ข่าว

ถอดรหัส'ตบ-จูบ''โค้ชเช-น้องก้อย'

ถอดรหัส'ตบ-จูบ''โค้ชเช-น้องก้อย'

18 ก.ค. 2557

ถอดรหัส'ตบ-จูบ' 'โค้ชเช-น้องก้อย' รอวันพิสูจน์ความจริง

                กลายเป็นเรื่องร้อนฉ่าในแวดวงกีฬาและสังคมไทย กรณี "น้องก้อย” รุ่งระวี ขุระสะ นักเทควันโดสาวทีมชาติไทย วัย 23 ปี ออกมาร้องเรียนว่า ถูก “โค้ชเช” เช ยอง ซอก หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวเกาหลีใต้ สวมบทโหด ลงโทษเกินกว่าเหตุ หลังจากที่แพ้ตกรอบแรกการแข่งขัน โคเรีย โอเพ่น ที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อสัปดาห์ก่อน ด้วยข้อหา มาแข่งขันช้า อุปกรณ์ป้องกันตัวไม่พร้อม อาทิ ถุงมือ และบัตรไอดีการ์ด ที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักกีฬาทุกคน

                น้องก้อย ที่ก่อนหน้านี้ใช้โลกโซเชียลมีเดียเป็นสื่อกลางบอกกับสังคมว่า ถูกโค้ชเช ชกที่ใบหน้า จนปวดกราม และต่อยเข้าไปที่ท้องจนทนไม่ไหว จึงขอบินกลับบ้านก่อนกำหนด ก่อนออกมาเปิดใจบรรยายรายละเอียดผ่านรายการข่าวทีวีช่องหนึ่งว่า หลังจบการแข่งขัน โค้ชเช ได้เรียกทุกคนประชุม โดยถามตนว่า ทราบคิวแข่งของตัวเองหรือไม่ พอตอบคำถามกลับไป ก็ถูกโค้ชต่อยเข้าที่กรามด้านซ้าย และก็ถูกต่อยอีกประมาณ 10 กว่าหมัด

                "ขณะนั้นรู้สึกโกรธมาก พอกลับเข้ามาที่พักจึงไลน์คุยกับแม่ แต่บอกเพียงว่าแข่งแพ้ หลังจากนั้นแม่จึงถามว่าถูกโค้ชทำร้ายใช่มั้ย จึงเล่าความจริงให้แม่ฟังทั้งหมด" น้อยก้อย เปิดใจ

                เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้กระแสสังคมแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน

                ฝ่ายหนึ่งรู้สึกเห็นใจน้องก้อย ว่าถูกกระทำรุนแรงเกินไป เพราะจริงอยู่ที่แม้การทำผิดจะต้องถูกลงโทษ แต่ก็ต้องมีขอบเขตกันบ้าง

                ขณะที่อีกฝ่าย ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงที่มากกว่า เทใจให้แก่ โค้ชเช ว่าได้พยายามทำหน้าที่ของผู้ฝึกสอนอย่างดีที่สุดแล้ว และที่ผ่านมาก็มีผลงานสร้างนักกีฬาระดับแชมป์มาแล้วเกือบครบทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์โลก แชมป์เอเชี่ยนเกมส์ แชมป์กีฬามหาวิทยาลัยโลก จะขาดก็แค่ แชมป์โอลิมปิก

                บวกกับการดาหน้าออกมาของบรรดานักเทควันโดระดับฮีโร่ ซึ่งเป็นอดีตลูกศิษย์ก้นกุฏิของโค้ชเช ไม่ว่า "น้องวิว" เยาวภา บุรพลชัย เจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิก 2004, "น้องสอง" บุตรี เผือดผ่อง เหรียญเงินโอลิมปิก 2008, "น้องเล็ก" ชนาธิป ซ้อนขำ เหรียญทองแดงโอลิมปิก 2012 ฯลฯ ต่างออกมาปกป้องอาจารย์กันสุดฤทธิ์โดยยืนยันตรงกันว่า แนวทางที่โค้ชเชนำมาใช้กับขุนพลทีมชาติไทยแต่ละรุ่นนั้น ทุกคนต่างเคยผ่านกันมาหมดแล้ว ก่อนที่จะได้ดิบได้ดีมีชื่อเสียงกันในทุกวันนี้

                ซ้ำยังมีกระแสข่าวโถมเข้ามาอีกระลอกว่า หากแคมป์เทควันโดทีมชาติไทยไม่มี โค้ชเช บรรดาขุนพลทีมชาติชุดปัจจุบันหลายรายก็พร้อมที่จะโบกมืออำลาทีมชาติตามไปด้วยเช่นกัน

                นั่นทำให้กระแสสังคมตีย้อนกลับเข้าไปหา "น้องก้อย" เต็มๆ บ้างก็ว่า เป็นชนวนเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งนี้ บ้างก็ว่าเป็นนักกีฬาที่ไม่มีหัวจิตหัวใจความเป็นนักสู้ พร้อมสรุปตรงกันว่า หากเรื่องแค่นี้รับไม่ได้ก็ไม่สมควรที่จะติดทีมชาติอีกต่อไป

                ขณะที่สมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในวิกฤติที่เกิดขึ้น โดยได้ตั้ง "เสธ.โต" พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมย์ ที่ก่อนหน้านี้เคยรับบทเป็นประธานเตรียมนักกีฬาไทยแข่งขันรายการใหญ่ๆ ทั้ง โอลิมปิก, เอเชี่ยนเกมส์, ซีเกมส์ มาหลายสมัย และได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความตรงไปตรงมาอย่างยิ่งราวกับไม้บรรทัด ให้เข้ามาทำหน้าที่สอบสวนเรื่องนี้ ในวันที่ 19 กรกฎาคม

                "สอบกันวันเดียวจบ สรุปผลได้เลย ถูกว่ากันไปตามถูก ผิดว่ากันไปตามผิด" พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโด ระบุ พร้อมยืนยันว่า จากการที่ได้โทรศัพท์คุยกับโค้ชเช เจ้าตัวยืนยันว่าที่ทำลงไปก็เพราะความหวังดี การลงโทษก็เพื่อสั่งสอนให้นักกีฬารู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด

                พิมล ระบุอีกว่า จากการที่ตรวจสอบโค้ชเช และสตาฟฟ์โค้ชที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด พบว่าข้อเท็จจริงมีความคลาดเคลื่อนไม่ตรงกันในหลายๆ ประเด็น โดยเฉพาะเรื่องที่ตัวนักกีฬาออกมาระบุว่า มีความพร้อมที่จะแข่งขันแล้ว แต่ทางสตาฟฟ์โค้ชบอกให้หยุดวอร์มก่อนนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน

                "จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า นักกีฬาลืมไอดีการ์ด และถุงมือไว้ที่โรงแรม โค้ชต้องกลับไปเอาให้ที่ห้องพัก ส่วนที่บอกว่าโค้ชสั่งให้หยุดวอร์มนั้น โค้ชที่ถูกกล่าวถึงยืนยันว่าไม่ได้สั่งให้หยุดแน่ เพราะเป็นที่รู้กันทั้งวงการอยู่แล้วว่า เมื่อเข้าไปในเขตวอร์มอัพ แอเรีย หรือเขตอบอุ่นร่างกายก่อนลงสนามแล้ว ทุกคนก็ต้องวอร์มเพื่อให้มีความพร้อมเต็มที่ก่อนลงสนามแข่งขัน"

                ส่วนกรณีของการลงโทษ ซึ่งกลายเป็นข้อถกเถียงกันว่า "รุนแรงเกินไปหรือไม่" นั้น พิมล ยืนยันว่า ไม่รุนแรงแน่นอน แต่ที่นักกีฬาบอกว่าเจ็บนั้น ก็เป็นเพราะมาจากการแข่งขัน ที่ถูกคู่แข่งทำแต้มถึง 12 คะแนน ก็ต้องมาจากการถูกเตะ ถูกต่อย อย่างน้อย 30-40 ครั้ง ซึ่งถ้าเอาใครไปตรวจหลังแข่งเสร็จ ก็ต้องมีอาการแบบนี้เหมือนกันอยู่แล้ว

                "ผมว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติขึ้น เพราะโค้ชเชคุมทีมแข่งมากว่า 10 ปี ผ่านนักกีฬามาเป็นร้อยเป็นพันคน ทุกคนต่างได้ดิบได้ดีสร้างผลงานมามากมาย อีกอย่าง ผมว่าโค้ชเชมีวิญญาณของความเป็นครู ที่อยากให้ลูกศิษย์ได้ดี เพราะทุกครั้งที่เขาทำโทษ หลังจากนั้นเขาก็ไปขอโทษนักกีฬาทุกครั้ง รวมถึงครั้งนี้ก็ทำเหมือนเดิม แต่นักกีฬายังอยากให้ไปขอโทษผ่านสื่อ อาจเพื่อความสะใจ แต่ผมว่ามันอาจเกิดความเสียหาย เพราะหากสุดท้าย โค้ชเชไม่กลับมา เราจะทำอย่างไร จะหาโค้ชที่ไหนมาแทน โดยเฉพาะในระยะสั้น ที่เรากำลังจะไปแข่งยูธโอลิมปิก และเอเชี่ยนเกมส์ ที่ความหวังการคว้าเหรียญทองก็จะลดลงไปด้วย"

                นั่นคือข้อเท็จจริงของผู้เกี่ยวข้องแต่ละฝ่าย ที่ยังคงมีบางเรื่องที่มีรายละเอียดไม่ตรงกัน และสุดท้ายคงต้องรอผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เข้ามาพิสูจน์ความจริงว่า จริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น ณ เหตุการณ์ในวันนั้นกันแน่

                ยังไม่รวมถึงข้อถกเถียงที่ว่า บทลงโทษแบบ "ตบ-จูบ" ที่โค้ชเช และเชื่อว่าอีกหลายๆ โค้ชนำมาใช้กับนักกีฬานั้น เป็นสิ่งที่ "เหมาะสม" หรือ "เกินความจำเป็น" หรือไม่ หรือจะต้องหา "กรอบ" กันใหม่ ว่าจุดที่ลงตัวจริงๆ คืออะไร

                อีกไม่นานคำตอบคงได้เฉลยออกมา โปรดติดตาม...


------------------------------

(หมายเหตุ : ถอดรหัส'ตบ-จูบ' 'โค้ชเช-น้องก้อย' รอวันพิสูจน์ความจริง)