่ พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ หรือผู้พันตึ๋ง ต้องโทษประหารในคดีสังหารนายปรีณะ ลีพัฒนะพันธ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ก็ได้รับการอภัยโทษหลายครั้งในโอกาสสำคัญต่างๆ คงเหลือโทษอีกเพียงไม่กี่ปี ก็จะได้ออกมา

                คำถามที่หลายคนสงสัยตรงกันคือ เหตุใดนักโทษประหาร รวมถึงผู้ต้องขังให้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล ต้องโทษตามคำพิพากษาไม่ว่าจะหนักเบาอย่างไร แต่ในความเป็นจริงคือ... ผู้ต้องโทษทุกรายติดคุกจริงอยู่เพียงไม่กี่ปี ก็ถูกปลดปล่อยให้ออกจากเรือนจำ

                สำหรับการอภัยโทษที่มีขึ้นบ่อยครั้งคือในช่วงในปี 53, 54 และ 55 ซึ่งมีการอภัยโทษครั้งใหญ่ติดๆ กัน 3 ปีซ้อน ทำให้ผู้ต้องโทษประหารในคดีอาญาทั่วไปทุกรายได้รับการอภัยโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ปี 54 ลดอีกครึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 50 ปี, ปี 55 ลดอีกครึ่งหนึ่งเหลือ 25 ปี สรุปคือติดคุกไม่เกิน 15 ปี ยกเว้นผู้ต้องโทษประหารในคดีค้ายาเสพติด จะติดคุกจริงประมาณ 18-20 ปี จึงพ้นโทษ

                ในมุมมองสากลตามหลักคิดของนักทัณฑวิทยา ระบุว่า การจำคุก 15 ปี ทำลายศักยภาพของคนลงไปมาก แต่หลักคิดของนักทัณฑวิทยา อาจใช้ไม่ได้กับผู้ก่อคดีตั้งแต่อายุ 20-25 ปี ซึ่งแม้ติดคุกนาน 15 ปี จะพ้นโทษเมื่ออายุ 40 ปี ถือว่า ยังมีศักยภาพในการกระทำความผิดได้อีกมากโดยเฉพาะคดีอุกฉกรรจ์ เช่น ทีมสังหารในสังกัดผู้พันคนดังซึ่งเป็นบุคคลอันตรายรับจ้างฆ่าคนเป็นประจำ, คดีฆาตกรต่อเนื่อง "สมคิด พุ่มพวง" ฆ่าโสเภณี ซึ่งนักโทษเหล่านี้ได้รับอภัยโทษมาแล้วทั้งสิ้น คาดว่าอีกไม่นานก็จะได้รับการปลดปล่อย

                สำหรับในคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ (serious crime) ในต่างประเทศมีกฎหมายเขียนให้รับโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือรับโทษเต็มตามคำพิพากษาโดยไม่มีสิทธิ์ได้รับการพักโทษ ลดวันต้องโทษ หรืออภัยโทษ แต่สำหรับประเทศไทยแล้วไม่มีกฎหมายกำหนดไว้เช่นนั้น 

                นอกจากนี้ในการนับโทษจำคุก จะนับระยะเวลาตั้งแต่ติดคุกระหว่างการพิจารณาคดีเข้าไปด้วย ดังนั้นกว่าศาลจะตัดสินครบ 3 ศาลใช้เวลาประมาณ 7-8 ปี เมื่อศาลตัดสินคดีถึงที่สุดลงโทษจำคุกเป็นเวลาเท่าไหร่ จึงต้องหักวันจำคุกระหว่างพิจารณาคดีออกด้วย ทำให้เหลือเวลาที่ถูกจำคุกจริงไม่มาก

                แล้ว... การจัดลำดับชั้นนักโทษ เช่น เป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ชั้นดีมาก ชั้นดี ซึ่งทำให้ได้สิทธิการพักโทษมีมาตรฐานแค่ไหน มีการเลือกปฏิบัติ ทำให้มีแต่คนมีฐานะ คนมีชื่อเสียง ได้เป็นนักโทษชั้นเยี่ยม แต่นักโทษที่เป็นชาวบ้านทั่วไปไม่ได้รับสิทธิ์เช่นนี้หรือไม่ ?...อธิบายได้ว่า  นักโทษเข้าใหม่ทุกรายที่ต้องโทษจำคุกครั้งแรกจะเป็นนักโทษชั้นกลาง ต่อจากนั้นหากนักโทษคนใดใช้เวลาทำความดี เช่น ทำงานในเรือนจำ และไม่สร้างปัญหาประมาณ 2 ปี จะได้เลื่อนเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม เว้นแต่นักโทษที่เสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือเจ้าพนักงานในเหตุจลาจล จะได้รับการเลื่อนชั้นเป็นนักโทษชั้นเยี่ยมได้เร็วกว่านักโทษทั่วไป ส่วนนักโทษที่ทำผิดวินัยหรือระเบียบเรือนจำจะถูกลดชั้นจากชั้นกลางเป็นชั้นเลวหรือเลวมาก

                ส่วน "การอภัยโทษเป็นการทั่วไป" จะอภัยโทษให้แก่นักโทษทุกราย ไม่จำกัดว่าจะเป็นนักโทษชั้นเยี่ยมหรือนักโทษชั้นกลาง แต่จะได้สัดส่วนในการอภัยโทษแตกต่างกัน เช่น นักโทษชั้นเยี่ยมได้ลดโทษ 1 ใน 2, นักโทษชั้นกลางได้ลดโทษ 1 ใน 4, หากเป็นนักโทษชั้นเยี่ยมที่ต้องโทษคดียาเสพติดจะได้รับอภัยโทษน้อย เช่น 1 ใน 4 หรือ 1 ใน 5 ส่วนนักโทษชั้นเลวและเลวมากจะไม่ได้รับสิทธิอภัยโทษ ลดวันต้องโทษ หรือพักการลงโทษ

                ทั้งนี้ผู้มีสิทธิพักโทษหรือลดวันต้องโทษ ได้แก่ นักโทษชั้นเยี่ยม ชั้นดีมาก และชั้นดีเท่านั้น นอกจากนี้ยังจำกัดสิทธิให้แก่นักโทษที่กระทำผิดและต้องโทษจำคุกครั้งแรกเท่านั้น และโทษจำคุกที่เหลือจะต้องไม่เกิน 5 ปี

                สำหรับสถิติผู้ได้รับการพักการลงโทษตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 -มิถุนายน 2557 มี 18,292 ราย ส่วนผู้ได้รับการลดวันต้องโทษมี 17,757 ราย

                ข้อกังวลของสังคมอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อไม่ได้รับโทษให้สาสมกับการกระทำความผิด ทำให้ไม่เข็ดหลาบออกไปแล้วก่อความผิดขึ้นอีก... เรื่องนี้ก็ต้องมาดูสถิติกัน โดยสถิติพบว่ามีผู้กระทำผิดซ้ำถูกจับกลับมาดำเนินคดีใหม่ ตกประมาณ 14-15% ซึ่งหากนำไปเทียบกับสถิติของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีสถิติ 40% การทำผิดซ้ำจากการพักโทษของบ้านเรา ถือว่ายังมีสัดส่วนน้อย

                เรื่องการลงโทษ หลายคนอาจต้องการให้ใช้ "ทฤษฎีแก้แค้น" ลงโทษให้สาสมกับการกระทำความผิด แต่ก็มีอีกไม่น้อย ที่มองว่าการให้โอกาสคนในการกลับตัวเป็นคนดีสู่สังคม โดยเฉพาะพวกไม่ใช่ "อาชญากรโดยสันดาน" ก็เป็นเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน